บทที่ 903 มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด…
“ข้าไปหาเรื่องใครที่ไหนกัน…” เฉินเห้อเทียนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ยิ่งคิดยิ่งอึดอัดใจ ยิ่งพอมองเห็นสภาพระเกะระกะเละของสิ่งปลูกสร้างรอบด้านที่ถูกทำลายเพราะการประลองเวทคาถาก่อนหน้านี้ อารมณ์ของเขาก็ยิ่งบีบคั้นกดดัน
“คนอื่นจับสหายร่วมสำนักของเขา เขามาหาข้า…” เฉินเห้อเทียนโกรธเกรี้ยว ในใจก็กลัดกลุ้ม เขากังวลจริงๆ ว่าเมื่อมีครั้งนี้แล้วจะยังมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามตามมา…
“แต่ว่าเรื่องนี้ก็เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง หากเขามีเรื่องกับหลี่เสี่ยนเต้าขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นข้าก็สามารถเอาเรื่องนี้มาอ้างได้…การปะทะกันของพวกเราเมื่อครู่นี้ บุรพาจารย์ครึ่งเทพต้องจับตามองอยู่ แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่หากป๋ายเสี่ยวฉุนยังทำแบบนี้ต่อไป บุรพาจารย์ครึ่งเทพก็ต้องไม่พอใจอย่างแน่นอน!”
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉินเห้อเทียนก็มีความอำมหิตเสี้ยวหนึ่งวาบผ่าน รีบส่งข้อความเสียงไปหาหลี่เสี่ยนเต้าทันที หมายจะให้เขาร่วมมือกับตนทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้โดนดีเสียบ้าง
“ป๋ายเสี่ยวฉุน นี่คือหายนะที่เจ้าพาตัวมาส่งถึงที่เองนะ!”
ขณะที่เฉินเห้อเทียนกำลังคิดคำนวณ ในใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็กำลังชั่งน้ำหนัก เขารู้ว่าในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแห่งนี้ เหนือตัวเองขึ้นไปยังมีบุรพาจารย์ครึ่งเทพ ตนจะทำอะไรเกินเหตุนักไม่ได้…
ตอนนี้เมื่อหาตัวการเจอ ในใจของเขาที่ชั่งน้ำหนักอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจได้ ครั้งจึงเพิ่มความเร็วตรงดิ่งไปยังที่พักของหลี่เสี่ยนเต้าพร้อมเสียงอากาศระเบิดที่ดังซัดเป็นทอดๆ
ป๋ายเสี่ยวฉุนแสดงเจตจำนงโจ่งแจ้งมาตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงตระกูลหลี่ เพิ่งจะเข้าไปใกล้ ในตระกูลหลี่ก็มีปณิธานคนฟ้าขุมหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา
“สหายนักพรตป๋าย ไม่ต้องรีบร้อน นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เข้าใจผิด…” เสียงของหลี่เสี่ยนเต้าดังขึ้นพร้อมๆ กับที่เงาร่างของเขาเผยกาย
“ข้าผู้อาวุโสได้ให้คนไปปล่อยตัวสหายร่วมสำนักของสหายนักพรตป๋ายแล้ว รออีกเดี๋ยวก็ได้เจอกัน” หลี่เสี่ยนเต้ากุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งที ใบหน้ายิ้มแย้ม เพียงแต่ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนี้กลับเป็นความลังเล จากนิสัยของเขา หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่นเขาคงยกกระบี่ขึ้นสังหารอีกฝ่ายนานแล้ว แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้เขากริ่งเกรงมากจริงๆ ศึกในสำนักสยบธารเมื่อคราวก่อนทำเอาเขาหวาดผวาไปเป็นนาน
หากป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่เติบโต เขาย่อมเลือกที่จะกำราบอีกฝ่ายเอาไว้ ทว่าวันนี้ผู้ที่เป็นที่ภาคภูมิใจคนนี้ได้เติบโตขึ้นมาแล้ว อนาคตของเขาจึงกว้างไกลไร้ขีดจำกัด หากไม่ต้องมีการปะทะ สามารถคลี่คลายปัญหาได้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่เขาก็ดันได้รับข้อความเสียงจากเฉินเห้อเทียน แล้วก็รู้แผนการของเฉินเห้อเทียนแล้วด้วย และลึกๆ ในใจเขาเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
นี่จึงทำให้เขาเริ่มลังเล ในใจกำลังชั่งน้ำหนัก ตอนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ขณะที่เพิ่งเผชิญหน้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนเขาก็ต้องแสร้งทำเป็นอ่อนข้อให้ก่อนจึงจะดี มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นถึงจะทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเผยความเผด็จการโอหังออกมาต่อหน้าบุรพาจารย์ครึ่งเทพมากกว่าเดิม
และจากความเข้าใจที่เขามีต่อบุรพาจารย์ครึ่งเทพ สำหรับคนฟ้าที่บ้าอำนาจเช่นนี้ ต่อให้บุรพาจารย์ครึ่งเทพไม่พูดอะไร แต่ในใจก็ย่อมไม่ชื่นชอบแน่นอน
แล้วนับประสาอะไรกับที่การยอมอ่อนข้อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเกียรติยศของเขา เพราะอย่างไรซะทุกคนต่างก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน
หลี่เสี่ยนเต้ารู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเป็นคนก้มหัวให้ก็พอจะเข้าใจได้ แน่นอนว่าหากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ใช่คนฟ้า ต่อให้มีพลังการต่อสู้เทียบเท่าคนฟ้า หลี่เสี่ยนเต้าก็คงไม่คิดจะทำเช่นนี้
เพราะว่าในสายตาของพวกเขา คนที่อยู่ต่ำกว่าคนฟ้าลงไปไม่ต่างอะไรจากมดจากแมลง มีเพียงคนที่อยู่ระดับเดียวกับตนเท่านั้นถึงจะเรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งของโลกใบนี้!
เมื่อเห็นว่าหลี่เสี่ยนเต้าถึงกับเป็นฝ่ายยอมก้มหัวให้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งแสงวาบ รู้สึกสงสัยเล็กน้อย คิดว่าเรื่องนี้ผิดปกติ ดังนั้นจึงถลึงตากลับคืนไปให้อีกฝ่าย
“จับคนของข้าไป แต่ไม่ให้ข้าร้อนใจ? หลี่เสี่ยนเต้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเบาๆ ทำท่าเหมือนจะบินเข้ามาหาหลี่เสี่ยนเต้า
ดวงตาของหลี่เสี่ยนเต้าวูบไหวน้อยๆ ไม่ได้โต้เถียง เพียงถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าหลี่เสี่ยนเต้าถอยหนี ป๋ายเสี่ยวฉุนก็หรี่ตาลง มองเส้นสนกลในออกในที่สุด
“แสร้งยอมอ่อนข้อให้แก่ข้า นี่คงคิดจะขุดหลุมฝังข้าสินะ ดีนักนะเจ้าหลี่เสี่ยนเต้า!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนแล่นเร็วจี๋ ตัดสินใจได้ทันที ครั้นจึงระเบิดความเร็วไล่ตามไปติดๆ แล้วลงมือว่องไว ทันใดนั้นเสียงตูมตามก็ดังสะท้อน เปิดฉากต่อสู้อย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
เวลานี้นักพรตบนสายรุ้งอื่นๆ ก็ย้ายความสนใจจากเฉินเห้อเทียนมามองยังที่แห่งนี้อย่างมีตั้งใจ ส่วนเฉินเห้อเทียนก็ถึงกับร่ายอำนาจจิตออกมาเล็งที่แห่งนี้ไว้ จับตามองจริงจังยิ่งกว่าใคร
จะไม่ให้เขาไม่มองได้อย่างไร ความอึดอัดคับแค้นใจเขามีมากขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เกลียดป๋ายเสี่ยวฉุน ยังต้องการวางแผนเล่นงานป๋ายเสี่ยวฉุนด้วย เมื่อเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ เขาจึงหัวเราะหยัน
“สู้กันไปเถอะ ยิ่งสู้กันดุเดือดเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น!” เฉินเห้อเทียนมองภาพเหตุการณ์นี้ตาไม่กะพริบด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย
ส่วนป๋ายเจิ้นเทียนนั้นก็ยิ่งไร้ความกดดันมากกว่าใคร มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนและหลี่เสี่ยนเต้าต่อสู้กันด้วยเวทคาถา ในใจเขาก็ผ่อนคลายมากเช่นกัน ทั้งยังรู้สึกโชคดีที่นอกจากเรื่องของสำนักสยบธารแล้ว ตนก็ไม่มีความแค้นอะไรกับป๋ายเสี่ยวฉุนอีก
“นี่มันคนบ้าไร้เหตุผลชัดๆ”
ขณะที่ป๋ายเจิ้นเทียนทอดถอนใจก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของหลี่เสี่ยนเต้าเช่นกัน ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย อาศัยความเข้าใจที่เขามีต่อเฉินเห้อเทียน ในใจก็พอจะคาดเดาได้สักเจ็ดแปดส่วนแล้ว และเวลานี้การต่อสู้ของหลี่เสี่ยนเต้ากับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง หลี่เสี่ยนเต้าถอยกรูดไม่หยุด แม้เขาจะเป็นคนฟ้าช่วงกลาง แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหนา เรี่ยวแรงก็มากมหาศาล ขณะเดียวกันเวทอภินิหารก็ไม่อ่อนด้อยแม้แต่น้อย นี่จึงทำให้หลี่เสี่ยนเต้าปวดหัวเป็นกำลัง ในใจให้รู้สึกหมดแรงไม่ต่างจากเฉินเห้อเทียน
และเขาเองก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมาก เขาคือบุรพาจารย์คนฟ้า ไม่สามารถให้ความสนใจกับลูกศิษย์หลายคนที่ยังไม่แม้แต่จะเป็นก่อกำเนิดได้ และเมื่อครู่นี้เขาก็แค่เพิ่งนึกขึ้นได้เลือนๆ ว่าดูเหมือนผู้อาวุโสใต้บังคับบัญชาของตนคนหนึ่งจะจับสหายร่วมสำนักของป๋ายเสี่ยวฉุนมาก่อน จากนั้นถึงมีลูกหลานของตนออกหน้ามาขอร้อง นี่จึงทำให้เขายอมอนุญาตให้เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎของสำนัก
ตอนนี้ในใจเขาเริ่มเคียดแค้นลูกหลานของตนคนนั้นที่มาขอร้องเสียแล้ว ที่เกลียดแค้นไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหาปัญหามาให้ แต่เป็นเพราะทั้งๆ ที่รู้ดีถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้ ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นคนฟ้าแล้วด้วย ทว่าลูกหลานของตนที่จับสหายร่วมสำนักของป๋ายเสี่ยวฉุนไปกลับไม่เอ่ยเตือนตนสักคำ
และก็เพราะไม่มีการบอกเตือนถึงทำให้ตอนนี้เขากลายมาเป็นฝ่ายถูกกระทำ หาไม่แล้วเขาก็คงได้เป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ของเรื่องนี้ และก็อาจจะมีทางเลือกมากกว่านี้
หลังจากความคิดมากมายแล่นผ่านสมองของหลี่เสี่ยนเต้าไป ในใจของเขาก็ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ครุ่นคิดว่าในเมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนบีบบังคับกันเกินไป ตนก็คงได้แต่ให้ความร่วมมือกับเฉินเห้อเทียนเท่านั้น ดังนั้นจึงเปิดปากยอมอ่อนข้อให้อีกครั้ง
“น้องป๋าย เจ้าฟังข้าพูดก่อน เรื่องสหายร่วมสำนักของเจ้าข้าสั่งความไปแล้ว อีกไม่นานก็จะมีคนพาตัวพวกเขามา พวกเราไม่จำเป็นต้องสู้กันนี่นา เรื่องนี้ข้าจะมีคำอธิบายให้กับเจ้าแน่นอน!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังมาถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงหึในใจหนึ่งที ทว่าปากกลับพูดไปอีกอย่างพลางเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว!
“แบบนั้นไม่ได้หรอก เฮ้อ ข้าก็ไม่อยากตีเจ้าหรอกนะ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจเฉินเห้อเทียนผิดไปเลยตีเขาเสียยกใหญ่ ตอนนี้หาตัวการเจอแล้ว หากข้าไม่ตีกับเจ้าสักหน่อย มันคงไม่ค่อยดีกระมัง เฉินเห้อเทียนจะคิดยังไง? คนอื่นจะมองข้าอย่างไรกันเล่า!” สีหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนกลัดกลุ้มคล้ายจนใจอย่างมาก
นักพรตรอบด้านที่ได้ยินประโยคนี้ต่างก็อ้าปากค้าง สายตาที่มองป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ขณะเดียวกันก็รู้สึกขบขันไม่น้อย เพราะประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ทว่าดันทำให้คนฟังกลั้นหัวเราะจนตัวสั่น…
“นี่มัน…นี่มันเหตุผลอะไรกัน?”
“เพราะว่าเข้าใจผู้อาวุโสเฉินผิด ดังนั้นเลยมาตีกับผู้อาวุโสหลี่แทน?” สีหน้าทุกคนยิ่งเปลี่ยนมาเป็นเหยเก และตอนนี้แม้แต่บุรพาจารย์ครึ่งเทพที่อยู่บนสายรุ้งสีม่วงเส้นสูงสุดซึ่งคอยจับตามองสถานที่แห่งนี้อยู่ตลอดเวลาก็ยังหลุดหัวเราะพรืด
ก่อนหน้านี้ความโอหังของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่ทว่าตอนนี้อารมณ์นั้นกลับหายวับไปเพราะคำพูดประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน
บุรพาจารย์ครึ่งเทพส่ายหัวยิ้มขัน ที่เขาไม่ชอบพวกลูกน้องที่เผด็จการบ้าอำนาจก็เพราะคนประเภทนี้เถรตรงเกินไป ควบคุมได้ยาก แต่ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเอ่ยก็ได้แสดงให้เห็นถึง…ท่าทีอย่างหนึ่ง!
หากไม่ตั้งใจพูด นั่นก็บ่งบอกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นคนนิสัยวู่วาม คนเช่นนี้ง่ายต่อการควบคุม แต่หากจงใจพูด นั่นก็ยิ่งทำให้บุรพาจารย์ครึ่งเทพพอใจเข้าไปใหญ่ การแสดงออกของท่าทีเช่นนี้ถือว่าชัดเจนมากแล้ว และอันที่จริงบุรพาจารย์ครึ่งเทพก็สนใจในตัวป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างมาก เพราะที่ก่อนหน้านี้เขามีคำสั่งแต่งตั้งป๋ายเสี่ยวฉุน สาเหตุหลักเลยก็เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับตู้หลิงเฟย
คนที่ได้ยินประโยคนี้ยังมีเฉินเห้อเทียนอีกคน เขาอ้าปากหอบหายใจดังเฮือก ฟังความหมายแฝงออกได้จากประโยคนี้
ส่วนหลี่เสี่ยนเต้าก็ถึงกับมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยสายตาลึกล้ำ
ประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้เขาระแวดระวังอีกฝ่ายมากยิ่งกว่าเดิม ใคร่ครวญอย่างรวดเร็วอยู่ในใจ ครั้นจึงล้มเลิกความคิดที่จะร่วมมือกับเฉินเห้อเทียนไปทันที
“คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังในการต่อสู้ร้ายกาจ อุบายก็ลึกล้ำมากเช่นกัน หากคลี่คลายปัญหาได้ก็ย่อมเป็นการดีกว่า!” หลี่เสี่ยนเต้าสูดลมหายใจเข้าลึก รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง ทั้งยังกุมมือคารวะป๋ายเสี่ยวฉุน
“สหายนักพรตป๋ายไม่ต้องคิดมาก ดังคำที่ว่าไม่ทักทายไม่รู้จัก ความเข้าใจผิดระหว่างเจ้าและสหายนักพรตเฉินจึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา”
กล่าวประโยคนี้จบ เมื่อเห็นว่าท่าทางของป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงเอาจริงเอาจังเช่นเดิม หลี่เสี่ยนเต้าก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เขาไม่ได้กลัวอะไรป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะเขารู้สึกว่าระหว่างตนกับป๋ายเสี่ยวฉุนไม่จำเป็นต้องมองกันเป็นศัตรูไปตลอดกาล