บทที่ 907 เหมือนปลาได้น้ำ
อีกทั้งบนแผ่นหยกนี้ยังบันทึกไว้ด้วยว่าก่อนหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานเคยมีบุรพาจารย์คนฟ้าของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราสามคนที่ตายไปแล้วเคยฝึกวิชานี้มาก่อน
ซึ่งในแผ่นหยกนี้ก็มีบันทึกความในใจของการฝึกวิชานี้จากคนทั้งสาม ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเสียดาย ทั้งยังมีคนหนึ่งที่พูดว่าหากคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลนี้เป็นฉบับสมบูรณ์แบบ และใช้วิชานี้ฝึกไปถึงขั้นครึ่งเทพ ถ้าเช่นนั้นก็คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาครึ่งเทพได้เลย!
เพราะวิชานี้เผด็จการมากเกินไป แตกต่างไปจากวิชาคนฟ้าอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ใช้การชุบหลอมพลังวิญญาณฟ้าดินเข้ามาไว้ในร่างของตัวเอง สร้างพระอาทิตย์และพระจันทร์ไว้ในกาย เมื่อให้การบำรุงเลี้ยงดูอย่างต่อเนื่อง หากพระอาทิตย์และพระจันทร์ลอยขึ้นมาจากในร่างเมื่อไหร่ก็สามารถทำให้ท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งดวง!
อานุภาพของมันยิ่งใหญ่ไพศาลจนมากพอจะเขย่าคลอนจิตวิญญาณของผู้คน! อีกทั้งเมื่อฝึกวิชานี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีวิชาเสริมใดๆ ปูทางมาก่อน ขอแค่มีตบะถึงเขตคนฟ้าก็สามารถฝึกได้เลย เป็นเหมือนวิชาสารพัดประโยชน์ที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าวิชาใดๆ
เพียงแต่ว่าข้อบกพร่องของมันก็ทำให้คนจนใจได้เหมือนกัน มีให้ฝึกแค่สามขั้นแรก…อีกทั้งสามขั้นนี้ยังเป็นการอนุมานจากคนรุ่นหลังด้วย นั่นก็ย่อมมีความแตกต่างจากสามขั้นที่มาจากวิชาจริง
และหากฝึกมันเมื่อไหร่ หากทั้งชีวิตนี้ไม่หยุดอยู่ในขั้นคนฟ้าช่วงกลางก็จำเป็นต้องเปลี่ยนไปฝึกวิชาใหม่ตอนอยู่ช่วงคนฟ้าช่วงกลาง ดังนั้นจนถึงวันนี้จึงมีเพียงคนสามคนที่เคยฝึก อีกทั้งทุกคนล้วนเปลี่ยนมาฝึกวิชาอภินิหารอย่างใหม่เมื่ออยู่ในขั้นคนฟ้าช่วงกลางทั้งสิ้น
“วิชาอื่นๆ ไม่เหมาะกับข้า แบบนี้ก็สู้ฝึกวิชานี้จะดีกว่า…แม้ว่าจะไม่มีวิชาช่วงหลังให้ฝึกต่อ แต่ลูกศิษย์ของข้าเป็นถึงจักรพรรดิหมิง ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ แถมเขายังฉลาดเลิศล้ำปานนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะช่วยข้าอนุมานขั้นอื่นๆ หลังจากนี้ออกมาก็เป็นได้” หลังจากชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็กัดฟันหยิบเอาคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลขึ้นมา ก่อนจะขยับกายเดินออกไปจากหอฟ้าดารา
ตอนที่ออกมาก็ได้กลับมาถึงที่พักของเขาเองแล้ว จากนั้นเขาก็ปิดด่านทำการศึกษาวิชานี้ทันที ยิ่งทำความเข้าใจกับคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลลึกซึ่งเท่าไหร่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นกระหน่ำมากเท่านั้น เขาคิดว่าวิชานี้ไม่ควรเรียกว่าคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาล มันร้ายกาจขนาดนี้ควรจะตั้งชื่อว่าคาถาสุริยันจันทราสะท้านฟ้าถึงจะถูก!
“สามขั้นแรกล้วนเป็นบทบ่มเพาะดวงจันทร์ จนกระทั่งถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขั้นที่สามก็จะสามารถดึงเอาพระจันทร์ที่เพาะฝังไว้ในร่างให้ออกมาปรากฏสู่โลกภายนอก!”
“ส่วนสามขั้นตรงกลางที่ขาดหายไปก็น่าจะเป็นบทบ่มเพาะดวงอาทิตย์…”
“หากมองเช่นนี้ สามบทสุดท้ายก็คงต้องเป็นการเอาพระอาทิตย์และพระจันทร์ออกมาส่องสว่างทั่วฟ้าดินพร้อมกัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจ หลังจากปลงอนิจจังอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มทดลองฝึก
ขณะเดียวกันพลังชีวิตที่จำเป็นสำหรับการฝึกเลือดคงกระพัน ด้วยตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนตอนนี้เขาจึงสามารถไปขอพืชหญ้าที่มีพลังชีวิตเปี่ยมล้นจำนวนมากมาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราได้โดยตรง อีกทั้งยังใช้ตัวตนผู้อาวุโสไท่ซ่างของตัวเองออกภารกิจอย่างหนึ่งให้กับสำนัก โดยการให้นักพรตสายโอสถของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราช่วยหลอมยาให้กับเขา
เพียงแต่ว่ายาที่คนเหล่านั้นหลอมออกมายังอยู่ไกลเกินกว่าสิ่งที่เขาต้องการมากนัก ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าตัวเองหลอมเองยังจะดีเสียกว่า คิดไม่ตกอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด
“ข้าไม่กล้าหลอมนี่นา ทุกครั้งที่หลอมยาต้องมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ ตอนนี้อยู่ในสำนัก เหนือข้าขึ้นไปยังมีบุรพาจารย์ครึ่งเทพอีกนะ หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็เป็นปัญหาแน่” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ได้แต่ฝืนใจทนใช้ยาที่ลูกศิษย์พวกนั้นหลอม แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อได้ยามาในปริมาณมากก็ทำให้การฝึกเลือดคงกระพันของเขามีการพัฒนาแบบก้าวกระโดด
ทว่าลึกๆ ในใจของเขายังคงวางเรื่องที่ตนไม่สามารถหลอมยาได้ด้วยตัวเองไม่ลง
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปแล้วสามเดือน
สามเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจมจ่อมอยู่กับการฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นเลือดคงกระพันหรือคาถาสุริยันจันทราฟ้าไพศาลก็ล้วนมีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ว่าการเป็นบุคคลซึ่งมีตำแหน่งที่แทบจะเรียกได้ว่าสูงสุดในสำนักนั้นจะได้รับทรัพยากรในการฝึกตนที่มากเกินจะเปรียบขนาดไหน
สามารถพูดได้ว่าสามเดือนมานี้เขาใช้ทรัพยากรไปอย่างสิ้นเปลือง หากไปอยู่ในสำนักสยบธาร อาจไม่ถึงกับทำให้สำนักสยบธารสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ก็ต้องทำให้พลังต้นกำเนิดของสำนักเสียหายอย่างหนัก ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา การเผาผลาญทรัพยากรของเขาเช่นนี้กลับเรียกได้ว่าเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่กำแพงเมืองยังไม่พังถล่ม การใช้จ่ายของกำแพงเมืองมากกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนหลายเท่านัก แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น สำนักอันตมรรคาฟ้าดาราก็ยังคงมีทรัพยากรไปหนุนเนืองให้อย่างไม่ขาดสาย แค่นี้ก็พอจะจินตนาการได้ว่ารากฐานที่สั่งสมมานานหลายหมื่นปีของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราจะลึกล้ำมากแค่ไหน
อีกทั้งเมื่อลองเปรียบเทียบดูป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบว่าเป็นครึ่งเทพเหมือนกัน
แต่สี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ของนครจักรพรรดิขุยกลับมีข้อแตกต่างจากสี่สำนักใหญ่ต้นแม่น้ำของเขตพื้นที่แม่น้ำทงเทียนไม่น้อย
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างครึ่งเทพสองฝ่ายนี้ใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ ลำพังเพียงแค่ด้านกองกำลังและทรัพยากร สำนักต้นน้ำก็มีมากพอจะสยบราชาสวรรค์ของราชสำนักขุยได้แล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนได้มาอยู่ในตำแหน่งสูงก็ทำให้เขาค้นพบจุดอ่อนของเขตแม่น้ำทงเทียนแล้วเช่นกัน
นั่นก็คือ…ปณิธานในการต่อสู้และความเหี้ยมหาญ!
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิญญาณที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความยากแค้นของแดนทุรกันดารแล้ว นักพรตของเขตแม่น้ำทงเทียนส่วนใหญ่กลับเป็นเหมือนดอกไม้ที่ถูกประคมประหงมไว้ในโรงเรือน ไม่ว่าจะเป็นความบ้าดีเดือดหรือความทะเยอทะยานก็ล้วนสู้ผู้ฝึกตนของแดนทุรกันดารไม่ได้
บางทีอาจด้วยเหตุนี้ถึงทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างมีความสมดุลกันในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อกำแพงเมืองพังถล่มไปแล้วก็ยากจะพูดได้ว่าเรื่องนี้จะมีประโยชน์ต่อฝ่ายแดนทุรกันดารหรือฝ่ายเขตแม่น้ำทงเทียนกันแน่
เรื่องนี้ใหญ่มากเกินไป ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้สึกปวดหัวอย่างยิ่งจึงเลิกคิดมันไปเสียเลย เขาเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกตนอย่างเดียว ขณะเดียวกันเวลาสามเดือนมานี้กองกำลังใต้บังคับบัญชาของเขาก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นถึงระดับที่น่าตกใจ
ไม่เสียแรงที่จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉสองคนอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารามานานหลายปี แม้ว่าวันปกติจะต้องใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวัง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีพรรคพวกที่เป็นเส้นสายของตัวเอง เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้พวกเขาก็สามารถดึงตัวลูกศิษย์จำนวนมากในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่เดิมทีไม่ได้รับความสนใจให้กลายมาเป็นกองกำลังของผู้อาวุโสไท่ซ่างคนที่หกอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนได้สำเร็จ
ในบรรดานี้มีผู้อาวุโสก่อกำเนิดมากถึงเก้าคน เฝิงโหย่วเต๋อเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส่วนนักพรตรวมโอสถและสร้างฐานรากก็ยิ่งมีจำนวนมากมหาศาลจนเหมือนจะกลายมาเป็นกองกำลังที่ตั้งตัวเป็นอิสระสายหนึ่งในสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราแล้ว ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ต้องยกคุณความชอบให้กับประสบการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครั้งอยู่ในนครฟ้าที่ทำให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉเจริญรอยตาม ขณะเดียวกันก็เอาบทเรียนเก่ามาปรับใช้ใหม่ นั่นถึงทำให้พวกเขาสร้างกองกำลังของตัวเองขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้
ส่วนหลี่เสี่ยนเต้าก็ได้มอบคำอธิบายให้กับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเช่นกัน
หลี่เสี่ยนเต้าเด็ดขาดกับเรื่องนี้มาก เดิมทีเขาเองก็ไม่คิดจะลงมือโหดเหี้ยมขนาดนั้น แต่เมื่อเข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้แล้ว เขาจึงรู้ดีว่าหากตนจัดการไม่ดี เกรงว่าการคลี่คลายวิกฤตก่อนหน้านี้จะไม่เพียงแต่เป็นฟองอากาศที่อาจแตกได้ทุกเมื่อ ยังอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและป๋ายเสี่ยวฉุนเลวร้ายยิ่งกว่าเก่าอีกด้วย
และในฐานะที่เขาเป็นบุรพาจารย์คนฟ้าจึงมีลูกหลานมากมาย แน่นอนว่าย่อมตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดจนถึงขั้นเอาหัวของผู้อาวุโสก่อกำเนิดคนที่ลงมือกับจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉมาส่งให้ต่อหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนหลี่หยวนเซิ่งก็ถูกทำลายตบะและจับขังไว้ในคุกที่เดิมทีใช้ขังจางต้าพั่งและสวีเป่าไฉสองคน เรื่องนี้เขาจัดการได้อย่างเด็ดขาดจนป๋ายเสี่ยวฉุนพูดอะไรไม่ออก จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉเองก็พอใจอย่างมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นการผ่อนคลายความสัมพันธ์ของกันและกัน ทั้งยังคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดจากเรื่องของสำนักสยบธารไปได้ไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกันเมื่อตำแหน่งของป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นคง อิทธิพลแผ่ขยาย ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดอะไร โรงเตี๊ยมน้ำชาของเขาที่อยู่ในนครฟ้าซึ่งถูกพรรคท้องฟ้าฮุบไปครองก็ถูกส่งคืนกลับมาอย่างนอบน้อม
ส่วนหัวหน้าใหญ่ของพรรคท้องฟ้าในปีนั้นก็มาขอพบป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยตัวเอง เขาตัวสั่นระริก ท่าทางหวาดกลัวกระวนกระวาย คล้ายกังวลว่าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่สบอารมณ์
ในใจเขาเองก็ปลงอนิจจังอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ปีนั้นช่วงชิงทรัพยากรในนครฟ้ากับพรรคท้องฟ้าของเขา มาวันนี้ในอีกสิบกว่าปีให้หลัง อีกฝ่ายจะพลิกตัวกลายมาเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่าง คนฟ้าอันดับที่หกของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราที่ตนต้องแหงนหน้ามอง
สำหรับการขอเข้าพบของหัวหน้าพรรคท้องฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนตอบรับอย่างชื่นมื่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขารู้สึกว่าตนได้เรียนรู้เคล็ดลับมาจากพรรคท้องฟ้าไม่น้อย หาไม่แล้วตอนที่อยู่นครจักรพรรดิขุย เมื่อเผชิญกับการกลั่นแกล้งจากซื่อจื่อของราชาเก้านรกภูมิ เผชิญหน้ากับอาจารย์หลอมวิญญาณขั้นสีดำทั้งสองท่าน เขาก็คงไม่สามารถหาวิธีแก้ไขปัญหาได้
แต่ยิ่งเขาไม่พูด หัวหน้าของพรรคท้องฟ้าก็ยิ่งตึงเครียด ตอนที่จากมาร่างของเขาโชกไปด้วยเหงื่อ ยามลมพัดผ่านก็ตัวสั่นเยือกด้วยความหนาวเหน็บอย่างห้ามไม่ได้ สวีเป่าไฉที่มาพร้อมกับเขาเห็นอย่างนั้นดวงตาก็กลอกกลิ้งหนึ่งทีแล้วรีบเอ่ยข่มขู่ไปหลายคำ ทำเอาหัวหน้าพรรคท้องฟ้าตกใจ พอกลับไปถึงที่พักก็รีบส่งของชดเชยมาก้อนใหญ่ นั่นถึงทำให้จางต้าพั่งและสวีเป่าไฉพอใจ
เวลาล่วงเลยไปอีกครั้ง หลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารายืนหยัดได้อย่างมั่นคงแล้ว กองกำลังของเขาก็เข้ารูปเข้ารอย ชื่อเสียงแพร่ระบือไปทั่วทั้งเขตแม่น้ำทงเทียนจนสำนักต้นแม่น้ำอีกสามสายรับรู้กันถ้วนทั่ว
ส่วนในแดนทุรกันดารก็มีคนได้ยินเรื่องของป๋ายเสี่ยวฉุนคนฟ้าอันดับที่หกแห่งสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเช่นกัน ทุกคนในแดนทุรกันดารที่รู้เรื่องถึงกับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ในใจก็รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ลึกลับยิ่งนัก
ต้องเข้าใจว่าพวกเขารับรู้มาโดยตลอดว่าหลายปีมานี้อีกฝ่ายมาซ่อนตัวอยู่ในแดนทุรกันดาร ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่มีใครเจอเบาะแสของป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่เสี้ยวเดียว
ส่วนพวกผู้แข็งแกร่งระดับสูงที่รู้ตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนในแดนทุรกันดารก็พากันทอดถอนใจด้วยความปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ยิ่งต้าเทียนซือที่ได้รับรายงานเกี่ยวกับสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา เขาที่นั่งอยู่ในตำหนักเทียนซือก็ถึงกับนิ่งเงียบไปนาน
ราชาผียักษ์ของนครผียักษ์ที่พอรู้เรื่องนี้ก็พึมพำเบาๆ
“ไอ้ลูกหมา ก่อนจะไปก็ไม่บอกข้าสักคำ รอให้คราวหน้าเจอกัน ข้าจะฟาดไอ้ลูกหมานี่ไม่เลี้ยงเลย!”
เวลาเดียวกันนั้น ภาพมายากลางนภากาศเหนือแดนทุรกันดารมีแม่น้ำสายยาวอยู่เส้นหนึ่ง จุดลึกของแม่น้ำมีพระราชวังหลังหนึ่งที่เป็นสีดำสนิท ป๋ายฮ่าวที่เวลานี้สวมชุดจักรพรรดิสีดำ สวมมงกุฎจักรพรรดิ สีหน้ามากบารมีเต็มไปด้วยความเย็นชา มีเพียงยามที่มองไปยังทิศทางของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราเท่านั้นที่ความเย็นชาถึงจะแปรเปลี่ยนมาเป็นความอ่อนโยนและเคารพนับถือ