บทที่ 889 เร็วไม่เท่าข้า
แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังก้อง ประกายแสงในดวงตาของเฉินเห้อเทียนสามคนก็ยิ่งเปล่งวูบวาบ คนทั้งสามไม่ต้องสื่อสารอะไรก็พร้อมใจกันระเบิดความเร็วถอยกรูดออกห่างเป็นวงกว้าง
พอพวกเขาระเบิดความเร็วเผ่นหนีไปเช่นนี้ ร่างของบุรพาจารย์สำนักธารดาราจึงยิ่งโดดเด่นสะดุดตา สภาพการณ์ในเวลานี้คือพวกเฉินเห้อเทียนสามคนอยู่ข้างหลัง บุรพาจารย์สำนักธารดาราอยู่ตรงกลาง และป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หน้าสุด
ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนโชนแสงคมกริบ เขาวิเคราะห์แผนการของเฉินเห้อเทียนสามคนออกทันที เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะเอาบุรพาจารย์สำนักธารดารามาเป็นเหยื่อล่อตน ขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสนี้มาหยั่งเชิงดูว่าตนแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ และเกรงว่าคนทั้งสามคงคิดจะร่วมมือกันโจมตีตนไปในคราวเดียว
ภาพนี้บุรพาจารย์สำนักธารดาราก็มองออกเช่นกัน แต่ต่อให้เขามองออกแล้วจะอย่างไร ในใจเขาได้แต่เจ็บแค้น ทว่ากลับไม่กล้าเปิดปาก ได้แต่กัดปลายลิ้นพ่นเลือดสดร่ายเวทลับเพิ่มความเร็วให้ตัวเองถอยกรูดไปเร็วกว่าเดิม…
ทุกอย่างนี้พูดแล้วยาว แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดขึ้นเพียงเวลาชั่วสายฟ้าแลบ ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเผยแววเด็ดเดี่ยว เขามีสัมผัสที่เฉียบไวต่อการต่อสู้มาโดยตลอด หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า สัมผัสเช่นนี้จึงค่อยๆ ถูกสั่งสมให้ลึกซึ้งมากขึ้น เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนทำตามลางสังหรณ์ของตัวเองอย่างไม่มัวรีรอ เขากระโจนไปข้างหน้าพร้อมขยายความเร็วเสียงดังครืนครั่น ตรงดิ่งไปหา…บุรพาจารย์สำนักธารดาราที่ถูกผลักออกมาเป็นเหยื่อล่อ!
“อยากจะรู้นักว่าพวกเจ้าหรือข้ากันแน่ที่เร็วกว่ากัน!” ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ ระเบิดความเร็วอีกครั้ง
และชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งตัวออกมานั้นเอง บุรพาจารย์สำนักธารดาราก็ร้องคำรามเสียงแหบโหย เพิ่มความเร็วให้ทะยานขึ้นหน้าไปอีก ขณะเดียวกันนัยน์ตาเย็นชาของเฉินเห้อเทียนสามคนก็เปล่งประกายลุกเรือง
“สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นเพราะเด็กเกินไป ถึงได้วู่วามขนาดนี้!” เฉินเห้อเทียนแค่นเสียงเย็น เขาที่กำลังถอยหนียกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราโบกไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของเขาก็แดงก่ำ เลือดลมจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพวยพุ่งออกมาจากในร่างของเขา ก่อนที่เบื้องหน้าของเขาจะมีหมัดโลหิตขนาดใหญ่ยักษ์ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หมัดนี้มีขนาดใหญ่นับร้อยจั้ง เพิ่งจะปรากฏก็ทำให้รอบด้านมีพายุแห่งคาวฝนลมเลือดโหมกระหน่ำ ตามมาด้วยใบหน้าดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผุดขึ้นมาบนหมัด ใบหน้าเหล่านั้นกรีดร้องเสียงแหบโหย ดูเหมือนว่าหมัดนี้จะสามารถดูดซับพลังวิญญาณของฟ้าดินเอาไว้ได้ ทั้งยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันกำลังก่อตัวกันเหมือนจริงยิ่งขึ้นแล้วตรงดิ่งเข้าไปโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าก็คล้ายจะพังทลาย ทั้งยังมีคาวเลือดเข้มข้นแผ่กระจายไปแปดทิศ อีกทั้งยังชักนำเลือดลมในร่างของคนสำนักสยบธารให้พุ่งมาหา ทำให้ทุกคนพากันหน้าเปลี่ยนสี
“หมัดโลหิตทมิฬ!!” บุรพาจารย์โลหิตพลันร้องอุทานด้วยความตะลึงพรึงเพริด นี่ก็คือท่าไม้ตายขึ้นชื่อของเฉินเห้อเทียน แม้ว่าหมัดนี้อาจไม่ถึงกับไม่ดับไม่สลาย แต่ก็ใกล้เคียงอย่างถึงที่สุด หากร่ายออกมาเมื่อใดก็ยากที่จะแหลกสลายได้ อีกทั้งยิ่งร่ายใช้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ!
วินาทีที่เฉินเห้อเทียนลงมือ ป๋ายเจินเทียนที่อยู่ข้างกันก็ยกมือทั้งสองขึ้นทำมุทรา ทันใดนั้นบนศีรษะของเขาก็มีเขาสีดำข้างหนึ่งผุดทะลุเนื้อหนังของเขาขึ้นมา พอเผยตัวอย่างสมบูรณ์แบบ สายฟ้าสีดำเส้นหนึ่งก็พลันส่องประกายวิบวับอยู่บนเขาสีนิลข้างนั้น เมื่อเขาร้องคำรามหนึ่งครั้ง แสงของสายฟ้าสีดำก็เริ่มขยายใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
สายฟ้าที่เปล่งวูบวาบทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆและลมซัดตลบอบอวล ครั้นท้องฟ้าก็มีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบปลาบ สายฟ้าเหล่านี้ร้องครืนครั่นมาจากสี่ทิศ ก่อนจะกลายมาเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ที่หุบเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศหมายจะกรีดเฉือนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนออกเป็นชิ้นๆ!
ทุกที่ที่ผ่าน ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน กลายเป็นผนึกที่แผ่ปราณน่าตะลึงออกมา!
อีกทั้งบนตาข่ายยักษ์ที่มีสายฟ้าแลบวูบวาบนี้ยังมีดวงตาหลายคู่ปรากฏขึ้นเป็นระยะ ดวงตาพวกนี้ล้วนเป็นสีดำ ทุกครั้งที่ปราฏตัวก็จะดูดเอาสายฟ้ารอบด้านเข้ามาแล้วปลดปล่อยพลังออกไป ทำให้ตาข่ายขนาดใหญ่ยักษ์ที่แรกเริ่มมีเพียงชั้นเดียว ทว่าพริบตาเดียวกลับเพิ่มมากขึ้นเป็นสิบชั้น ร้อยชั้น พันชั้น…จนกระทั่งมากนับหมื่นชั้น!!
นี่ก็คือท่าไม้ตายของป๋ายเจิ้นเทียน เขาไม่มีทางเอาออกมาใช้ง่ายๆ แต่เมื่อถูกพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนสยบขวัญ จึงจำต้องดึงกระบวนท่าปลิดชีพมาใช้!
นี่ยังไม่สิ้นสุด หลี่เสี่ยนเต้าคนสุดท้าย ยามนี้นัยน์ตาโชนแสงคมกริบ ก่อนจะอ้าปากออก ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากปากของเขา แสงสีขาวพลันขยายใหญ่อยู่กลางอากาศ ครั้นจึงกลายมาเป็น…กระดานหมากรุกขนาดใหญ่ยักษ์!
กระดานหมากรุกนี้คือภาพมายา ทว่าเมื่อมันขยายขนาดก็คล้ายเข้ามาแทนที่ฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้ฟ้ากลายมาเป็นผู้เล่นหมากรุก ดินกลายมาเป็นกระดานหมาก และเวทอาคมของเขาก็กลายมาเป็นตัวหมาก!
เสียงครืนครั่นดังกึกก้อง ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสูงใหญ่จำนวนมากเยื้องกรายลงมาบนกระดานหมากรุกฟ้าดินนี้ เงาร่างพวกนี้สวมเสื้อเกราะ แต่ละคนเหมือนเป็นกองกำลังแห่งสวรรค์
ด้านหน้าสุดคือทหารฟ้าห้านาย ด้านหลังคนทั้งห้าคือชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยักษ์สองคนที่ยืนตระหง่าน และด้านหลังชายฉกรรจ์ก็คือขุนนางบุ๋นบู๊ที่นั่งอยู่บนม้าศึกซึ่งตะกุยเท้ากุบกับ และที่เยื้องกรายลงมาพร้อมกันยังมีเหล่าขุนพลที่โอบล้อมแม่ทัพสวรรค์ไว้ตรงกลางสุด กลิ่นอายแห่งการสังหารพวยพุ่งเทียมฟ้า!
คนทั้งสามลงมือพร้อมกัน พริบตาเดียวก็กลายมาเป็นฉากแห่งการดับสังหาร โดยเป้าหมายคือป๋ายเสี่ยวฉุนและยังรวมไปถึงบุรพาจารย์สำนักธารดาราด้วย!
บุรพาจารย์สำนักธารดาราหอบหายใจหนักหน่วง ดวงตาแดงก่ำ
เมื่อเห็นว่าเฉินเห้อเทียนสามคนลงมือ เขาก็กัดฟันกรอด รู้ว่ามิอาจถอยได้อีก หาไม่แล้วต่อให้วันนี้เขาไม่ตาย
วันหน้าพวกเฉินเห้อเทียนก็ยังต้องพาลมาระบายอารมณ์โมโหใส่เขาอยู่ดี เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ร้องคำรามแล้วหันตัวขวับ หมายจะเข้าไปต้านทานป๋ายเสี่ยวฉุน ถ่วงเวลาไว้อีกสักระยะเพื่อให้เวทอภินิหารของพวกเฉินเห้อเทียนสามคนที่กำลังพุ่งมากลายเป็นฉากปลิดชีวิตของป๋ายเสี่ยวฉุนได้โดยตรง
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่ววินาที แทบจะขณะเดียวกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งตัวออกมา เวทอภินิหารก็ทะยานมาเต็มท้องฟ้า แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงไม่ถอยหนี ความเร็วของเขากลับยิ่งมากกว่าเดิมด้วย
อีกทั้งภายใต้การระเบิดความเร็วครั้งนี้ มือทั้งคู่ของเขาที่ทำมุทราแล้วโบกไปก็ทำให้ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก้อนหินพวกนี้ตรงเข้ามาเกาะโอบล้อมรอบร่างของเขาไว้ เวลาเพียงแค่ชั่วกะพริบตา เขาก็กลายมาเป็นมนุษย์หินเรือนกายสูงใหญ่ตนหนึ่ง!
ใช้ตบะของคนฟ้าร่ายคาถาคนขุนเขา!
ชั่วขณะที่คาถาคนขุนเขาถูกร่ายใช้ ตาข่ายสายฟ้าที่หุบรวบจากสี่ทิศก็พลันมาถึง ทว่าคาถาคนขุนเขาของป๋ายเสี่ยวฉุนเคลื่อนโคจรได้เร็วเกินไป ต่อให้ตาข่ายสายฟ้าจะมีพลังแห่งการทำลายล้างที่น่าตะลึง แต่ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมีมากยิ่งกว่า
ตาข่ายสายฟ้าจึงได้แค่ทำให้ร่างมนุษย์หินของป๋ายเสี่ยวฉุนแตกสลายไปเล็กน้อยเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงฉวยโอกาสนี้เบี่ยงตัวหลบแล้วตรงเข้าหาบุรพาจารย์สำนักธารดารา และตอนที่พุ่งตัวออกไป เขาก็ร่ายชนาเขย่าภูเขาออกมาอย่างไม่ลังเล!
เมื่อชนาเขย่าภูเขาถูกร่ายใช้ก็ทำให้ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มขึ้นพรวดพราด ขยับวูบเดียวก็อ้อมผ่านเบี่ยงหลบทหารฟ้าห้านายในกระดานหมากรุกที่ตรงเข้ามาเข่นฆ่าไปได้ เสียงสวบดังหนึ่งครั้งเขาก็มาโผล่อยู่เบื้องหน้าบุรพาจารย์สำนักธารดาราแล้วพุ่งชนอย่างจังท่ามกลางเสียงร้องคำรามของอีกฝ่าย
เสียง “ตูม” เขย่าคลอนไปแปดทิศ ริ้วคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนซัดตะลุยไปรอบด้าน บุรพาจารย์สำนักธารดารากระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างถอยกรูดปลิวลิ่วอย่างมิอาจควบคุม และเวลานี้หมัดโลหิตจากท่าไม้ตายของเฉินเห้อเทียนก็ทะยานมาถึงแล้วเช่นกัน
ทว่าชั่วขณะที่บุรพาจารย์สำนักธารดาราถอยกรูดไปข้างหลัง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไล่ตามมากลับยกมือขวาขึ้น แสงสีดำเปล่งวาบอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือของเขา นั่นก็คือ…ตรวนสลายลำคอ!
เสียงกัมปนาทราวแก้วหูจะดับดังเกริกก้องขึ้นมาอีกครั้ง ตรวนสลายลำคอจากมือขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนได้คว้าลำคอของบุรพาจารย์สำนักธารดาราเอาไว้แล้วบีบอย่างแรง บุรพาจารย์สำนักธารดาราร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนที่เรือนกายจะแตกโพล๊ะ เศษเลือดเศษเนื้อเกลื่อนกระจาย วิญญาณต้นกำเนิดของเขากระโจนพรวดออกมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ทั้งยังบังเกิดความสิ้นหวังอย่างลึกล้ำ
ตอนนี้เขาไม่สนใจจะร่วมมือกับเฉินเห้อเทียนสามคนอีกแล้ว ใจคิดแต่จะหนีไปอย่างเดียวเท่านั้น และเวลานี้หมัดโลหิตขนาดใหญ่ยักษ์จากเฉินเห้อเทียนที่มาพร้อมกับพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงก็พุ่งมาถึงพร้อมเสียงดังตูมตาม ขัดขวางอยู่เบื้องหน้าจนป๋ายเสี่ยวฉุนมิอาจไล่ตามไปฆ่าบุรพาจารย์สำนักธารดาราได้
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาประกายไฟแลบ แสงในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนลุกวาบ เวลานี้รอบกายของเขามีแต่เวทอภินิหารของพวกเฉินเห้อเทียนสามคนเต็มไปหมด หากเขาหยุดชะงักเพียงนิดก็อาจถูกอาคมเหล่านั้นกระแทกลงมาบนร่าง แต่เขากลับยังคงยกมือข้างหนึ่งขึ้นโบกอย่างไม่มีลังเล เป็นเหตุให้ไอความเย็นระเบิดครืนครั่นแล้วแผ่ออกไปรอบกายเขา
ขณะที่ไอความเย็นแผ่ออกไป ฉับพลันนั้นรอบกายเขาก็มีเงาน้ำแข็งเก้าเงา เงาความเย็นทั้งเก้านี้ไม่ได้กระจายตัวกัน แต่ล้อมวนอยู่รอบๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนเหมือนเป็นโล่ป้องกันชั้นหนึ่งที่พร้อมใจกันพุ่งเข้าชนหมัดโลหิต
เสียงตูมตามดังสะเทือนแผ่นฟ้าและผืนดิน พลังอำนาจของหมัดโลหิตนั่นแกร่งกร้าวเกินไป เงาน้ำแข็งทั้งเก้าแค่ปะทะด้วยก็พากันแตกกระจายไม่เหลือดี ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับทำให้หมัดโลหิตนี้หยุดชะงักอยู่กลางอากาศได้ครู่หนึ่ง
การหยุดชะงักเพียงแค่ครู่เดียวนี้เว้นจังหวะให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เดินออกมาหนึ่งก้าว เท้านี้เขาก้าวออกมาพร้อมกับร่ายใช้ผนึกมิวางวาย เสียงอึกทึกกึกก้องยังคงดังไม่ขาดเสียงพร้อมๆ กับที่ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดสู่จุดสูงสุด ต่อให้กระดานหมากรุกฟ้าดินหรือตาข่ายสายฟ้าจะยังคงพุ่งเข้ามาโจมตี ต่อให้ร่างของมนุษย์หินจะปริแตกออกอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งหินทั้งหมดแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี แต่สุดท้ายความเร็วสูงสุดที่เกิดจากผนึกมิวางวายก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลอดผ่านสมรภูมิรบนี้ไปได้ พอปรากฏตัวอีกครั้งก็มาโผล่อยู่หน้า…วิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่กำลังเผ่นหนีแล้ว
ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ที่สังหารบุรพาจารย์สำนักธารมรรคา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งสวบลอดทะลวงผ่านร่างวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารดาราไป!
ชั่ววินาทีที่เสียงร้องโหยหวนอย่างทุกข์ทรมานดังขึ้น…วิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารดาราก็พลันแตกทลายย่อยยับ!