Skip to content

A Will Eternal 895

บทที่ 895 เปิดพันธนาการ

มื่อเห็นว่าตนไม่เพียงแต่คลี่คลายวิกฤตของสำนัก ยังอาศัยตบะคนฟ้าและตัวตนคนฟ้าแห่งสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามาทำให้สำนักสยบธารกลายเป็นผู้พิชิตแห่งโลกการบำเพ็ญเพียรแม่น้ำทงเทียนสายตะวันออกตอนกลางได้อีกด้วย

เรื่องราวทุกอย่างนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนพึงพอใจอย่างมาก นั่นจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่วันนี้หลอมยาคนฟ้าออกมาได้เลย อีกทั้งบุรพาจารย์ธาราเทพยังเป็นผู้เฒ่าประหลาดที่มีชีวิตอยู่มายาวนาน ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็สามารถข้ามผ่านธรณีประตูของการฝ่าทะลุขั้นไปได้ เมื่อมียาคนฟ้าเม็ดนี้ โอกาสที่เขาจะทำสำเร็จจึงมีสูงมาก

ข้อนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เป็นกังวล ตอนนี้เมื่อทำเรื่องทุกอย่างนี้เสร็จ เขาจึงมายืนอยู่หน้าถ้ำของตัวเอง มือขวาลูบหัวเถี่ยตั้น ดวงตามองสำนักสยบธาร มองลูกศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนในสำนักที่ต่อให้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานซ่อมแซม แต่กลับมีท่าทางกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา สามารถพูดได้ว่าตลอดทั้งสำนักล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศสดชื่นแจ่มใส

ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสบายใจ เขาสูดลมหายใจเขาลึก ปลายแขนเสื้อสะบัดเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เชิดปลายคางขึ้นน้อยๆ พึมพำแผ่วเบา

“คนหนึ่งยินดีก็ยินดีกันทั่วหล้า คนหนึ่งแข็งแกร่งก็แข็งแกร่งกันทั้งสำนัก…เถี่ยตั้นเอ๋ย เจ้าก็รู้จักข้าดี ข้าเป็นเสี่ยวฉุนเป็นคนที่ไม่ชอบเด่นดัง แต่ก็จนใจที่ชะตาชีวิตยากจะหยั่ง คิดไม่ถึงเลยว่า…สุดท้ายข้าจะได้กลายมาเป็นบุรพาจารย์…ข้ายังหนุ่มขนาดนี้…ไม่แก่สักนิดเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว ทำสีหน้าทอดอาลัย แต่ในใจกลับลำพองใจด้วยความเบิกบานอยู่นานแล้ว

“เดิมทีข้าไม่อยากกลับไปที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหรอก แต่เจ้าเองก็เห็นแล้วว่าบุรพาจารย์ครึ่งถึงกับมาเชิญข้าด้วยตัวเอง ปวดหัวเสียจริง”

“ข้าเองก็ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะไอ้ตำแหน่งผู้อาวุโสศาลาเลือดเหล็กอะไรเนี่ย แต่ก็จนปัญญา ที่นั่นมีสหายร่วมรบของข้า มีสหายนักพรตของข้า ในเมื่อพวกเขามีน้ำใจ ข้าก็ลำบากใจจะปฏิเสธ เลยได้แต่ยอมรับตัวตนนี้แต่โดยดี”

“เถี่ยตั้น เจ้าว่า…ทำไมข้าต้องเป็นคนมากความสามารถขนาดนี้ด้วยนะ? เฮ้อ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าเอือมระอาเหมือนคนเหนื่อยหน่ายใจ

เถี่ยตั้นกะพริบตาปริบๆ หลังจากได้ยินคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน มันก็รีบหันไปมองรอบด้านโดยอัตโนมัติ เมื่อพบว่าบริเวณใกล้เคียงไม่มีคนอื่นอยู่

เถี่ยตั้นจึงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาประหลาดใจแล้วร้องหงุงหงิงเบาๆ อยู่ในลำคอสองสามที สีหน้าเช่นนั้น เสียงร้องเช่นนั้นเหมือนว่ากำลังงุนงงฉงนฉงาย ตามความเข้าใจของมัน ป๋ายเสี่ยวฉุนจะทำท่าแบบนี้ก็ต่อเมื่อมีคนอยู่เยอะๆ เท่านั้นสิถึงจะถูก

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็มองเห็นสีหน้าประหลาดใจของเถี่ยตั้น หลังจากไอแห้งๆ หนึ่งครั้งเขาก็ตบหัวมันแล้วถลึงตาใส่

“รู้จักให้ความร่วมมือบ้างไหม จำเอาไว้ว่าต่อไปเวลาที่ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องให้ความร่วมมือ แบบนั้นถึงจะทำให้คนชอบ เข้าใจไหม”

เถี่ยตั้นรู้สึกน้อยใจนิดหน่อย หลังจากร้องหงิงๆ ตอบรับสองสามทีก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เหมือนกับป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นคือทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มกลุ้มใจจึงถึงกับก้มตัวลงไปเอ่ยกำชับ

“ไม่ใช่สีหน้าแบบนี้ คราวหน้าถ้าข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องทำสีหน้าให้มีชีวิตชีวา ต้องตื่นเต้น แล้วก็ต้องปลงอนิจจังด้วย ทำหน้าแบบที่ให้ความรู้สึกว่านี่ก็คือชะตาชีวิตของเจ้า” ภายใต้การชี้นำด้วยตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนเอง ไม่นานเถี่ยตั้นก็เรียนรู้ที่จะทำสีหน้าแบบนี้เป็น อีกทั้งป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดอารมณ์คึกจึงถึงกับแสดงให้ดูรอบหนึ่ง หลังจากพบว่าเถี่ยตั้นให้ความร่วมมือดีกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที

“ฮ่าๆ เถี่ยตั้น ไป ไปเดินเล่นกับพ่อ จำเอาไว้นะ ทุกครั้งพอข้าพูดแบบนั้นจบ เจ้าก็ต้องรีบทำสีหน้าแบบนี้ทันทีเลย” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดไปพูดมาก็ยิ่งคึกคักเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงพาเถี่ยตั้นไปเริ่มเดินเตร่อยู่ในสำนัก ทุกที่ที่ผ่าน คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่พอเห็นเขาต่างก็พากันคารวะอย่างกระตือรือร้นและเคารพนบนอบทันที

และทุกครั้งที่มีคนอยู่กันหลายๆ คน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะทำสีหน้าปลงอนิจจัง และก็พูดพึมพำเบาๆ ทั้งคล้ายพูดกับตัวเองแล้วก็คล้ายพูดให้คนอื่นฟัง พวกลูกศิษย์ที่ไม่รู้จักป๋ายเสี่ยวฉุนพอได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็อึ้งงันกันไปพักใหญ่ ส่วนพวกคนที่เข้าใจป๋ายเสี่ยวฉุนดีก็จะถอนหายใจยาวเหยียดอยู่ในใจ สำหรับการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนชอบอวดตัวนั้น พวกเขาไม่ได้เพิ่งเคยเห็นกันแค่ครั้งสองครั้งแล้ว

ยิ่งเถี่ยตั้นที่เพื่อให้ความร่วมมือกับป๋ายเสี่ยวฉุน ก็เรียกได้ว่ามันทุ่มเทสุดชีวิตแล้วจริงๆ สีหน้าของมันมีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม แถมยังเอาคำสอนของป๋ายเสี่ยวฉุนไปปรับใช้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง มีครั้งหนึ่งที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจัง มันก็ถึงกับคำรามดังลั่นแล้ววิ่งเข้ามาเกาะขาป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ สายตาฉายแววปลอบใจ ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมป๋ายเสี่ยวฉุน บอกกับเขาว่า…

ท่านเป็นอัจฉริยะมากความสามารถขนาดนี้ นี่ก็คือชะตาชีวิตของท่าน…

ภาพเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ทุกคนมองเซ่อกันไปหมด และไม่นานสีหน้าแต่ละคนก็เริ่มปั้นยาก ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับคึกเข้าไปใหญ่ เขาพาเถี่ยตั้นไปยังที่อื่นๆ เวลาหนึ่งวันเต็มที่เขาเดินอยู่ในสำนัก เสียงเรียกว่าบุรพาจารย์ดังเซ็งแซ่ ขณะเดียวกันลูกศิษย์ที่มีสีหน้าเหยเกก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

“นี่…ดูเหมือนว่าบุรพาจารย์จะไม่ค่อยปกตินะ…”

“หรือว่าคนฟ้าต้องเป็นกันอย่างนี้?”

“พวกเจ้าไม่รู้อะไร…ป๋ายเสี่ยวฉุน…บุรพาจารย์ป๋าย เมื่อก่อนเขาก็เป็นอย่างนี้นี่แหละ เอ่อ…พวกเจ้าทำตัวให้ชินเดี๋ยวก็ดีไปเอง”

หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินไปทั่วแทบจะทุกมุมในสำนัก เสียงพูดทำนองนี้ก็เริ่มแผ่เป็นวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ…จนกระทั่งหนึ่งวันผ่านไป ความฮึกเหิมของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังไม่ลดลง คราวนี้เขาจึงตั้งใจไปหาคนที่สนิทโดยเฉพาะ…

ทางฝ่ายเป่ยหันเลี่ย เขาไปหาถึงสามครั้ง พอถึงท้ายที่สุด เป่ยหันเลี่ยก็แทบจะคลุ้มคลั่ง ทุกครั้งที่เจอป๋ายเสี่ยวฉุนไม่เพียงแต่ต้องคารวะด้วยความเคารพ

แถมป๋ายเสี่ยวฉุนยังจะมาทอดถอนใจปลงอนิจจังให้ฟังอีก นี่จึงทำให้วันที่สองเป่ยหันเลี่ยเลือกปิดด่านไปทันที

พอเห็นเป่ยหันเลี่ยเป็นเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ดังนั้นจึงไปหาซ่างกวานเทียนโย่ว…จนกระทั่งไปหาคนที่เขาคุ้นเคยทั้งสายธาราเทพได้หลายรอบแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปยังสายธาราโลหิตบ้าง…

และก็เป็นเช่นนี้ เวลาสามวันเต็ม คนตลอดทั้งสำนักสยบธารก็แทบไม่มีใครไม่รู้นิสัยของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ พอเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเดินมาไกลๆ ก็รีบพากันหลบเลี่ยงโดยอัตโนมัติ นั่นเป็นเพราะลักษณะเช่นนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนช่างไม่เหมือนคนที่เป็นบุรพาจารย์คนฟ้าเลยสักนิดเดียว

แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ย่อท้อ กลับกันคือยิ่งดึงดันมากกว่าเดิม ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าควรจะไปดูเป่ยหันเลี่ยที่ปิดด่านว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้างดีหรือไม่

ซ่งจวินหว่านกลับเริ่มทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน นางจึงดิ่งเข้ามาตำหนิสั่งสอนป๋ายเสี่ยวฉุนเสียยกใหญ่ นั่นถึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบจมูกเก้อๆ จำต้องยุติการตระเวนสัญจรจากบุรพาจารย์ของตัวเองลงอย่างเสียดาย

“ข้าก็แค่ปลงอนิจจังไม่กี่คำเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ…ช่างเถอะๆ ในเมื่อไม่ให้ข้าปลงอนิจจัง ข้าปิดด่านก็ได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจอย่างจำใจ ครุ่นคิดว่าหากอยู่ที่นี่ทำไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวตนค่อยไปปลงต่อที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ได้ คงไม่มีใครมาห้ามตนอีกกระมัง

เมื่อมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเลือกปิดด่าน

ด้านหนึ่งก็รอให้บุรพาจารย์ธาราเทพฝ่าทะลุขอบเขต อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนเลื่อนขั้นเร็วเกินไป เป็นเหตุให้เขายังไม่ได้รวบรวมตบะให้มั่นคงดีๆ สักครั้ง และยังมีบทมิวางวายของเขาที่ฝึกกระดูกคงกระพันสำเร็จแล้ว ตอนนี้เมื่อตบะฝ่าทะลุไปอีกขั้น เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหากตนปิดด่านสักช่วงเวลาหนึ่งจะสามารถฝ่าทำลาย…พันธนาการใหญ่ขั้นที่สี่ในร่างมนุษย์ไปได้!

และหากพันธนาการใหญ่ขั้นที่สี่ถูกเปิดออกเมื่อใด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็เชื่อว่าพลังกล้ามเนื้อของตนจะต้องแข็งแกร่งไปอีกระดับ และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถฝึกขั้นสุดท้ายของบทมิวางวายอย่าง…

เลือดคงกระพันได้!!

“เลือดคงกระพัน แก่นแท้แห่งบทมิวางวาย หากฝึกสำเร็จ…ไม่พูดว่าไม่ตายจริงๆ แต่ต่อให้คิดจะตาย…ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

ในพื้นที่ปิดด่าน เขานั่งขัดสมาธิ รับสัมผัสได้ว่าเวลานี้ในร่างของตัวเองซุกซ่อนพลังวิญญาณฟ้าดินที่น่าตะลึงเอาไว้ พลังวิญญาณนี้สามารถไหลวนไปปะปนกับฟ้าดินด้านนอกได้ตลอดเวลา ราวกับว่าตนและฟ้าดินได้รวมเป็นร่างเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนั้นทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเหมือนเกิดภาพลวงตา เพราะเขารู้สึกได้ว่าตัวเอง…ก็คือฟ้าดินแห่งนี้!

ทุกการกระทำของเขาล้วนสามารถชักนำอานุภาพจากสวรรค์ หรือแม้แต่ทุกลมหายใจเข้าออกของเขาก็ยังทำให้สายฟ้าฟาดผ่าเปรี้ยงปร้างได้!

“นี่ก็คือคนฟ้า…แตกต่างจากก่อกำเนิดอย่างสิ้นเชิง เป็นการแปรสภาพอย่างสมบูรณ์แบบ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ่งสัมผัสได้ถึงตบะของตัวเอง เขาก็ยิ่งยากจะข่มกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ได้

และเขาพอจะสัมผัสได้อย่างรำไรว่าหลังจากที่ตนกลายเป็นคนฟ้า แม้จะไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดของอายุขัยที่เพิ่มขึ้นมา ทว่าพลังชีวิตของตนกลับเปี่ยมล้นมากกว่าก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่าตัว

“ข้าในตอนนี้…สามารถมีชีวิตได้ถึงห้าพันปีหรือเปล่า?” หลังจากที่คิดคำนวณอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังปิติยินดีก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขารู้สึกว่าตนในตอนนี้ เกรงว่าคงยากที่จะอยู่ได้นานถึงห้าพันปี…

“เฮ้อ ยังอยู่ห่างจากเป้าหมายการเป็นอมตบะของข้าอีกยาวไกลยิ่งนัก”

ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็รับสัมผัสกับตบะของตัวเองอีกครั้ง ครั้นจึงค่อยๆ เริ่มเข้าฌาน ครั้งนี้เขาคิดจะโคจรพลังกล้ามเนื้อ

ทันใดนั้นเสียงกร๊อบๆ ก็ดังออกมาจากในร่างของเขา นั่นคือเสียงกระดูกเคลื่อนไหว เมื่อเสียงดังออกมา พลังเลือดลมที่น่าตะลึงขุมหนึ่งก็ระเบิดครืนๆ ออกมาจากในร่างของเขา ทำเอาความว่างเปล่ารอบพื้นที่ปิดด่านของเขาบิดเบือน ราวกับว่าพื้นที่ที่เขาอยู่ได้กลายมาเป็นน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่ง

ภายใต้คลื่นเลือดลมของเรือนกายนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึง…พันธนาการขั้นที่สี่ในห้าพันธนาการใหญ่ของร่างมนุษย์ในร่างของตน!

ไม่ต่างจากประสบการณ์ของสามพันธนาการครั้งก่อนๆ ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้เมื่อสงบจิตใจ ความรู้สึกที่เหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดทับลงมาบนร่างกายจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งเขายังเกิดอารมณ์วู่วามรุนแรงที่คล้ายจะต้องการทำลายภูเขาใหญ่นี้ให้พังพินาศไป!!

“พันธนาการใหญ่ขั้นที่สี่ในร่างมนุษย์ จงเปิดออกให้ข้า!” ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมตาโพลงแล้วคำรามกร้าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!