Skip to content

A Will Eternal 934

บทที่ 934 นี่มันวิชาอภินิหารอะไร

ตูมๆๆ!

ก็ไม่รู้ว่าจงใจหรือไม่ เพราะแทบจะวินาทีเดียวกับที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังออกไป อวิ๋นเหลยจื่อถึงได้แปลงร่างติดๆ กันหลายครั้งจนเสียงอสนีบาตดังกึกก้อง และร่างของอวิ๋นเหลยจื่อเองก็เปลี่ยนจากขนาดยี่สิบจั้งมาเป็นสามสิบจั้ง

จากนั้นก็เปลี่ยนจากสามสิบจั้งมาเป็นสี่สิบจั้ง จนกระทั่งท้ายที่สุดหยุดอยู่ที่ประมาณห้าสิบจั้ง แม้ว่าร่างกายสองฝั่งจะยังใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แต่ก็ใกล้เคียงกับปกติมากแล้ว

การไต่ทะยานของพลังอำนาจเขาก็มาถึงระดับที่น่าหวาดหวั่นเช่นกัน ยามนี้เขาที่ยืนอยู่กลางอากาศราวกับกลายร่างมาเป็นร่างจำแลงของบรรพบุรุษแห่งมวลมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง ร่างกายของเขาหนาใหญ่ พลังแห่งความป่าเถื่อน และยังมีอานุภาพสยบที่ทำให้จิตวิญญาณของคนสั่นคลอนล้วนบอกให้รู้ว่าระดับความแข็งแกร่งของอวิ๋นเหลยจื่อในเวลานี้ได้ไต่ไปถึงขีดสุดแล้ว

อีกทั้งนอกร่างของเขายังมีโล่แสงห้าสีคุ้มกันกาย โล่นี้หนาใหญ่อย่างยิ่ง และความรู้สึกที่มอบให้คนมองก็ราวกับว่ามัน…แข็งแกร่งทนทานจนมิอาจทำลายได้!

ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งค้างไปอย่างเห็นได้ชัด…ปฏิกิริยาตอบสนองแรกในสมองของเขาก็คือ ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความจงใจของอีกฝ่าย…

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ตายซะเถอะ!!” อวิ๋นเหลยจื่อที่แปลงกายครบห้าครั้งพลันร้องคำรามกร้าว เสียงดังราวฟ้าคำรณแหวกฟ้าผ่าดินของเขาทำเอาสี่ทิศสั่นสะเทือน ก่อนที่เขาจะระเบิดความเร็วตรงดิ่งมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ป๋ายเสี่ยวฉุนโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ดวงตาก็แดงก่ำไปหมด ความรู้สึกเหมือนโดนหยามเกียรติอย่างรุนแรงทำให้ไฟโทสะของป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งสูงลิบลิ่ว

“อวิ๋นเหลยจื่อ เจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว จะแปลงกายเจ้าก็แปลงมาแต่แรกสิ ดันมาเลือกแปลงเอาเวลานี้ เจ้าจงใจชัดๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่คำรามเดือดดาลพลันยกมือขวาขึ้นร่ายตรวนสลายลำคอพร้อมๆ กับชนาเขย่าภูเขา

พริบตาเดียวร่างของเขาก็กระโจนพรวดออกไป แต่เขายังรู้สึกว่าแรงจู่โจมนี้ยังไม่มากพอ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เกรี้ยวกราดจึงร่ายผนึกมิวางวายซ้ำไปอีก พริบตานั้นความเร็วของเขาจึงระเบิดถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงตูมตามกึกก้อง เขาก็พุ่งมาโผล่พรวดอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นเหลยจื่อแล้วร่ายใช้ตรวนสลายลำคอทันที

เสียงปังดังลั่น ตรวนสลายลำคอของเขากดทับลงไปบนโล่ห้าสีนอกร่างของอวิ๋นเหลยจื่อ ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงต้านทานที่มหาศาลจนเกินคำบรรยาย ราวกับว่ามีคลื่นยักษ์หลายชั้นที่ถาโถมเข้าลดทอนพลังจากตรวนสลายลำคอของเขา ทำให้ตรวนสลายลำคอแตกทลายออกอย่างต่อเนื่อง!

แม้ว่าสุดท้ายแล้วตรวนสลายลำคอจะลอดทะลุโล่ป้องกันไปได้ถึงสามชั้น ทว่าพอถึงชั้นที่สี่กลับไม่มีพลังเหลืออีกแล้ว

และเวลาเดียวกันนั้น การลงมือของอวิ๋นเหลยจื่อก็รวดเร็วฉับไวไม่ต่างกัน มือทั้งคู่ของเขามีสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดออกมา เมื่อเขาโบกไปรอบด้านอย่างแรง สายฟ้าเหล่านั้นก็กลายมาเป็นงูสีเงินหลายแสนตัวที่ซัดกระแทกลงบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

ร่างหินของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดพังทลายอย่างที่มิอาจต้านทานได้อีกต่อไป ท่ามกลางเศษหินเหลือคณานับที่ปลิวว่อนเผยให้เห็นร่างจริงของเขาที่ซ่อนอยู่ด้านใน และเวลานี้สายฟ้าที่อยู่รอบด้านก็ยังคงมากมายราวกับไร้ที่สิ้นสุด พริบตาเดียวพวกมันลอดทะลวงเศษหินแต่ละก้อนเข้ามารวมตัวกันแล้วตรงดิ่งเข้าใส่ร่างจริงของป๋ายเสี่ยวฉุน

เมื่อเห็นวิกฤตมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง เขาแผดเสียงร้องคำรามพลางยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราแล้วสะบัดโบกอย่างแรง

ทันใดนั้นไอความเย็นก็แผ่ซ่าน เงาน้ำแข็งเก้าเงาพลันปรากฏอยู่รอบกายเขาแล้วถลาออกไปข้างนอกเพื่อล่อสายฟ้าที่อยู่โดยรอบ ขณะเดียวกันป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้ก้าวถอย เวลานี้สมองของเขาว่างเปล่า การกระทำทุกอย่างเป็นไปตามสัญชาตญาณในการต่อสู้อย่างเดียวเท่านั้น และวินาทีนี้เขาก็ก้าวพรวดออกมาหนึ่งก้าว ไม่ได้หันไปมองสายฟ้ารอบด้าน แต่ยกมือขวาขึ้นแล้วกำเป็นหมัด!

ชั่วขณะที่เขากำมือ บนหมัดเขาก็มีน้ำวนสีดำลูกหนึ่งปรากฏขึ้นมา

น้ำวนสีดำนี้เพิ่งจะเผยกาย ปราณทั้งหมด เลือดลมทั้งหมด สัญญาณการดำรงอยู่ทั้งหมดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกน้ำวนสีดำดูดสวบเข้าไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขายังถึงขั้นบิดเบือนเหมือนจะเกิดลางแห่งการแห้งเหี่ยวอีกด้วย

หมัดจักรพรรดิมิดับสูญ…ถูกร่ายใช้อีกครั้ง!

ความกดดันรุนแรงที่ปรากฏกะทันหันทำให้อวิ๋นเหลยจื่อหน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจหอบรัว สัมผัสได้ถึงวิกฤตแห่งความเป็นความตาย เขาจึงไม่มัวสู้รบติดพันอีก แต่รีบถอยกรูดออกห่างว่องไว

ทว่าขณะที่เขากำลังจะก้าวถอยนั้นเอง ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลือนลั่นฟ้าดิน ด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนก็มีเงาร่างใหญ่ยักษ์ร่างหนึ่งที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ สวมชุดจักรพรรดิเผยกายออกมาแล้วหันขวับมามองเขาด้วยสายตาเหยียดต่ำ

อวิ๋นเหลยจื่อใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในสมองก็ยิ่งมีเสียงดังอึงอล แสงห้าสีนอกร่างเปล่งวูบวาบถี่รัว ถอยเร็วยิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ว่ายังช้าเกินไป…

หมัดนั้นเหวี่ยงลงมาแล้ว!

ไม่ถึงขั้นฟ้าถล่มดินทลาย แต่ก็ทำให้ฟ้าสะเทือนแผ่นดินยุบตัว!!

นภากาศทั้งผืนถูกใบหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาแทนที่ในชั่วพริบตา พลังสูงส่งเกินทัดเทียมพวยพุ่งขึ้นฟ้าตามหลังหมัดที่เหวี่ยงออกมา เสียงเกริกก้องดังกังวาน สายฟ้าทั้งหมดที่อยู่รอบด้านเหมือนถูกฉีกกระชากจึงแหลกสลายไปอย่างพร้อมเพรียงกัน!

จากนั้นก็มีเงาของหมัดที่ขยายใหญ่ราวกับไร้ที่สิ้นสุดซึ่งทำให้อวิ๋นเหลยจื่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างบ้าคลั่งพุ่งเข้ามาแสกหน้า ตลอดทางที่ผ่าน หมัดนั้นบุกตะลุยราวผ่าลำไม้ไผ่ สายฟ้าพังทลาย ความว่างเปล่าแตกสลาย สุดท้ายก็กระแทกลงบนโล่ห้าสีนอกร่างของอวิ๋นเหลยจื่ออย่างจัง!

โล่ห้าสีนี้สามารถต้านทานคาถาคนขุนเขา บวกกับชนาเขย่าภูเขาและการระเบิดของตรวนสลายลำคอของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ทว่าบัดนี้กลับไม่สามารถต่อต้านการระเบิดพลังของ…หมัดจักรพรรดิมิดับสูญห้าเท่าได้!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากที่โล่ห้าแสงแตกกระจายไปทีละชั้น หมัดนี้ก็ซัดลงบนร่างบรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่ห้าของอวิ๋นเหลยจื่อเข้าอย่างจัง แผ่นฟ้าสะเทือนแผ่นดินโยกคลอน อวิ๋นเหลยจื่อกระอักเลือดคำโต ร่างปลิวละลิ่วไปด้านหลังเหมือนว่าวที่สายป่านขาด มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าขนาดร่างของเขาได้ลดจากห้าสิบจั้งลงมาเป็นสี่สิบจั้ง

ราวกับว่าเขากำลังใช้วิธีการเช่นนี้มาต้านทานพลังเผด็จการที่มาจากหมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุน!

แต่เห็นได้ชัดว่าการถอยจากห้าเปลี่ยนมาเป็นสี่เปลี่ยนนั้นยังไม่พอ ขณะที่ร่างยังปลิววืดนี้ อวิ๋นเหลยจื่อก็กระอักเลือดออกมาเป็นครั้งที่สอง ขนาดร่างพลันลดฮวบจากสี่สิบจั้งมาเป็นสามสิบจั้ง ครั้นจึงกระอักเลือดอีกเป็นครั้งที่สาม…จนกระทั่งร่างของเขาหดเล็กลงจากยี่สิบจั้งมาถึงสิบจั้ง…สุดท้ายพอคืนสภาพสู่ร่างกายที่แท้จริง กระอักเลือดออกมาเป็นครั้งที่ห้า อวิ๋นเหลยจื่อที่หน้าซีดขาวถึงจะต้านรับหมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

และท่ามกลางการถอยร่นเพื่อต้านทานนี้ ตอนนี้เขาจึงถอยห่างออกไปหลายร้อยจั้งแล้ว พอยืนได้มั่นคงอีกครั้ง เขาก็เงยหน้าขึ้น ดวงตามีประกายอำมหิตฉายชัด มุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน

“ที่ข้ารออยู่ ก็คือหมัดนี้ของเจ้า…ที่ร่างแยกของข้าเคยเล่าให้ฟังนี่แหละ…”

“แข็งแกร่งก็จริง แต่…ในเมื่อหมัดนี้สังหารข้าไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นครั้งถัดไป…เมื่อข้าผสานร่างรวมกับร่างแยกแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุน…เจ้าก็ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น!” ดวงตาของอวิ๋นเหลยจื่ออำมหิต หลังจากแค่นเสียงเย็นชาจบ เขาก็ถอยกรูดออกไปอีกครั้งพร้อมๆ กับที่บนร่างมีแสงห้าสีระเบิดออกมากะทันหัน ทำให้ความเร็วเขาเพิ่มมากกว่าเดิม พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล

ทว่าอำนาจจิตของเขากลับยังคงจับสังเกตพื้นที่แห่งนี้ เขารอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้ของเขาเกิดใจวู่วามตามมาไล่ฆ่า เพราะเขาได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนตามมา เขาก็เชื่อว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายเสียใจทีหลังได้ ต่อให้ปลิดชีพอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสเพราะท่าไม้ตายของตน

“หากเขาไม่ตามข้ามา ถ้าเช่นนั้นก็เป็นอย่างที่ร่างแยกของข้าวิเคราะห์ไว้ หลังจากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนร่ายใช้หมัดนี้จะสูญเสียพลังไปมหาศาล…เมื่อเป็นเช่นนี้ บางทีไม่ต้องรอให้ผสานรวมกับร่างแยก ข้าก็มีโอกาสจะสังหารเขาได้!” ขณะที่อวิ๋นเหลยจื่อคำนวณอยู่ในใจ ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ห่างออกไปพอได้ยินคำพูดของเขา ม่านตาก็พลันหดตัว

อวิ๋นเหลยจื่อคนนี้แข็งแกร่งกว่าคนที่เขาเจอก่อนหน้านั้นหลายเท่านัก สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากพวกเขาผสานรวมร่างกันเมื่อไหร่ พลังการต่อสู้และตบะของอีกฝ่ายต้องระเบิดปะทุไปถึงขั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยากจะรับมือ

และทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือฉวยโอการนี้ตามไปสังหารคนผู้นี้ทิ้งซะ นั่นถึงจะคลี่คลายวิกฤตทั้งหมดไปได้

“เขาจงใจพูดแบบนี้ หรือว่ามีกับดัก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนที่กำลังจะไล่ตามไปเกิดความลังเลขึ้นมา ทว่าไม่นานดวงตาของเขาก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว

“ต่อให้เป็นกับดักข้าก็ต้องลงมือ จะเปิดโอกาสให้แฝดสองคนรวมร่างกันไม่ได้เด็ดขาด!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ต่อให้เขาจะเสียดายแค่ไหนก็หมดสิ้นซึ่งความลังเล พลันดึงเอาเลือดคงกระพันหยดหนึ่งที่หล่อหลอมขึ้นมาได้ออกมาทันที ก่อนจะทำให้มันแตกออกอยู่ในร่างของตัวเองโดยอิงตาม…วิธีการของบทมิวางวาย!

เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อเลือดคงกระพันหยดนั้นแตกออก ปราณเลือดขุมหนึ่งที่น่าครั่นคร้ามก็พลันระเบิดออกมาจากในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาแค่ชั่วพริบตา ทั้งในและนอกร่างของเขาก็เป็นสีแดงฉาน ท่ามกลางหมอกเลือดที่ซัดสาดไปทั่วด้าน

ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ทันทีว่าความเร็วของตน…เหมือนจะไต่ไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ

และเขาที่ลมหายใจถี่รัวยังค้นพบด้วยว่าสภาพของตัวเองในเวลานี้ แม้แต่การดูดซับพลังฟ้าดินรอบด้านก็ยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าน่ากลัว ราวกับว่าตนกลายมาเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ยักษ์ที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่งได้

ถึงขั้นที่ว่าความว่างเปล่ารอบกายเขายังเกิดบิดเบือนบูดเบี้ยว และปราณของเขาในเวลานี้ก็ทำให้อวิ๋นเหลยจื่อที่เดิมทีเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจเกือบจะหวีดร้องออกมา เขาตัวสั่นเทิ้ม สมองเหมือนมีเสียงระเบิดกึกก้อง วิกฤตความเป็นความตายที่รุนแรงยิ่งกว่าตอนเจอกับหมัดจักรพรรดิมิดับสูญของป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่าพลันระเบิดตูมอยู่ในร่างของเขา

“นี่มันวิชาอภินิหารอะไรกัน สมควรตายนัก หมัดก่อนหน้านี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ใช่ท่าไม้ตายของเขา!!”

อวิ๋นเหลยจื่อรู้สึกได้ว่าเลือดเนื้อทุกอณูบนร่างของตัวเองกำลังกรีดร้อง

ลมหายใจของเขาเกือบติดค้างอยู่ในลำคอ ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก เขารู้สึกได้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่มีหมอกโลหิตล้อมวนอยู่รอบกายซึ่งไล่กวดตามมาด้านหลังเป็นดั่งศัตรูร้ายจากสวรรค์ที่ทำให้เขาตัวสั่นเทิ้ม แสงห้าสีทั่วร่างกะพริบวาบรัวๆ ครั้นจึงระเบิดความเร็วโกยแน่บสุดชีวิตโดยไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง!

และขณะที่อวิ๋นเหลยจื่อเผ่นหนีนั้นเอง ทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในหมอกโลหิตก็อาบย้อมไปด้วยสีเลือดแดงฉานเหมือนคนที่จมอยู่ในบ่อเลือดสด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเนิบช้า นัยน์ตาของเขาราวกับแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นั่นคือดวงตาสีเลือดที่…แปลกประหลาดราวกับภูตผีปีศาจชั่วร้าย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!