บทที่ 883 ศาลาเลือดเหล็กระดมพล
บุรพาจารย์ของสายธารอันต ก็คือ…ปู่ของป๋ายหลิน!
ปู่ของป๋ายหลินมีนามว่าป๋ายเจิ้นเทียน ตบะของเขาแข็งแกร่งอย่างน่าครั่นคร้าม ขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนขี้โมโหมากด้วย ยามนี้ในดวงตาของเขาที่คล้ายมีเปลวเพลิงลุกไหม้กำลังจ้องมองไปยังผู้อาวุโสก่อกำเนิดของสำนักธารอันตที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าอย่างเย็นชา
“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่า เรื่องที่เขาเล่าลือกันข้างนอกเป็นความจริง? บุรพาจารย์สำนักธารอันตของพวกเจ้าคือคนที่ไร้ค่ามากที่สุดจึงถูกสังหาร?”
“เป็นเพราะว่าบุรพาจารย์สำนักธารดารา เขา…”
ผู้อาวุโสสำนักธารอันตที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นได้ยินประโยคนี้ก็ตัวสั่นเข้าไปใหญ่ หมายจะอธิบาย แต่คำพูดของเขายังไม่ทันกล่าวจบ เสียงคำรามเดือดดาลก็พลันดังกร้าวออกมาจากปากของป๋ายเจิ้นเทียน
“ไสหัวไป!”
เสียงนั้นดังสนั่นหวั่นไหวเกินเสียงฟ้าผ่า ทำเอาสายรุ้งด้านนอกสั่นคลอน ขณะเดียวกันผู้อาวุโสสำนักธารอันตคนนั้นก็กระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างถูกลมพายุพัดหอบจนปลิวกระเด็นออกมาจากที่พักของป๋ายเจิ้นเทียน
และเวลานี้เอง อำนาจจิตของเฉินเห้อเทียนก็พลันแผ่มาถึง ก่อนจะกลายมาเป็นน้ำเสียงเย็นอึมครึม
“พี่ป๋าย เจ้าคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร!”
“จัดการอย่างไรงั้นรึ? ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” ป๋ายเจิ้นเทียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
และเวลานี้เขาก็ไม่มีเวลามามัวสนใจความรู้สึกป๋ายหลินหลานชายของเขาแล้ว เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจของตระกูล ต่อให้เขาจะรักและเมตตาป๋ายหลินอยู่มาก แต่ก็ยากที่จะทำได้ถึงขั้นรักเขาแล้วต้องรักสุนัขของเขาด้วย
อันที่จริงนับตั้งแต่ที่อนุญาตให้สำนักธารอันตลงมือเล่นงานสำนักสยบธาร เขาก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว อีกทั้งมีครั้งหนึ่งเนื่องจากการมาของป๋ายหลิน พวกเขาปู่หลานสองคนยังทะเลาะกันเสียใหญ่โต
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่ฝ่ายของเฉินเห้อเทียนเองก็ไม่ต่างกัน จ้าวเทียนเจียวและคู่รักของเขาพากันไปขอร้องเฉินเห้อเทียน ทว่าเฉินเห้อเทียนกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย
ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แล้วมีหรือที่เฉินเห้อเทียนและป๋ายเจิ้นเทียนจะยอมรามือง่ายๆ!
“รวมข้าผู้อาวุโสเข้าไปอีกคน!” และขณะที่เฉินเห้อเทียนกับป๋ายเจิ้นเทียนได้ข้อตกลงร่วมกันนั้น น้ำเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งก็พลันดังสะท้อนขึ้นมาท่ามกลางอำนาจจิตของพวกเขาทั้งสอง
ผู้ที่พูดก็คือบุรพาจารย์สำนักธารดารา
ซึ่งก็คือที่พึ่งใหญ่เบื้องหลังพรรคท้องฟ้าในปีนั้น และเป็นปู่ของหลี่หยวนเซิ่งศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่เคยล่วงเกินป๋ายเสี่ยวฉุน หลี่เสี่ยนเต้า!
ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแตะต้องสามสำนักก็เท่ากับแตะต้องผลประโยชน์ของทุกคน ต่อให้สำนักธารดาราจะเสียหายน้อยที่สุด แต่หลี่เสี่ยนเต้าก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้
เพราะอย่างไรซะ…การลงมือของสามสำนักครั้งนี้ เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นด้วย ขณะเดียวกันคนทั้งสามก็คิดจะอาศัยการร่วมมือกันครั้งนี้ไปกดขี่เด็กชายของแดนฟ้า ในเมื่อวางแผนการไว้เรียบร้อยแล้วจะยอมให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียวมาทำแผนพังได้อย่างไร
“ดี ในเมื่อพี่หลี่ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เวลาไม่รอท่า จะอย่างไรซะทางฝ่ายของ
หลี่หยวนเต้าแห่งแดนฟ้าก็ถูกพวกเรากดขี่ข่มเหงอย่างหนักมาตลอดเวลาหลายปีนี้ วันนี้เกรงว่าเขาคงจะคิดเคลื่อนไหวอะไรบ้างแล้ว” เฉินเห้อเทียนเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาโชนแสงเย็นเยียบ
ในบรรดาคนฟ้าห้าคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา มีสองคนแซ่หลี่ ทว่ากลับไม่ได้มาจากตระกูลเดียวกัน!
หลี่เสี่ยนเต้าและป๋ายเจิ้นเทียนได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้ารับทันที หลังจากที่คนทั้งสามสื่อสารกันง่ายๆ ไม่กี่คำ บนสายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็พลันมีคลื่นคนฟ้าเขย่าคลอนนภากาศสามขุมระเบิดครืนครั่นออกมา
เมื่อเสียงระเบิดนั้นดังขึ้น หลี่เสี่ยนเต้า ป๋ายเจิ้นเทียน เฉินเห้อเทียนก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวสามเส้นที่พุ่งทะยานออกมา พริบตาเดียวก็พุ่งไปไกล ส่วนด้านหลังของพวกเขาติดตามมาด้วยบุรพาจารย์ของสำนักธารมรรคาและสำนักธารดารา คนฟ้าทั้งหมดห้าคน สามคนนำสองคนตามกลายเป็นรุ้งที่แหวกอากาศไปไกล!
เป้าหมาย ก็คือสำนักสยบธาร และเพื่อไปกำจัด…ป๋ายเสี่ยวฉุน!
คลื่นเคลื่อนไหวที่คนฟ้าทั้งห้าคนนี้แผ่ออกมารุนแรงเกินไปจึงครึกโครมไปทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราทันที จิตใจของลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนแกว่งไกว ทั้งยังร้องอุทานด้วยความตะลึงพรึงเพริด ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้คนฟ้าระดมพลกันขนาดนี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“ข้ามองเห็นบุรพาจารย์เฉิน บุรพาจารย์หลี่แล้วก็บุรพาจารย์ป๋าย…ส่วนสองคนที่เหลือ เหมือนจะเป็นคนฟ้าจากสำนักแม่น้ำตอนกลาง…”
และขณะที่ลูกศิษย์พวกนี้พากันวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั้น เงาร่างของจ้าวเทียนเจียวก็พลันปรากฏขึ้นมากลางอากาศ เขามองไปยังอาจารย์ของตัวเองที่ทะยานไปไกลด้วยความร้อนใจ หน้าก็เปลี่ยนสีไม่หยุด ตอนนี้เขาเองก็ได้ยินเรื่องที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้ว และได้รู้เรื่องเหตุการณ์พลิกผันทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสำนักสยบธารด้วย
เขาที่เดิมทีก็ละอายใจอยู่แล้ว พอได้มาเห็นว่าอาจารย์ของตนถึงขนาดบุกไปเข่นฆ่าอีกฝ่ายพร้อมคนฟ้าอีกหลายคนด้วยท่าทางดุร้ายเช่นนั้นก็ยิ่งร้อนใจราวกับมีไฟมาลน ดวงตาเริ่มค่อยๆ แดงก่ำ
“ไม่สนแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนคือพี่น้องของข้า แถมเขายังไม่ได้ทำอะไรผิด ป้องกันตัวเองก็ผิดด้วยหรือ ช่วยสำนักตัวเองก็ผิดด้วยหรือไง!” จ้าวเทียนเจียวคำรามดังลั่นแล้วรีบพุ่งตัวออกไปยังทิศทางที่ตั้งสำนักสยบธารทันที เขาห้ามการตัดสินใจของอาจารย์ตัวเองไม่ได้ แต่เขาจะร่วมเผชิญปัญหาไปพร้อมกับป๋ายเสี่ยวฉุน!
เฉินเยว่ซานคู่บำเพ็ญตนของเขาก็ติดตามไปด้านหลังจ้าวเทียนเจียวอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นกัน!
และขณะที่คู่บำเพ็ญตนจ้าวเทียนเจียวพุ่งทะยานจากไป ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารายังมีคนหนึ่งที่คลุ้มคลั่งไปกับเรื่องครั้งนี้ คนผู้นี้ก็คือป๋ายหลิน!
เมื่อเขาสัมผัสได้ว่าปู่ของตนบุกไปฆ่าสำนักสยบธาร ป๋ายหลินก็เดือดดาลอย่างหนัก
“ป๋ายเสี่ยวฉุนคือผู้บังคับกองหมื่นของข้า ท่านปู่ ตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่กลับมา ท่านเข้าร่วมกับเรื่องดับทำลายสำนักสยบธาร ข้าไร้กำลังจะต้านทานได้ แต่วันนี้ในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมาแล้ว ท่านกลับยังทำแบบเดิม…เรื่องนี้…ท่านเป็นคนบีบบังคับข้าเองนะ!” เดิมทีป๋ายหลินก็เป็นคนอารมณ์ร้ายอยู่แล้ว ยามนี้ไฟโทสะจึงพวยพุ่งเทียมฟ้า พอขยับกายได้ก็บินตรงไปยัง…ศาลาเลือดเหล็กทันที!
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่แค่ผู้บังคับกองหมื่นซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็น…คนของศาลาเลือดเหล็กด้วย เพราะอย่างไรซะผู้บังคับกองหมื่นของห้ากองทัพใหญ่ก็ล้วนถือเป็นคนของศาลาเลือดเหล็กทั้งสิ้น!
และในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา นอกจากคนฟ้าสี่สายแล้วยังมีคนฟ้าคนสุดท้ายอีกหนึ่งคน…
คนผู้นี้ก็คือบุรพาจารย์ของศาลาเลือดเหล็ก ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือตัวตนของเขาก็ล้วนพิเศษอย่างถึงที่สุดเพราะศาลาเลือดเหล็กรับคำสั่งจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพคนเดียวเท่านั้น!
ผ่านไปพักหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่าป๋ายหลินรายงานเรื่องนี้อย่างไร คลื่นที่ราวกับพายุบ้าระห่ำซึ่งเหนือกว่าพวกเฉินเห้อเทียนไปไกลโขก็พลันพวยพุ่งสู่นภากาศเหนือทิศทางที่ตั้งของศาลาเลือดเหล็ก!
เมื่อพลังอำนาจนั้นแผ่ครืนครั่นออกมา ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะสีเลือดซึ่งคล้ายเคยก้าวข้ามภูเขาศพทะเลเลือดมามากมายก็ก้าวเดินออกมาทีละก้าวช้าๆ
“กองทัพใหญ่ทั้งห้าอยู่ที่ใด!” วินาทีที่เดินออกมา ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็เอ่ยเสียงเรียบ
ประโยคเดียวที่พอดังก้องไปทั่วสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เงาร่างมากมายก็พุ่งออกมาจากสี่ทิศทางอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เพิ่มเป็นหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น และเวลาสั้นๆ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็มีคนเกือบแสนคนมาปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้า คนนับแสนนี้ก็คือ…นักพรตของห้ากองทัพใหญ่!
ในนี้มีหลายคนที่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุน
และมีไม่น้อยที่เคยเป็นสหายร่วมรบกับป๋ายเสี่ยวฉุน อีกทั้งในบรรดานี้ยังมีกองหมื่นที่เคยเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของป๋ายเสี่ยวฉุนรวมอยู่ด้วย
ขณะเดียวกันป๋ายหลินก็สวมเสื้อเกราะปรากฏตัวอย่างองอาจ ข้างกายของเขาคือแม่ทัพกองอื่นอีกหลายคน ซึ่งแต่ละคนต่างก็แผ่ปราณสังหารเทียมฟ้า
“มีคนคิดจะกำจัดสำนักสยบธาร เรื่องนี้ตัวข้าไม่สนใจ แต่ใครที่คิดจะแตะต้องผู้บังคับกองหมื่นแห่งศาลาเลือดเหล็กของเรา…พวกเจ้ายอมได้หรือไม่?” เมื่อชายวัยกลางคนขอบเขตคนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อยจบ เสียงดังกัมปนาทเกินกว่าอสนีบาตก็พลันระเบิดออกมาจากปากของนักพรตนับแสนคนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ไม่ยอม!”
เสียงนี้กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ก้องยาวเหมือนไร้ที่สิ้นสุด เขย่าคลอนไปทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา และจากนั้นบุรพาจารย์ของศาลาเลือดเหล็กก็ยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งครั้ง
“ในเมื่อไม่ยอม พวกเราก็ไปดูกันว่าใคร…ที่คิดจะแตะต้องผู้บังคับกองหมื่นของศาลาเลือดเหล็กเรา!”
เสียงอึกทึกพลันดังสนั่นไปทั้งฟ้าดิน กองทัพใหญ่หนึ่งแสนคนนี้พากันทะยานตัวออกไปนอกสำนักในชั่วพริบตา ภายใต้การนำทางของบุรพาจารย์ศาลาเลือดเหล็ก คนทั้งกลุ่มก็เหมือนยาตราทัพไปปราบศัตรู อานุภาพนั้นแข็งแกร่งจนฟ้าดินเปลี่ยนสี
ภาพนี้สร้างความครึกโครมให้กับทั่วทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราอย่างแท้จริง ทุกคนตกใจจนอ้าปากตาค้าง พากันเกิดลางสังหรณ์อันแรงกล้าอย่างหนึ่ง…
“จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”
“สำนักสยบธาร? ป๋ายเสี่ยวฉุน? ข้านึกออกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนเคยเป็นผู้บังคับกองหมื่นของกำแพงเมือง!!”
“นี่คือ…นี่คือสงครามระหว่างคนฟ้าอย่างนั้นหรือ!”
ขณะที่ทุกคนแตกตื่นฮือฮากันอยู่นี้ บนสายรุ้งแดนฟ้า ในห้องลับห้องหนึ่ง ประกายแสงในดวงตาเด็กชายคนฟ้าของแดนฟ้าเปล่งวูบวาบอย่างรวดเร็ว เริ่มเกิดความลังเล
สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้โดยตรง แต่ตอนนี้ในใจของเขากลับกำลังชั่งน้ำหนัก ทว่าสุดท้ายกลับเลือกที่จะส่ายหัว
“ช่างเถอะ เรื่องนี้หากข้าเข้าไปมีเอี่ยวด้วย หากชนะก็ยังว่าไปอย่าง แต่หากแพ้ขึ้นมา…” หลังจากที่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง เด็กชายก็เลือกที่จะหลับตาลง ไม่ให้ความสนใจเสียงจอแจจากข้างนอกอีก
ในใจของเขาได้สละสำนักสยบธารทิ้งไปนานแล้ว ต่อให้ครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหวนคืนมาอย่างกร้าวแกร่ง แต่การตัดสินใจของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นเป็นเพราะในสายตาของเขา ศาลาเลือดเหล็กอาจปกป้องป๋ายเสี่ยวฉุนได้ แต่มิอาจปกป้องสำนักสยบธารได้ และป๋ายเสี่ยวฉุนคนเดียว…ต่อให้รอดมาจากหายนะครั้งนี้ได้ ทว่าจุดจบของสำนักสยบธาร สุดท้ายก็ยังมิอาจเปลี่ยนแปลงไปได้อยู่ดี
ตลอดทั้งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คนฟ้าห้าคน ตอนนี้มีสี่คนที่ทะยานตัวไปกลางท้องฟ้าจนนภากาศมีริ้วคลื่นกระเพื่อมทอดยาวต่อเนื่อง และความเร็วของคนฟ้าก็มีมากเกินไป ยิ่งพวกเฉินเห้อเทียนบุกนำออกมาก่อนใครด้วยแล้ว ไม่นานพวกเขาก็มองไกลๆ ไปเห็น…ที่ตั้งของสำนักสยบธาร!
“ศาลาเลือดเหล็กออกหน้าแล้ว เรื่องนี้อยู่ในการคาดการณ์ แต่ศาลาเลือดเหล็กก็มิอาจยื่นมือเข้าแทรกได้มากนัก ต่อให้ช่วยป๋ายเสี่ยวฉุนไว้ได้ แต่ก็มิอาจเข้าร่วมกับเรื่องภายในได้ลึกซึ้งนัก!”
“ท่านผู้นั้นของศาลาเลือดเหล็กก็แค่ทำเอาหน้าไปอย่างนั้น หาไม่แล้วหากเขาเดินทางมาเพียงลำพังย่อมต้องไล่ตามพวกเรามาทันแน่นอน เหตุใดต้องเสียเวลาเรียกรวมคนมากมาย เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจมอบเวลาให้กับพวกเรา”
“แต่ในเมื่อท่านผู้นั้นถึงกับออกหน้าด้วยตัวเอง จะอย่างไรพวกเราก็ต้องเห็นแก่หน้าเขาบ้าง ช่างเถิด ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เราแค่ทำลายตบะเขาทิ้ง เว้นชีวิตเขาไว้ก็แล้วกัน!” เฉินเห้อเทียนสามคนมองสบตากันพลางส่งข้อความเสียงพูดคุยกันไปด้วย