Skip to content

A Will Eternal 892

บทที่ 892 ความตกตะลึงของศาลาเลือดเหล็ก

สามารถพูดได้ว่าหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญคือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิชาอภินิหารที่ป๋ายเสี่ยวฉุนบรรลุมาถึงทุกวันนี้ ยิ่งเป็นหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญห้าเท่าก็ยิ่งเขย่าคลอนฟ้าดิน ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตคนฟ้า ยามที่เขาร่ายใช้หมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญก็พอจะต่อกรกับคนฟ้าช่วงกลางได้อย่างถูไถแล้ว

และวันนี้เขาที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตคนฟ้าช่วงต้น แม้จะยังไม่ได้รวบรวมตบะให้มั่นคง แต่ปณิธานของตัวเขาได้ผสานรวมเข้ากับฟ้าดิน บวกกับที่เป็นคนฟ้าวิถีฟ้าซึ่งหาได้ยากถึงขีดสุด นี่จึงช่วยชดเชยข้อบกพร่องของตบะที่ยังไม่มั่นคงดี และระเบิดการโจมตีที่…แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบออกมาได้!

การโจมตีนี้ทำให้เฉินเห้อเทียนสามคนถอยร่นไม่เป็นท่า แต่จะอย่างไรซะพวกเขาก็ไม่ใช่คนฟ้าช่วงกลางทั่วไป อีกทั้งคนทั้งสามยังร่วมมือกัน แม้แต่ละคนจะบาดเจ็บสาหัส ทว่ากลับยังไม่สูญเสียพละกำลังในการต่อสู้ เพียงแต่ว่าการโจมตีเมื่อครู่นี้น่าครั่นคร้ามยิ่งนัก ที่บาดเจ็บไม่ได้มีเพียงเรือนกายของพวกเขาเท่านั้น ยังทำร้ายไปถึงจิตใจและความกล้าหาญของพวกเขาด้วย!

ขณะเดียวกันหมัดนี้ก็ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงสะเทือนฟ้าสะท้านดิน แล้วก็ทำให้ในหัวใจของทุกคนตั้งแต่บนยันล่างในสำนักสยบธารบังเกิดคลื่นลูกยักษ์ถาโถมรุนแรงราวพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร เสียงอึงอลดังก้องอยู่นานมิอาจสงบลงได้

อีกทั้งระหว่างฟ้าดินยังมีน้ำวนขนาดมหึมาลูกหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งตอนนี้มันได้กลายมาเป็นการโจมตีที่ซัดครืนครั่นไปสี่ทิศ ทว่าทุกอย่างนี้ยังไม่สิ้นสุด แทบจะขณะเดียวกันกับที่เฉินเห้อเทียนสามคนกระอักเลือด หวาดผวาอยู่ในหัวใจและถอยกรูดออกห่างอย่างรวดเร็ว

สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เป็นประกายน้อยๆ มองดูเหมือนเป็นปกติ แต่ถึงแม้พลังกล้ามเนื้อจะยังไม่ถูกควักออกมาใช้จนหมดสิ้น กระนั้นก็เหลืออีกไม่มาก แม้ไม่ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรง แต่หมัดนั้นก็เผาผลาญพลังเลือดเนื้อของเขาไปสูงถึงขีดสุด

ทว่าสีหน้าของเขากลับไม่เผยพิรุธอะไรออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว และในสมองก็ไม่ได้มีแผนการอะไรด้วย เพียงก้าวเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ

เมื่อก้าวนี้เหยียบลง พลังตบะในร่างของเขาก็ระเบิดตูม ปณิธานแข็งแกร่งกร้าวกล้า ปั่นป่วนรบกวนนภากาศ ทำให้ใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งพกพาเอาพลังอำนาจที่น่าตะลึงของหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญมาด้วยก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง เป็นเหตุให้แผ่นดินสั่นสะเทือนรุนแรง ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้ไล่ตามอีกฝ่ายไป เพียงแค่เดินออกมาหนึ่งก้าวแล้วตวาดเสียงดัง

“สำนักสยบธารของข้าหาใช่ที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปไม่!”

ขณะที่เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะท้อน ใบหน้าของเขาที่อยู่บนท้องฟ้าก็แผดเสียงร้องคำรามตามไปด้วย ทำให้คนนอกที่มองดูอยู่รู้สึกว่าพลังอำนาจของป๋ายเสี่ยวฉุนเกรียงไกรเป็นหนึ่งในปฐพี

ทว่าดวงตาของเฉินเห้อเทียนสามคนกลับกะพริบวูบไหว

“ผิดปกติ!”

“กำลังต่อสู้ เหตุใดถึงได้พูดมากขนาดนี้…หรือว่าพอปล่อยหมัดนั้นออกมา พลังของเขาจึงหมดแล้ว?”

“คิดจะแกล้งขู่ให้พวกข้าถอยงั้นหรือ?”

เฉินเห้อเทียนสามคนต่างก็เป็นพวกเฒ่าเจ้าเล่ห์กันทั้งสิ้น แต่ละคนประสบการณ์โชกโชน ยามนี้ขณะที่ดวงตาเปล่งประกายวาบ คนทั้งสามกลับพร้อมใจกันย้อนกลับมา มองไกลๆ ร่างทั้งสามเหมือนเส้นโค้งสามเส้นที่แต่เดิมกำลังเผ่นหนี ทว่าตอนนี้กลับหันขวับวกกลับมาอีกครั้ง

และขณะที่คนทั้งสามย้อนกลับมา พวกเขาก็พยายามข่มอาการบาดเจ็บลงไปแล้วลงมืออย่างพร้อมเพรียงกัน ทันใดนั้นปราณสังหารจึงระเบิดออกมาจากร่างของพวกเขาอีกครั้ง ทั้งเป็นการหยั่งเชิง แต่ก็เต็มไปด้วยความดุร้ายเหี้ยมเกรียม

ทว่าวินาทีที่คนทั้งสามหันหัวกลับมานั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มนี้พอปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินเห้อเทียนสามคนก็ทำให้ใจของพวกเขาหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที

“แย่แล้ว!”

“สมควรตายนัก เขาปั่นหัวพวกเรา!!”

ชั่วขณะที่คนทั้งสามใจสั่นระรัว หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันมีรอยแยกเส้นหนี่งปริออก เนตรทงเทียนดวงตาที่สามของเขาเบิกโพลงทันควัน ก่อนที่แสงสีม่วงจากในดวงตาที่สามซึ่งเป็นเส้นแนวตั้งจะพุ่งสวบออกมาแล้วแผ่ซ่านไปรอบด้าน แสงสีม่วงทะยานตัวออกมาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาเล็งอยู่บนร่างของเฉินเห้อเทียนสามคน ร่างของคนทั้งสามชะงักกึกเหมือนถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นพันธนาการร่างเอาไว้พร้อมๆ กัน และนาทีนี้เอง มือทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ทำมุทราแล้วโบกไปรอบด้านอย่างแรง

“โลกแห่งความเย็น!”

เสียงครืนครั่นดังเกริกก้องไปทั้งชั้นฟ้า ไอความเย็นยากจะบรรยายซัดครืนๆ ออกมาสี่ทิศโดยมีป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นจุดศูนย์กลาง เพียงแค่ชั่วพริบตาแปดทิศก็ถูกปิดผนึกไปด้วยน้ำแข็ง ขณะเดียวกันก็มีเงาน้ำแข็งยี่สิบเจ็ดเงาจำแลงขึ้นมา

เงาน้ำแข็งทั้งยี่สิบเจ็ดเงานี้รูปร่างหน้าตาเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนทั้งหมด พอปรากฏตัวก็พุ่งตรงเข้าประหัตประหารเฉินเห้อเทียนสามคนอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง!

พลังอำนาจชวนขวัญสะท้าน ทั้งความอำมหิตก็ยังพวยพุ่งสูงเทียมฟ้า สามารถจินตนาการได้ว่าหากปล่อยให้เงาน้ำแข็งพวกนี้ขยับเข้ามาใกล้

ถ้าเช่นนั้นสำหรับเฉินเห้อเทียนสามคนที่บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ต่อให้ไม่ตายก็คงยากที่จะรักษาเรือนกายที่มีเลือดเนื้อเอาไว้ได้

วิกฤตคับขัน คนทั้งสามไม่มีเวลามามัวครุ่นคิด ในร่างของเฉินเห้อเทียนมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อดิ้นรนสุดกำลัง อีกทั้งยังร่ายใช้เวทลับอย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน บนใบหน้าของเขาก็พลันมีรอยปริแตกสามเส้นปรากฏขึ้นมา รอยทั้งสามนี้ลึกเป็นร่องมองเห็นถึงกระดูก หลังจากที่มันปรากฏก็ช่วยแลกมาด้วยแรงผลักมหาศาลให้กับเฉินเห้อเทียน

เสียงตูมตามดังกึกก้อง เขาไม่เพียงแต่หลุดพ้นพันธนาการจากเนตรทงเทียนมาได้ ร่างยังถอยกรูดไปในทันที พริบตาเดียวก็ห่างออกมาเป็นพันจั้ง ทิ้งระยะห่างจากตำแหน่งที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้มาไกล

ดูเหมือนว่าจะพ้นเคราะห์ตายมาได้ แต่ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ รอยแตกสามเส้นนั้นทำให้อย่างน้อยในอีกสามสิบปีข้างหน้า ตบะของเขาจะลดลงมาจากเดิมครึ่งระดับ ค่าตอบแทนนี้มหาศาลจนหัวใจเขาหลั่งเลือด แต่เขากลับไม่มีทางเลือกอย่างอื่น และในความเป็นจริงก็ไม่ใช่เขาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้

ป๋ายเจิ้นเทียนและหลี่เสี่ยนเต้าล้วนเป็นคนใจเด็ด คนทั้งสองต่างก็ร่ายใช้เวทลับโดยไม่สนค่าตอบแทน หลังจากดิ้นรนสุดชีวิตจนหลุดพ้นมาได้ก็ถอยกรูดออกห่าง เบี่ยงหลบเงาน้ำแข็งมาอย่างหวุดหวิด เมื่อคนทั้งสามถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว เงาน้ำแข็งทั้งหลายที่พุ่งเข้ามาจึงได้แต่กระโจนใส่ความว่างเปล่า ครั้นจึงค่อยๆ พร่าเลือน พริบตาเดียวก็หายวับไปไม่เหลือเงา!

นี่แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้มองดูเหมือนพวกมันมีพลังอำนาจร้ายกาจน่ากลัว แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีพลังการสังหารรุนแรงเท่าใดนัก นี่จึงทำให้สีหน้าของพวกเฉินเห้อเทียนสามคนไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด

แต่มาถึงตอนนี้คนทั้งสามกลับไม่กล้าเชื่อในความรู้สึกของตัวเองง่ายๆ อีกแล้ว ก่อนหน้านี้คิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งนอกอ่อนในจะบีบก็ตายจะคลายก็รอด ทว่าพอจู่ๆ อีกฝ่ายลงมือกะทันหันกลับทำให้การวิเคราะห์ของพวกเขาพังภินท์ลงไปในพริบตา และตอนนี้อีกฝ่ายก็มองดูเหมือนแข็งนอกอ่อนในอีกครั้ง ทว่าคนทั้งสามกลับเหมือนนกที่หวาดกลัวคันธนูไปแล้ว ในใจจึงทั้งลังเลทั้งไม่แน่ใจ หมดมาดเฉียบขาดดุดันอย่างในเวลาปกติไปอย่างสิ้นเชิง

นั่นเป็นเพราะอานุภาพสยบขวัญจากหมัดจักรพรรดิไม่ดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนรุนแรงเกินไป อีกทั้งการลงมือของเขาหลังจากนั้นก็ทำให้พวกตนมิอาจเดาทางได้ถูก

และขณะที่คนทั้งสามลังเลตัดสินใจกันไม่ได้อยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่ก็เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที นัยน์ตาฉายแสงคมกริบเย็นชา ทั้งยังมีกลิ่นอายของความเผด็จการแผ่ซ่านไปแปดทิศ

“เฉินเห้อเทียน ตาแก่ป๋าย แล้วก็ยังมีตาแก่ที่ข้าไม่รู้จักคนนั้น พวกเจ้าจะสู้ก็สู้ ไม่สู้ก็ไสหัวกลับไป!”

น้ำเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังราวอสนีบาต ทำเอารอบด้านสั่นสะเทือน ในใจของทุกคนในสำนักสยบธารมีคลื่นกระเพื่อมมิอาจสงบนิ่ง สีหน้าแต่ละคนแดงก่ำด้วยความฮึกเหิม แม้แต่ลมหายใจก็ยังหอบรัวเพราะความตื่นเต้น นัยน์ตาฉายแสงคมกล้าโชติช่วง

ทว่าสีหน้าของพวกเฉินเห้อเทียนสามคนกลับยิ่งปั้นยากไม่น่ามอง ในใจกลัดกลุ้ม ขึ้นหลังเสือแล้วลงยากจริงๆ จะเดินหน้าก็กริ่งเกรง จะถอยหนีก็ยอมไม่ได้

และขณะที่พวกเขายังสองจิตสองใจกันอยู่ ทันใดนั้นเฉินเห้อเทียนสามคนและป๋ายเสี่ยวฉุนก็พร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมื่อสายตากวาดมองไปจึงเห็นว่าชั้นเมฆบนท้องฟ้าเวลานี้กำลังกลิ้งซัดสาดไล่หลังกันอย่างรุนแรง ทั้งยังมีแสงจ้าบาดตาจำแลงออกมาจากความว่างเปล่า พริบตาเดียวบนท้องฟ้าก็เหมือนมีค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้น

เมื่อค่ายกลเผยตัว เงาร่างมากมายก็ทยอยกันปรากฏตัวตามมา และอึดใจเดียวเงาร่างพวกนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายพัน นับหมื่น จนกระทั่งนับแสน!! ทั้งยังมีเสียงดังอึงอลมาจากข้างใน คล้ายเสียงของกองทัพที่ยาตรามาพร้อมพลังอำนาจยิ่งใหญ่มากล้นบารมี

นั่นก็คือนักพรตของสี่กองทัพใหญ่ที่นำทัพมาโดย…ป๋ายหลิน จ้าวเทียนเจียวและผู้อาวุโสคนฟ้าของของศาลาเลือดเหล็กท่านนั้น!

“ใครกล้าทำร้ายผู้บังคับกองหมื่นของข้า!!”

“ศาลาเลือดเหล็กของข้าลงสนามรบหลั่งเลือดนองแผ่นดิน ตอนนี้ผู้บังคับกองหมื่นหวนกลับคืนมา ใครกล้าทำให้เขาหลั่งน้ำตา!!”

“บุรพาจารย์ เรื่องนี้ท่านทำเกินไปแล้ว!”

“อาจารย์…”

เสียงเหล่านี้ประสานรวมกันจนดังเซ็งแซ่ ทว่าดังออกมาได้แปบเดียว เมื่อคนที่เพิ่งมาใหม่มองเห็นสมรภูมิรบอย่างชัดเจน เสียงทั้งหมดของพวกเขาก็ขาดหายไปกลางคัน แต่ละคนเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึงและยิ่งมากด้วยความเหลือเชื่อ!

แม้ว่าในบรรดาพวกเขาจะมีเพียงบางคนที่ต้องมีตบะระดับเดียวกับป๋ายหลินเท่านั้นที่ถึงจะรับสัมผัสคลื่นและปราณของการดับสลายแห่งวิญญาณต้นกำเนิดคนฟ้าของที่แห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

แต่คนส่วนใหญ่ล้วนมองเห็นศีรษะของบุรพาจารย์สำนักธารดาราที่เป็นสิ่งเดียวซึ่งยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์หลังจากเรือนกายของเขาแหลกสลายไปแล้ว!

นี่ยังเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือสภาพของป๋ายเสี่ยวฉุนและพวกเฉินเห้อเทียนสามคนในเวลานี้…

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนตระหง่านอยู่กลางนภากาศ ร่างทั้งร่างอบอวลไปด้วยปราณแห่งความเผด็จการและความยโสโอหังท่วมท้น ส่วนตรงข้ามกับเขาคือเฉินเห้อเทียนสามคนที่เวลานี้มุมปากแต่ละคนยังมีเลือดไหลซึม ไม่พูดว่าพ่ายแพ้ยับเยิน แต่ก็แทบจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่

อีกทั้งสีหน้าของคนทั้งสามยังไม่น่ามองสุดๆ สภาพก็กระเซอะกระเซิงอย่างยิ่ง แถมปราณยังดูอ่อนระโหยลงไปไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด

พอเห็นอย่างนี้ เพียงแค่อาศัยสิ่งที่ตามองเห็นก็ดูเหมือนว่าต่อให้เฉินเห้อเทียนสามคนร่วมมือกัน แต่กลับ…ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของป๋ายเสี่ยวฉุน!

นี่จึงทำให้ทุกคนซึ่งรวมป๋ายหลินด้วยต่างก็อ้าปากหอบลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก นัยน์ตาตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ และคนที่ตกใจที่สุดก็คือผู้อาวุโสคนฟ้าของศาลาเลือดเหล็กท่านนั้น

“ทำให้เฉินเห้อเทียนสามคนหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้!”

“ทำให้พวกเขาสามคนบาดเจ็บสาหัสได้!”

ผู้อาวุโสของศาลาเลือดเหล็กคือชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะ ยามนี้นัยน์ตาของเขาที่ไม่แสดงความโกรธก็น่ายำเกรงมีประกายแสงเปล่งวูบวาบอยู่หลายที บางคนอาจมองออกแค่เพียงผิวเผิน ทว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งขอบเขตคนฟ้า การรับสัมผัสจึงแจ่มชัดยิ่งกว่าผู้ใด เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงร่องรอยการตายของบุรพาจารย์สำนักธารดารา รวมไปถึงคลื่นวิญญาณต้นกำเนิดของบุรพาจารย์สำนักธารมรรคาที่สลายหายไป

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขายังสัมผัสได้อย่างแจ่มแจ้งถึงอาการบาดเจ็บและความหวั่นเกรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งพวกเฉินเห้อเทียนสามคนมีต่อป๋ายเสี่ยวฉุน รวมไปถึงสภาพการณ์ของคนทั้งสามในเวลานี้!

“สภาพการณ์ของพวกเขา…นี่มันคือการร่ายใช้เวทลับ!! ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ถึงขนาดทำให้เฉินเห้อเทียนสามคน…ยอมร่ายใช้วิชาการหลบหนีที่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเชียวหรือนี่?!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!