บทที่ 919 ทำไมเขาถึงมาร่วมสนุกด้วย?
เมื่อเรือรบขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ผ่อนคลายอีกต่อไป เขานึกถึงโหวเสี่ยวเม่ยที่ไปอยู่บนเกาะทงเทียน นึกถึงตู้หลิงเฟยที่ไปจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราและกลับไปยังเกาะทงเทียนตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน
อันที่จริงที่เขาเข้าร่วมการรับลูกศิษย์ของเทียนจุนในครั้งนี้ นอกจากแรงกระตุ้นของยาอายุขัยแล้ว ยังมีอีกอย่างคือเขาอยากมาดูให้เห็นกับตาว่าโหวเสี่ยวเม่ยปลอดภัยจริงหรือไม่ ทว่าสิ่งที่ใจเขาพะวงห่วงหามากที่สุด
กลับเป็นคนอีกคนหนึ่งอย่าง…ตู้หลิงเฟย!
“ปีนั้นก่อนที่ข้าจะไปกำแพงเมือง เจ้าเคยบอกว่า…เมื่อข้ากลับมา เจ้าจะบอกทุกเรื่องให้ข้ารู้” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ เวลานี้เขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
ในความทรงจำของเขามีเงาร่างของผู้หญิงมากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนไม่พิเศษเท่าตู้หลิงเฟย เขาได้รู้จักกับตู้หลิงเฟยหลังโหวเสี่ยวเม่ยเสียอีก ทว่าประสบการณ์ทั้งหมดระหว่างเขากับตู้หลิงเฟยกลับเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นไม่ว่ากับผู้หญิงคนใดก็ตาม
การพึ่งพาอาศัยฝ่าความเป็นความตายมาด้วยกันเมื่อครั้งเทือกเขาลั่วเฉิน การพบเจอกันหลังจากที่เขากลับมาจากหุบเหวกระบี่อุกกาบาตแล้วอีกฝ่ายหายตัวไปกะทันหัน สายตาซึ่งเต็มไปด้วยความไม่คาดคิดที่มองประสานกันและกันเมื่อครั้งหน้ากากของนางหลุดร่วงลงมาในการประลองบุตรโลหิตของสำนักธาราโลหิต…
และยังมีการดูแลอย่างลับๆ เมื่อเขาอยู่ในสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา ที่มากกว่านั้นคือการมอบวิญญาณคนฟ้าให้…
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อาจลืมเลือน ต่อให้ตัวเขาเองจะแยกไม่ออกแล้วว่าระหว่างตนกับตู้หลิงเฟยเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่
หากบอกว่ารักว่าชอบ ในอดีตนั้นเคยมี ทว่าตอนนี้…แม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร
ถึงขั้นพูดได้ว่าเมื่อเวลาผันผ่าน ความดึงดันยึดมั่นที่ต้องการตามหาตู้หลิงเฟยในปีนั้นกลับเจือจางลงไปมากแล้ว บางทีตอนนี้สิ่งที่เหลืออยู่ นอกจากความทรงจำแล้ว คงมีแค่เพียงคำตอบหนึ่งเท่านั้น
“ตัวตนของเจ้า ข้า…พอจะเดาได้บ้างแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลับตาลง
เมื่อเรือรบขยับเข้าไปใกล้เกาะทงเทียนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่เงียบงัน ทุกคนที่อยู่บนเรือต่างก็มีความรู้สึกกดดันเกิดขึ้นในใจอย่างน่าประหลาด
ทุกคนคอยเงยหน้ามองทิศไกลอยู่ตลอดเวลา และไม่นาน ในที่สุดวันนี้ในเส้นสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนและของทุกคนก็เริ่มมี…ภาพทิศทัศน์หนึ่งที่เลือนรางซึ่งเผยให้เห็นอยู่ระหว่างฟ้าดินรำไรไกลๆ
ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเกาะแห่งหนึ่ง…
วินาทีที่มองเห็นเกาะนี้ เสียงลมหายใจหอบหนักของพวกนักพรตที่อยู่บนเรือก็ทยอยกันดังออกมา ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โชนแสงคมกริบเช่นกัน
คนอื่นมองเห็นได้ไม่ชัดนัก ทว่าในสายตาของเขา แม้เกาะนั้นจะไม่ถึงขั้นจัดเชนจนเห็นทุกซอกทุกมุม แต่ก็พอเห็นลักษณะคร่าวๆ ของมันได้แล้ว
หรือจะพูดอย่างละเอียดก็คือ นี่คือเกาะหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายน้ำเต้า วงกลมใหญ่คือใจกลางของเกาะ ส่วนวงกลมเล็กคือท่าเรือ มีเทือกเขาเส้นหนึ่งคล้ายกระดูกสันหลังของมังกรที่…เชื่อมโยงวงกลมทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
บนเกาะมีตำหนักหลายหลังที่ก่อสร้างอย่างประณีตงดงาม พืชพรรณเขียวขจีผลุบๆ โผล่ๆ ให้เห็นอยู่ด้านใน เมื่อมองไปด้านบนจะเห็นว่าในเกาะมีภูเขาขนาดใหญ่มหึมาอยู่สามลูก บนยอดเขาทุกลูกล้วนมีตำหนักที่น่าครั่นคร้ามตั้งอยู่ ซึ่งยอดเขาตรงกลางคือตำหนักหลัก ส่วนอีกสองยอดเขาด้านข้างเป็นตำหนักรอง
เบื้องใต้ตำหนักหลักคือบันไดหินเลื้อยลดคดเคี้ยว ระหว่างทางยังมีตำหนักอีกหลายแห่งตั้งเรียงราย ทำให้เกาะแห่งนี้มองดูเหมือนทั้งอุทยานดอกไม้ และเหมือนทั้งวังหลวง!
นี่ก็คือ…เกาะทงเทียน!
ตำหนักเต๋าของเทียนจุน!
ตำหนักทุกหลังที่อยู่ด้านในต่างก็แผ่พลานุภาพสยบออกมา จำนวนที่แน่นอนของตำหนักพวกนั้นนับไม่ได้หมด แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองคร่าวๆ ก็วิเคราะห์ง่ายๆ ว่าน่าจะมีมากนับพันตำหนัก
พอพลานุภาพสยบของตำหนักนับพันนี้มารวมเข้าด้วยกันก็ก่อกลายมาเป็นพลังอำนาจที่สยบขวัญเขย่าคลอนฟ้าดิน เกรียงไกรองอาจดั่งพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ราวกับว่าแม้แต่มหาสมุทรทงเทียนก็ยังต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่กล้าสร้างคลื่นลมใดๆ เป็นการรบกวน
ดั่งว่าเกาะนี้คือยักษ์ตนหนึ่งที่ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน มีอานุภาพสูงส่งเกินผู้ใดทัดเทียม ซึ่งเขากำลังหลุบตามองต่ำลงมายังพื้นดิน เป็นเจ้าเหนือหัวของสรรพชีวิต!
บัดนี้ในตำหนักใหญ่บนยอดเขาที่อยู่ตรงกลางของภูเขาทั้งสามลูกมีเก้าอี้ตัวใหญ่มหึมาที่เกิดจากผลึกธรรมชาติสีดำตัวหนึ่งตั้งอยู่ ผลึกนี้ลอดทะลุไปทั่วทั้งตัวภูเขา ราวกับว่าได้เชื่อมต่อเข้ากับใต้มหาสมุทรทงเทียนเบื้องล่างเกาะ
มีสายฟ้าเส้นโค้งงอสีดำหลายเส้นว่ายวนอยู่ด้านในอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายสายฟ้าเหล่านั้นก็ผสานรวมเข้าไปในร่างของคนผู้หนึ่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยอานุภาพสยบซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้
คนคนนี้ก็คือเทียนจุน!
แทบจะวินาทีเดียวกับที่พวกป๋ายเสี่ยวฉุนมาถึง เทียนจุนก็ลืมตาขึ้นช้าๆ มองไกลๆ ไปยังเรือรบของสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราด้วยหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันน้อยๆ
“เพราะบาดเจ็บหนักเกินไป ทำให้ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ…เลยไม่ทันจับตามอง…
เจ้าเด็กที่มีพลังแห่งความคิดล้อมวนอยู่ทั่วร่าง ซึ่งเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาแหมากมายที่เจ้าแก่คนเฝ้าสุสานหว่านออกมา ทำไมเขาถึงมาเข้าร่วมเรื่องสนุกครั้งนี้ด้วย!”
“กล้าปล่อยเขากลับมายังโลกทงเทียน เจ้าแก่คนเฝ้าสุสาน…เจ้าคิดคำนวณมาดิบดีแล้วใช่ไหมว่า ข้าจะทำเรื่องอย่างที่เคยหลอกใช้บรรพบุรุษโลหิตในปีนั้นอีกครั้ง เอาเขามาเป็นหมากที่จะพลิกฟ้าหลังจากแผนการทั้งหมดล้มเหลว เจ้ารู้ว่าข้าไม่เพียงแต่จะไม่ทำร้ายเขา อีกทั้งก่อนหน้าที่เขายังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ข้ายังจะต้องปกป้องเขาด้วย…”
“ตาแก่ เจ้ารู้ใจข้าดีจริงๆ …แต่หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ข้าก็ไม่อยาก…เดินไปถึงก้าวสุดท้ายนั่นอีกแล้ว…” เทียนจุนนิ่งคิดอยู่นาน สุดท้ายก็หลับตาลงอีกครั้ง
แม้ว่าเทียนจุนจะหลับตา ทว่าอานุภาพสยบบนเกาะทงเทียนกลับยังคงเข้มข้นดุจเดิม!
ยามนี้เมื่อเรือรบเข้าไปใกล้เกาะทงเทียน ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นหนักอึ้ง และจู่ๆ เวลานี้เอง สายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปล่งแสงวาบ หันขวับไปมองมหาสมุทรทงเทียนที่อยู่นอกเกาะ
ไม่นานเขาก็สังเกตเห็นว่าสามทิศทางรอบเกาะนี้ยังมีเรือรบอีกสามลำ…ที่ขนาดพอๆ กับเรือรบของสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา แต่ลักษณะแตกต่างกันออกไป ซึ่งกำลังห้อทะยานพุ่งเข้ามาจอดที่ท่าเรือของเกาะทงเทียนจากทิศทางที่ต่างกัน
เรือรบทั้งสามลำนี้มาจากทิศตะวันตก ทิศเหนือและทิศใต้ เรือรบที่มาจากทางทิศตะวันตกทำมาจากหินยักษ์สีเขียวทั้งลำ ให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันสามารถเขย่าคลอนแม่น้ำและขุนเขา อานุภาพน่าตะลึง ทั้งโบราณเก่าแก่แต่ก็เรียบง่าย
บนเรือรบลำนั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นคนไม่น้อยยืนอยู่ได้อย่างเลือนราง พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างของคนที่อยู่หน้าสุดทำให้เขาอดจ้องนิ่งไม่ได้ ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง มีกลิ่นอายของความเป็นเซียนแผ่ออกมาจากทั้งร่าง คลื่นตบะคนฟ้าของเขาก็เข้มข้นอย่างถึงที่สุด
ส่วนเรือรบที่มาจากทางทิศใต้ซึ่งพอป๋ายเสี่ยวฉุนหันไปเห็น ม่านตาก็ถึงกับหดตัว เรือลำนั้นทำมาจากไม้สีดำสนิท ทว่ากลับมีควันสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมวนอบอวล ทั้งอึมครึมทั้งน่าสะพรึงกลัว ขณะเดียวกันก็พอจะมองเห็นได้รำไรว่าในควันดำนั้นมีมังกรนิลตัวหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ เพียงแค่กวาดตามองทีเดียว หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับว่ามังกรดำตัวนั้นมีพลังอันน่าครั่นคร้าม มันคือวิญญาณวัตถุที่อยู่ในเรือรบ!
เหนือศีรษะของมังกรดำคล้ายจะมีเงาร่างของคนผู้หนึ่งนัดขัดสมาธิอยู่ มองเห็นลักษณะท่าทางได้ไม่ชัด เห็นเป็นเพียงเค้าโครงเลือนราง อีกอย่างก็คือเส้นผมของคนผู้นี้กลับเหมือนไม่ได้ดำรงอยู่จริง แต่เป็นควันดำหลายกลุ่มที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง!
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบทิศตะวันตกกับทิศใต้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับให้ความสำคัญต่อเรือรบที่มาจากทิศเหนือมากที่สุด เรือรบของทิศเหนือทำมาจากน้ำแข็งทั้งลำ แผ่ปราณเย็นเยียบเข้มข้น ขณะเดียวกันก็พอจะมองเห็นได้ในรำไรว่าในชั้นน้ำแข็งมีสายฟ้าแลบวูบวาบพร้อมๆ กับเสียงครืนครั่นที่ดังออกมา อานุภาพนับว่าสะท้านฟ้า ทั้งยังให้ความรู้สึกที่เหี้ยมหาญดุดัน ทำเอาคนมองอกสั่นขวัญแขวนกันได้ง่ายๆ
ยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนสังเกตเห็นว่าด้านหน้าสุดของเรือรบสายทิศเหนือนี้มีชายฉกรรจ์ร่างดั่งเจดีย์เหล็กคนหนึ่งยืนอยู่ ร่างของชายฉกรรจ์ผู้นี้สูงพอสามจั้งกว่า ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อบึกบึน แม้จะมองเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่าความแข็งแกร่งของลักษณะพลังเขากลับถึงขั้นทำให้ม่านตาของป๋ายเสี่ยวฉุนหดตัว
ไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้วุ่นวาย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้ได้ทันทีว่าเรือรบทั้งสามลำนี้ก็คือ…นักพรตจากแม่น้ำทงเทียนอีกสามสาย!
เห็นได้ชัดว่าการเดินทางของเรือรบสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราในครั้งนี้เป็นเวลาเดียวกับอีกทั้งสามสาย แถมความเร็วยังไม่ต่างกันมากนัก ทำให้พวกเขามาถึงในเวลาแทบจะพร้อมๆ กัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนได้เห็นนักพรตของอีกสามสาย แม้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจะเข้าใจเรื่องราวของสามสายจากผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่รับผิดชอบสืบข่าวผู้นั้นไม่น้อย แต่พอได้เห็นเองกับตาก็ยังลมหายใจหอบถี่ พวกนักพรตที่อยู่ด้านหลังเขาก็แทบไม่ต่างกัน แต่ละคนที่เพ่งสายตามองไปก็ล้วนกำลังมองประเมินคนที่อยู่บนเรือรบอีกสามลำไม่หยุด
บรรยากาศพลันเปลี่ยนมาเป็นกดดันหนักอึ้ง เรือรบที่มาจากแม่น้ำทั้งสี่สายค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ต่างฝ่ายต่างมุ่งหน้าไปยังท่าเรือของเกาะทงเทียน
เมื่อเข้ามาใกล้ นักพรตบนเรือรบทั้งสี่ลำจึงมองเห็นกันได้ชัดเจนมากขึ้น และป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่กวาดมาบนร่างของตน
และเวลานี้เอง ผู้อาวุโสก่อกำเนิดที่คุ้นเคยกับแม่น้ำสามสายเป็นอย่างดีก็ได้แนะนำนักพรตของทั้งสามฝ่ายให้ทุกคนรู้จักอย่างรวดเร็ว
“นอกจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดาราของแม่น้ำสายตะวันออกอย่างเราแล้ว แม่น้ำอีกสามสายก็แบ่งออกเป็นสำนักเสาเอกสยบจันทราแห่งสายตะวันตก สำนักมังกรเหินสมุทรผีแห่งสายใต้ และสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าแห่งสายเหนือ!”
“ทุกคนมองไปทางสำนักเสาเอกสยบจันทราแห่งสายตะวันตก ผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความเป็นเซียนผู้นั้น เขามีนามว่าหลิงเซียนซ่างเหริน คนผู้นี้เชี่ยวชาญเวทหินภูผา สามารถทำให้คนเป็นๆ กลายมาเป็นหินเป็นดินได้ แข็งแกร่งอย่างมาก ส่วนสำนักเสาเอกสยบจันทรานั้นก็เชี่ยวชาญพลังห้าธาตุ มองดูแล้วเหมือนธรรมดา แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นสำนักที่เชี่ยวชาญพลังห้าธาตุอย่างถึงที่สุด สามารถเคลื่อนภูเขาย้ายมหาสมุทรได้”
“ส่วนบรรดานักพรตก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเขา แม้ว่าคนส่วนมากข้าจะไม่รู้จัก แต่มีอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้สหายนักพรตทุกท่านต้องระวังมากเป็นพิเศษ เขาก็คือชายหนุ่มที่ยืนอยู่ฝั่งขวาของหลิงเซียนซ่างเหริน เขามีนามว่าสือเหยียน แม้จะมีตบะเป็นก่อกำเนิด ทว่ากลับเป็นก่อกำเนิดอันดับหนึ่งในสำนักเสาเอกสยบจันทรา เคยมีผลงานการสู้รบที่น่าตะลึงเพราะรอดชีวิตมาได้จากการต่อสู้กับคนฟ้าช่วงต้น!”