บทที่ 905 เสี่ยวฉุน เจ้าเลิกล้อเล่นได้แล้ว
สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา บนสายรุ้งสีคราม
ป๋ายเสี่ยวฉุนพาจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉบินไปยังถ้ำของตัวเองด้วยความปิติยินดีเต็มหัวใจ ระหว่างทางคนทั้งสามรำลึกความหลังพูดคุยกันถึงเรื่องราวในอดีตราวกับย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งมาอยู่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดารา
ตลอดทางที่บินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้ความเร็วไม่มากนัก
ส่วนจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉที่แม้ว่ายามนี้จะพูดคุยเรื่องเก่าๆ กับป๋ายเสี่ยวฉุน แต่กลับยังคงจมจ่อมอยู่ในความตื่นเต้น นั่นเป็นเพราะสำหรับพวกเขาสองคนแล้ว เหตุการณ์พลิกผันก่อนหน้านี้ปานประหนึ่งการเปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนดิน
“เสี่ยวฉุน ผู้อาวุโสคนเมื่อครู่นี้คือใครหรือ?” จางต้าพั่งถามไปหนึ่งประโยค เขาไม่ทันได้สังเกตว่าป๋ายเสี่ยวฉุนมีตบะอะไร เพราะด้วยตบะรวมโอสถช่วงท้ายของเขาตอนนี้ยากที่จะสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของป๋ายเสี่ยวฉุน
ส่วนสวีเป่าไฉนั้นเป็นแค่รวมโอสถช่วงต้น จึงยิ่งมองป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ออกเข้าไปใหญ่ เพียงแต่ว่าพวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกว่าบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายจะมีหมอกปริศนาที่มองทะลุไม่ได้ชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ ทั้งยังถึงขั้นที่ว่ามองด้วยตาเปล่า พวกเขานั้นเห็นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน แต่หากหลับตาเมื่อไหร่กลับสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้แม้แต่น้อย
“เขา? หลี่เสี่ยนเต้าไง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้น้ำเสียงสบายๆ ทว่าหน้ากลับบานเป็นกระด้ง
“หลี่เสี่ยนเต้า? ชื่อนี้คุ้นหูจัง” จางต้าพั่งตะลึง รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน ขณะที่กำลังเกาหัวครุ่นคิด สวีเป่าไฉที่อยู่ด้านข้างกลับไม่เสียแรงเปล่าที่ได้ชื่อว่าเป็นสายสืบตัวเล็กที่ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ล้วนสืบข่าวของที่แห่งนั้นได้อย่างรวดเร็วฉับไว วินาทีที่เขาได้ยินชื่อของหลี่เสี่ยนเต้าก็เบิกตาโตแทบจะทันที ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ สูดลมหายใจดังเฮือก ร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ
“หลี่เสี่ยนเต้า!! คือหนึ่งในคนฟ้าห้าท่านของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา…บุรพาจารย์คนฟ้า หลี่เสี่ยนเต้า!!”
เมื่อเสียงของสวีเป่าไฉดังออกมา จางต้าพั่งก็อ้าปากค้าง สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
“ข้านึกออกแล้ว หลี่เสี่ยนเต้าผู้นี้ก็คือบุรพาจารย์คนฟ้าผู้นั้นของตระกูลหลี่ และปีนั้นก็เป็นเขานี่แหละที่ออกคำสั่งให้จับกุมตัวข้ากับสวีเป่าไฉ!”
“เสี่ยวฉุนเจ้าไม่รู้อะไร เจ้าหลี่เสี่ยนเต้าผู้นี้น่ารังเกียจนักล่ะ!!” ลมหายใจของจางต้าพั่งหอบรัว ด้านหนึ่งก็เพราะตกตะลึงไปกับชื่อของหลี่เสี่ยนเต้า อีกด้านหนึ่งก็เพราะนึกถึงปัญหาความขัดแย้งกับตระกูลหลี่ในปีนั้นขึ้นมาได้ เวลานี้จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นหลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจากไปให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังรวดเดียวจบทั้งหมด
ปีนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไปกำแพงเมืองและจางต้าพั่งยังคงทำการฝ่าทะลุโอสถแห่งความคิด เนื่องจากสวีเป่าไฉคุณสมบัติไม่พอจึงได้แต่อยู่อาศัยในนครฟ้าเบื้องใต้สายรุ้งของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา คอยรับผิดชอบดูแลโรงเตี๊ยมของป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่เมื่อผ่านไปได้ไม่นาน จางต้าพั่งที่ได้รับการพิทักษ์จากเฝิงโหย่วเต๋อก็เลื่อนขั้นได้สำเร็จ ตบะเหยียบย่างเข้าสู่รวมโอสถ เนื่องด้วยการรวมโอสถของเขาพิเศษ เป็นโอสถแห่งความคิด จึงเป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมพลังจิตแข็งแกร่งมากกว่าเดิม แม้แต่พลังในการต่อสู้ก็ยังเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปไม่น้อย
อีกทั้งยังมีหลายครั้งที่บุกเข้าฝ่าด่านเข่นฆ่าไปถึงยี่สิบอันดับแรกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ถูกลูกศิษย์หลายคนของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามองเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ
ส่วนสวีเป่าไฉเองก็เนื่องจากจางต้าพั่งลุกผงาดจึงได้มาติดตามอยู่ข้างกายจางต้าพั่ง แต่พวกเขารู้ดีว่าจะอย่างไรซะตนก็ไม่ถือเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา อย่างมากที่สุดก็ถือว่าเป็นแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเวลาปกติจึงใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวัง คอยผูกมิตรกับคนอื่น ขณะเดียวกันก็ไม่กล้าไปล่วงเกินใครง่ายๆ
และพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างนี้อยู่นาน ตบะของจางต้าพั่งเองก็เพิ่มพูนขึ้นในทุกๆ วัน ก่อนที่ข่าวการหายตัวไปของป๋ายเสี่ยวฉุนจะแพร่มาถึงสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เรื่องนี้สร้างความสะเทือนขวัญอย่างรุนแรงให้กับจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉ
คนทั้งสองเศร้าเสียใจกันอยู่นานมาก ใจอยากจะกลับไปยังสำนักสยบธาร แต่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราหาใช่ที่ที่พวกเขาคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป
ดังนั้นคนทั้งสองที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจึงระมัดระวังตัวกันมากกว่าเดิม และเวลานี้เอง เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนหายตัวไป หลี่หยวนเซิ่งศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของตระกูลหลี่ที่เคยมีเรื่องกับป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใด เขาถึงขั้นลงมือฮุบเอาโรงเตี๊ยมของป๋ายเสี่ยวฉุนในนครฟ้าไปเป็นของตัวเอง
ทั้งยังทำร้ายสวีเป่าไฉ หากไม่ได้จางต้าพั่งช่วยเอาไว้ เกรงว่าคงยากที่จะบอกได้ว่าสวีเป่าไฉจะรอดหรือตาย
ระหว่างพวกเขาและหลี่เทียนเซิ่งผูกปมแค้นต่อกันตั้งแต่ปีนั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่แล้ว มาวันนี้โรงเตี๊ยมถูกแย่งชิง ความเคียดแค้นจึงลึกล้ำมากกว่าเดิม ทว่าจางต้าพั่งกับสวีเป่าไฉกำลังน้อยจึงได้แต่กัดฟันอดทน ช่วงเวลาหลังจากนั้นแม้จะยากลำบาก แต่ยังดีที่พวกสหายที่เคยเป็นมิตรกับป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพวกจ้าวเทียนเจียวกลับมาเสียก่อน ทั้งยังคอยช่วยเหลือพวกจางต้าพั่งอย่างต่อเนื่อง นั่นถึงทำให้คนทั้งสองที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเริ่มมีรากฐานเป็นของตัวเอง
พวกเขาเองก็รู้เรื่องความขัดแย้งระหว่างสำนักสยบธารกับสามสำนักแม่น้ำตอนกลาง แต่คนทั้งสองเป็นเพียงรวมโอสถ หากกลับไปทั้งอย่างนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจางต้าพั่งจึงมุมานะขยันฝึกตนมากว่าเดิม หมายจะให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในยี่สิบอันดับแรกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราให้ได้
และหากติดยี่สิบอันดับแรก ตามกฎใหม่ที่สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราตั้งไว้ เขาก็จะมีคุณสมบัติกลายเป็นลูกศิษย์ที่แท้จริงของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ทั่วไป แต่จะมีตัวตนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็ย่อมต้องมีคุณสมบัติที่จะช่วยสำนักสยบธารได้ทางอ้อม
ภายใต้การฝึกตนอย่างบ้าคลั่งของจางต้าพั่ง ในที่สุดเมื่อหนึ่งปีก่อนตบะของเขาก็ฝ่าทะลุขั้น กลายมาเป็นโอสถแห่งความคิดช่วงท้าย ตอนที่บุกเข้าไปฝ่าด่านบนกระดานอันตมรรคาฟ้าดารา เขาก็ได้เจอกับหลี่หยวนเซิ่งศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของตระกูลหลี่ผู้นั้นอีกครั้ง หลี่หยวนเซิ่งนี้ก็เป็นรวมโอสถช่วงท้ายเช่นกัน ตอนที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบกว่า การแข่งขันประชันฝีมือของคนทั้งสองก็พลันเปลี่ยนมาเป็นดุเดือด
แม้ว่าหลี่หยวนเซิ่งจะเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ แต่พลังการต่อสู้กลับสู้จางต้าพั่งที่เป็นโอสถแห่งความคิดไม่ได้ สุดท้ายจางต้าพั่งก็เอาชนะเขามาได้จนได้เหยียบย่างเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรก ส่วนหลี่หยวนเซิ่งกลับได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ดไปครอง
ก่อนหน้านี้ความขัดแย้งของพวกเขาก็ลึกล้ำอยู่แล้ว
เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นชนวนจุดการระเบิด หลี่หยวนเซิ่งผู้นั้นถึงกับระดมกำลังของตัวเองโยนความผิดว่าละเมิดกฎสำนักให้กับจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉอย่างไม่สนใจว่าจะล่วงเกินเหล่าสหายของป๋ายเสี่ยวฉุน ทั้งยังไปขอร้องหลี่เสี่ยนเต้าบุรพาจารย์ของเขา สุดท้ายเชิญให้ผู้อาวุโสก่อกำเนิดคนหนึ่งของตระกูลมาจับตัวจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉไป!
หากจางต้าพั่งยังไม่เข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกของกระดานอันตมรรคาฟ้าดารา
หลี่หยวนเซิ่งย่อมกล้าฆ่าเขา แต่ตอนนี้ฐานะของจางต้าพั่งแตกต่างไปจากเดิมแล้ว ต่อให้เป็นหลี่เสี่ยนเต้าบุรพาจารย์คนฟ้าเองก็ยังไม่สามารถสังหารเขาอย่างไร้เหตุผลได้ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงแค่ถูกจับตัวไปขังคุก
ทว่าหลี่หยวนเซิ่งผู้นั้นอำมหิตเหี้ยมโหด ถึงกับใช้กำลังคนในสายตัวเองให้กำหนดระยะลงโทษยาวนานถึงหกสิบปีเต็ม!
และก็ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉไม่ได้กลับไปยังสำนักสยบธารตอนที่เกิดสงคราม พวกเขาอยู่ในคุกจึงไม่รู้ว่าโลกข้างนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น
รับฟังคำบอกเล่าจากจางต้าพั่ง สีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง แต่พอตอนนี้ได้รู้ ในใจจึงแค้นเคืองการกระทำของตระกูลหลี่ยิ่งนัก
อีกทั้งเรื่องนี้ หากสืบสาวราวเรื่องกันอย่างถึงแก่นแล้วก็ล้วนมีสาเหตุมาจากปมแค้นระหว่างป๋ายเสี่ยวฉุนกับหลี่หยวนเซิ่งทั้งสิ้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ สวีเป่าไฉ เรื่องนี้ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับพวกเจ้าเอง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันพูด
“ข้าอยาจะรู้นักว่าหลี่เสี่ยนเต้าผู้นั้นจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หากเขาจัดการดีก็พอทำเนา แต่หากยังปกป้องคนของตัวเอง ข้าก็คงต้องอัดเขาให้น่วมอีกครั้ง!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น ในใจตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด
พอเขาเอ่ยจบ จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็หันมามองหน้ากัน พักใหญ่ สวีเป่าไฉที่อดไม่ได้จึงเอ่ยเตือนขึ้นมาหนึ่งประโยค
“บุรพาจารย์น้อย…เอ่อ หลี่เสี่ยนเต้าเขาเป็นถึงคนฟ้าเชียวนะ…”
“คนฟ้านับกะผีอะไร ข้าก็เป็นคนฟ้าเหมือนกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงโอหัง
พอเขาพูดเช่นนี้ จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉก็มองตาค้าง อึ้งงันกันไปอย่างสมบูรณ์แบบ ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอึงอล นั่นเป็นเพราะคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนทำให้พวกเขาไม่กล้าเชื่อ ทั้งยังถึงขั้นรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดคิดไปมากโข
“เสี่ยวฉุน…เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” จางต้าพั่งเริ่มเป็นกังวลจึงรีบปรี่ขึ้นหน้าไปเอามือทาบหน้าผากป๋ายเสี่ยวฉุน เขารู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนต้องป่วยแน่ๆ
“ข้าเป็นคนฟ้าจริงๆ นะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนรีบพูดเสียงรัว รู้สึกร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก
“เสี่ยวฉุน เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว พวกเราเชื่อ! ใช่แล้ว เจ้าไปหาใครมาเชิญตัวหลี่เสี่ยนเต้ากันล่ะ เขาถึงได้ยอมปล่อยพวกเราออกมา” จางต้าพั่งเปลี่ยนเรื่องฉับไว
“ข้าไม่ได้เชิญใครสักหน่อย ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจ ยังไม่ทันพูดจบก็พลันหันไปเห็นว่าบนท้องฟ้ามีลูกศิษย์อยู่เจ็ดแปดคนซึ่งน่าจะเพิ่งผ่านการประลองบนกระดานอันตมรรคาฟ้าดาราและเตรียมจะจากไป ดังนั้นจึงตะโกนเรียกคนเหล่านั้นเอาไว้
“พวกเจ้ามานี่สิ บอกกับสหายของข้าสองคนนี้ทีว่าข้าคือใคร!”
ลูกศิษย์เจ็ดแปดคนนั้นตะลึงงัน ได้ยินอย่างนั้นก็รีบบินเข้ามา เพิ่งจะเข้ามาใกล้ก็รีบยกมือขึ้นกุมกันคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างนอบน้อม
“คารวะบุรพาจารย์ป๋าย!”
การคารวะและความเคารพนอบน้อมของพวกเขาทำเอาจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉอึ้งงันกันไปอีกครั้ง คนเจ็ดแปดคนนี้มีอยู่คนสองคนที่พวกเขารู้จัก รู้ว่าพวกเขาคือคนที่อยู่ในห้าสิบอันดับแรกของกระดานอันตมรรคาฟ้าดารา และคนหนึ่งในนั้นยังเป็นถึงศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่อยู่ในอันดับสิบกว่า
“นี่มัน…เสี่ยวฉุนเจ้าอย่าล้อเล่นสิ…” ลมหายใจของจางต้าพั่งถี่รัว สายตาเริ่มเลื่อนลอย ใจก็อยากจะเชื่อแต่กลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ สวีเป่าไฉที่อยู่ข้างกันถึงกับตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตาเผยความเหลือเชื่ออย่างรุนแรง
“ข้าคือคนฟ้าจริงๆ คือคนฟ้าคนที่หกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนจนใจอย่างยิ่ง จึงถือโอกาสระเบิดตบะออกมาเสียเลย ทันใดนั้นก็เหมือนมีเสียงฟ้าผ่าดังกังวานไปแปดทิศ พลานุภาพที่ทะยานเทียมฟ้าของเขาแกร่งกร้าวราวพลิกฟ้าพลิกดิน ทำให้ลมกระโชกเคลื่อนเมฆซัดตลบ ก่อนใบหน้าใหญ่ยักษ์ที่เป็นของป๋ายเสี่ยวฉุนจะถูกจำแลงขึ้นมาบนนภากาศ และกำลังทอดสายตามองลงมาบนพื้นดินราวกับมองทุกสรรพชีวิต
ปณิธานของเขาที่เป็นดั่งปณิธานแห่งสวรรค์ก็พลันเยื้องกรายลงมาบนโลกใบนี้!