Skip to content

A Will Eternal 893

บทที่ 893 โองการของครึ่งเทพ

ทั้งสนามรบตกอยู่ในความเงียบงันทันใด

สายตาของนักพรตทุกคนจากศาลาเลือดเหล็กพากันกวาดมองไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนเหมือนมีคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ ยามนี้แต่ละคนอ้าปากเผยอค้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

โดยเฉพาะป๋ายหลินกับจ้าวเทียนเจียวสองคนที่ตอนนี้ก็ยิ่งเบิกตากว้างจนลูกตาแทบถลนออกมาจากเบ้า มองทุกอย่างด้วยความตะลึงพรึงเพริด

และคนที่ดีใจที่สุดก็คือนักพรตทุกคนในสำนักสยบธาร พวกเขามองเห็นตลอดทุกภาพเหตุการณ์ด้วยตาของตัวเอง มองเห็นความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน มองเห็นความพ่ายแพ้ของพวกเฉินเห้อเทียนสามคน ในใจยามนี้จึงกระเพื่อมไปด้วยคลื่นแห่งความปิติยินดี

เมื่อสมรภูมิรบเงียบสงบลง สีหน้าของเฉินเห้อเทียนสามคนก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากที่แย่อยู่แล้วก็ยิ่งย่ำแย่ไม่น่ามองเข้าไปใหญ่ นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาสามคนเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนกลับต้องเป็นฝ่ายที่มีสภาพกระเซอะกระเซิงขนาดนี้ แถมคนร่วมสำนักดันมาเห็นเป็นประจักษ์พยาน นี่จึงทำให้พวกเขาอับอายขายขี้หน้า ในใจก็ยิ่งอึดอัดคับแค้น ขณะเดียวกันก็หวาดเกรงในความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างถึงขีดสุด

แต่กระนั้นการมาถึงของคนจากศาลาเลือดเหล็กกลับทำให้เฉินเห้อเทียนสามคนผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้พวกเขาขึ้นขี่หลังเสือแล้วลงยาก จะบุกก็ไม่ได้จะถอยก็ไม่ดี แต่ตอนนี้โอกาสพลิกผันเกิดขึ้นแล้ว นี่นับเป็นเหตุผลที่จะทำให้พวกเขาถอยออกจากสมรภูมิการเข่นฆ่าครั้งนี้ได้โดยไม่น่าเกลียดเกินไปนัก

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้ยืนอยู่กลางอากาศ มองเงาร่างของคนมากมายจากศาลาเลือดเหล็ก ได้ยินน้ำเสียงตะโกนด้วยความห่วงใยจากจ้าวเทียนเจียวและป๋ายหลินก่อนหน้านี้ ในใจเขาก็ให้ซาบซึ้ง ขณะเดียวกันก็กะพริบตาปริบๆ มองออกถึงความต้องการถอยของเฉินเห้อเทียนสามคน ดังนั้นจึงรีบเก็บความเหนื่อยล้าไว้อย่างมิดชิด ทั้งยังแผ่ตบะออกมาทำให้พลังอำนาจของตัวเองดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น

“เฉินเห้อเทียน แล้วยังมีคนแซ่ป๋าย แซ่หลี่ พวกเจ้าตาแก่สามคนรังแกกันมากเกินไปแล้ว ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนเคยหลั่งเลือด เคยสร้างคุณความชอบให้แก่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!!”

“ข้าปลิดชีพศัตรูอยู่ที่กำแพงเมือง แต่พวกเจ้ากลับคิดทำลายสำนักข้าลับหลัง เรื่องนี้ใครจะทนไหว!”

“วันนี้ต้องมีคำอธิบายให้ข้า หากพวกเจ้าสามคนไม่โขกหัวคำนับขออภัย สาบานว่าต่อแต่นี้ไปเมื่อเจอลูกศิษย์สำนักสยบธารของข้าจะอ้อมห่างไปให้ไกล ถ้าอย่างนั้นเรื่องในวันนี้จะไม่เพียงไม่ยุติ ต่อให้พวกเจ้าหนีรอดไปได้ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะตามไปฆ่าถึงในตระกูลของพวกเจ้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งทีพร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด เมื่อยกเหตุยกผลขึ้นมาอ้าง คำพูดของเขาจึงฟังหนักแน่นทรงพลัง

เฉินเห้อเทียนสามคนสามคนได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เกือบจะกระอักเลือดเก่าออกมา เพราะแต่ละประโยคที่ป๋ายเสี่ยวฉุนพ่นออกมาช่างชั่วช้าเสียดหูยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ยังบอกพวกเขาว่าถ้าไม่สู้ก็ไสหัวไป ทีตอนนี้พอเห็นว่ามีกองหนุนก็ยิ่งเอาใหญ่ ความหมายในประโยคนี้ของอีกฝ่ายก็คือต่อให้พวกเขาคิดจะถอยก็ยังต้องจ่ายค่าตอบแทน ขณะเดียวกันก็กำหนดมาแล้วว่าเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเขาต้องถูกทำลายเกลี้ยงไม่มีเหลือ

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าอย่าให้มันมากเกินไปนัก!” หลี่เสี่ยนเต้าคำรามเบาๆ ดวงตาพลันเปลี่ยนมาเป็นสีเลือด นั่นเพราะคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้ทางลงที่ก่อนหน้านี้พวกเขาหามาได้อย่างยากลำบากพังครืนลงไปในพริบตา

และเวลานี้เอง บุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็ก ซึ่งก็คือชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะพลันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ดวงตาของเขามีแสงเปล่งวูบวาบถี่รัวอยู่หลายที ก่อนจะเดินออกมาหนึ่งก้าว ครั้นจึงมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายของป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่ได้อยู่ใกล้ แต่เว้นระยะห่างไว้ช่วงหนึ่ง

อีกทั้งนาทีนี้นัยน์ตาของเขาที่ระเบิดประกายแสงเหี้ยมเกรียมยังหันขวับไปมองพวกเฉินเห้อเทียนสามคน น้ำเสียงที่ใช้เย็นยะเยือกหนาวไปถึงสันหลังประหนึ่งลมหนาวที่พัดโชยมา

“เกินไป? เฉินเห้อเทียน ป๋ายเจิ้นเทียน หลี่เสี่ยนเต้า พวกเจ้านึกว่าศาลาเลือดเหล็กของข้าไร้ผู้คนอย่างนั้นรึ!!”

“น้องป๋ายพูดถูกแล้ว ศาลาเลือดเหล็กของพวกเราออกทัพจับศึกสังหารศัตรู ทว่าพวกเจ้ากลับกล้ามาทำลายสำนักเขาลับหลัง เรื่องแบบนี้ใครจะทนได้? และถึงแม้น้องป๋ายจะยังไม่ถูกบุรพาจารย์ครึ่งเทพแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโส แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในเมื่อเขาเคยเป็นผู้บังคับกองหมื่น ถ้าเช่นนั้นเขาก็คือคนของศาลาเลือดเหล็กข้า ทั้งยังเป็นผู้อาวุโสคนฟ้าแห่งศาลาเลือดเหล็ก ซึ่งสำนักของเขาก็ย่อมต้องอยู่ในการปกป้องของศาลาเลือดเหล็กเช่นกัน!”

“วันนี้ที่นี่ ข้าผู้อาวุโสอยากจะเห็นนักว่าใครจะกล้าแตะต้องคนของศาลาเลือดเหล็กข้า!” พอบุรพาจารย์คนฟ้าศาลาเลือดเหล็กกล่าวจบ นักพรตศาลาเลือดเหล็กที่อยู่รอบด้านก็พากันระเบิดปราณเหี้ยมหาญ อีกทั้งยังจัดค่ายกลอยู่กลางอากาศปิดตายทางหนีของเฉินเห้อเทียนสามคน

ภาพนี้ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนอารมณ์ห้าวเหิมขึ้นมาโดยพลัน สำนักสยบธารก็ยิ่งตื่นเต้นคึกคักกันสุดขีด มีเพียงพวกเฉินเห้อเทียนสามคนเท่านั้นที่ร้องโอดครวญอยู่ในใจ สีหน้ายิ่งน่าเกลียดเข้าไปใหญ่

ป๋ายเสี่ยวฉุนฉุกคิดขึ้นมาได้จึงรู้สึกว่านี่คือโอกาสอันดี ดังนั้นจึงขยับร่างหมายจะพุ่งถลาออกไป เขามองออกแล้วว่าในสถานการณ์เช่นนี้แค่ดึงผมเส้นเดียวก็กระตุกสั่นไปทั้งตัว (สำนวนหมายถึงการขยับส่วนที่เล็กที่สุดแต่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมทั้งหมด คล้ายคำว่าน้ำผึ้งหยดเดียว) ขอแค่ตนลงมือ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร คนอื่นๆ ก็ต้องลงมือตามไปด้วย

ทว่าขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเตรียมจะพุ่งตัวออกไปนั้นเอง ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องก็ดังครืนๆ มาจากท้องฟ้า เสียงนี้ดังเกินกว่าเสียงฟ้าร้องทั่วไปหลายเท่านัก และจู่ๆ เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยงก็ทำเอาฟ้าดินเปลี่ยนสี นภากาศบิดเบือน แผ่นดินโยกคลอนอยู่หลายที ขณะเดียวกันก็มีแรงโจมตีขุมหนึ่งที่โผล่มาด้านหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำให้ขาที่กำลังจะก้าวออกไปของเขาถูกขัดขวางจนต้องชักเท้ากลับ

ขณะเดียวกันพวกเฉินเห้อเทียนสามคนก็ถูกแรงโจมตีนี้ม้วนตลบร่างจนปลิวออกไปไกลหลายร้อยจั้ง ส่วนปราณดุร้ายที่พวกคนของศาลาเลือดเหล็กแผ่ออกมาก็ถูกแรงโจมตีนี้ลบเลือนหายไปในเสี้ยววินาที

ยังไม่สิ้นสุด หลังจากที่แรงโจมตีนี้เผยตัว พลานุภาพสยบที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นจิตใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งก็พลันเยื้องกรายลงมาจากท้องฟ้าพร้อมเสียงครืนครั่น พลานุภาพสยบนี้แข็งแกร่งจนคนฟ้าก็ยังหน้าเปลี่ยนสี ก่อกำเนิดยิ่งตัวสั่น ส่วนต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไปก็แทบจะหายใจกันไม่ออก!

อีกทั้งต่อให้เป็นปณิธานคนฟ้าห้าคนที่รวมของป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยซึ่งเดิมทีแผ่เต็มท้องฟ้าแปดทิศ มาบัดนี้กลับถูกขับไล่ออกจนเกลี้ยงในชั่วพริบตา ตลอดทั้งท้องฟ้ามีเพียงมนุษย์แสงร่างใหญ่ยักษ์คนหนึ่งที่เผยกายขึ้น!

แสงที่เปล่งประกายออกมาจากทั่วร่างของมนุษย์แสงผู้นี้ราวกับแสงดาว ไม่ต้องแสดงความโกรธก็น่ายำเกรง ขณะเดียวกันเงาร่างของเขาก็ดูจะยิ่งใหญ่ค้ำฟ้า การปรากฏตัวของเขาทำให้จิตวิญญาณของทุกคนสั่นสะเทือนกันไปอีกครั้ง

มองเห็นได้ว่ามนุษย์แสงผู้นี้คล้ายจะเป็นชายวัยกลางคนที่เวลานี้กำลังก้มหน้า บนใบหน้ามายา นัยน์ตาของเขาทอประกายดุจแสงดาวเดือน คลื่นของครึ่งเทพที่เหนือคนฟ้าไปไกลโพ้นแผ่กระจายออกมาอย่างไม่มีกักเก็บเอาไว้

เฉินเห้อเทียนสามคนรวมไปถึงบุรพาจารย์คนฟ้าศาลาเลือดเหล็กต่างก็ใจสั่นเยือก คนทั้งสี่รีบหันไปคารวะโค้งตัวต่ำให้กับมนุษย์แสงใหญ่ยักษ์บนท้องฟ้าแทบจะเวลาเดียวกัน

“คารวะบุรพาจารย์ซิงจี๋!”

ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ นักพรตก่อกำเนิดทุกคนในศาลาเลือดเหล็กที่ตัวสั่นเทิ้มต่างก็พากันคารวะทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่ถึงแม้จะไม่รู้จักมนุษย์แสงผู้นี้ ทว่าเมื่อได้ยินและได้เห็นการกระทำของพวกเฉินเห้อเทียนสามคน แต่ละคนก็รีบสูดหายใจแล้วคารวะอย่างเร็วไว

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็หายใจค้าง สีหน้าเคร่งขรึมในบัดดล เขาวิเคราะห์ออกแทบจะในทันทีว่ามนุษย์แสงที่ตนไม่เคยพบเห็นมาก่อนผู้นี้ก็คือ…ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา บุรพาจารย์ครึ่งเทพ!

“ขนาดครึ่งเทพยังมาเองเลยหรือนี่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เขาสูดลมหายใจเบาๆ เพื่อปรับอารมณ์ตัวเอง แต่ก็คิดได้ว่าตนเคยเจอครึ่งเทพมานักต่อนักแล้ว พอคิดอย่างนี้จึงไม่รู้สึกกดดันเท่าไหร่นัก ทว่าสีหน้ากลับยังคงความหวาดเกรง แล้วก็รีบคารวะทันทีเหมือนกัน

ส่วนพวกลูกศิษย์สำนักสยบธารก็ยิ่งทำเช่นนี้ เมื่อบุรพาจารย์ซิงจี๋ปรากฏตัว อากาศของตลอดทั้งสนามรบก็คล้ายถูกสยบเอาไว้ ประหนึ่งว่าฟ้าดินแห่งนี้มีแค่มนุษย์แสงที่เป็นเพียงหนึ่งเดียว

มนุษย์แสงผู้นี้สีหน้าไร้อารมณ์ เขาก้มหน้าลงกวาดสายตามองผ่านร่างของทุกคน แต่ไม่ได้ให้ความสนใจเฉินเห้อเทียนสามคน แล้วก็ไม่ได้สนใจบุรพาจารย์คนฟ้าของศาลาเลือดเหล็ก แต่ย้ายสายตาไปจ้องนิ่งอยู่ที่ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนสุดท้าย

ความตื่นเต้นที่ก่อนหน้านี้เพิ่งระงับลงไปได้ของป๋ายเสี่ยวฉุน มาบัดนี้เริ่มไต่ทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ลมหายใจก็เริ่มหอบรัว ในสมองครุ่นคิดถึงวิธีต่างๆ ที่ตนใช้รับมือกับครึ่งเทพตอนอยู่แดนทุรกันดาร แต่คิดไปคิดมา เนื่องจากสถานการณ์ไม่เหมือนกัน เขาจึงหาวิธีดีๆ ไม่เจอ ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ทันใดนั้นมนุษย์แสงบนท้องฟ้าก็ถอนสายตากลับมาจากร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ขณะเดียวกันน้ำเสียงทรงอำนาจแหบเครือ ทว่ากลับไม่เว้นที่ว่างให้สงสัยก็พลันดังก้องไปทั้งฟ้าดิน

“แต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นผู้อาวุโสคนฟ้าแห่งศาลาเลือดเหล็ก ประทานป้ายคำสั่งผู้อาวุโส มอบถ้ำสถิตบนสายรุ้งสีคราม รอเลือกวันกลับสำนัก! นับแต่นี้เป็นต้นไป สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะมีคนฟ้าหกคน!”

ประโยคนี้ดังจบก็กลายมาเป็นสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยงลงมาดังกึกก้องไปสี่ทิศ นักพรตทุกคนของศาลาเลือดเหล็กเหิมหาญปลาบปลื้ม ส่วนเฉินเห้อเทียนสามคนกลับสีหน้าซีดขาวในพริบตา ได้แต่ก้มหน้าก้มตาด้วยความขมขื่น

พวกเขาเข้าใจดี เมื่อได้รับการยอมรับจากบุรพาจารย์ครึ่งเทพ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ในแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกแห่งนี้ ใครหน้าไหนก็ไม่สามารถขัดขวางการลุกผงาดของป๋ายเสี่ยวฉุนและสำนักสยบธารได้อีกแล้ว!

และคนที่ดีใจยิ่งกว่าศาลาเลือดเหล็กก็ย่อมต้องเป็นสำนักสยบธาร เวลานี้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสยบธารต่างก็ตื่นเต้นเบิกบานจนลืมตัวร้องไชโยดังลั่น ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่กลางอากาศก็คลายใจลงได้ในที่สุด แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้ตนจะขี้ขลาดไปหน่อย…

“ครึ่งเทพจะร้ายกาจแค่ไหนกันเชียว เส้นผมเทียนจุนข้าก็ยังกล้าดูดพลังมาแล้ว ข้ารึจะกลัวครึ่งเทพ? ลูกศิษย์ข้าเป็นถึงจักรพรรดิหมิง พ่อตาข้าก็เป็นถึงครึ่งเทพ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตัวเอง อันที่จริงเขาก็ดีใจมากเหมือนกัน เพราะผลลัพธ์สุดท้ายจากการลงมือโจมตีกลับครั้งนี้นับว่างดงามสมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!