บทที่ 936 แค่เห็นก็หวาดผวา
จางต้าพั่งรู้สึกงุนงงเล็กน้อย เขามองป๋ายเสี่ยวฉุน ก่อนจะหันไปมองหนองบึงรอบกาย สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเหยเก เขาคิดอยู่ในใจตัวเองว่าผีน่ะสิถึงจะเชื่อประโยคเมื่อครู่นี้ของป๋ายเสี่ยวฉุน นั่นเป็นเพราะเขารู้ไส้รู้พุงป๋ายเสี่ยวฉุนดียิ่งกว่าใคร รู้ว่าในเวลาอย่างนี้มีความเป็นไปได้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะโม้ซะมากกว่า แต่ก็เพราะว่ารู้จักอีกฝ่ายดี ลึกๆ ในใจของจางต้าพั่งจึงอดลังเลอย่างห้ามไม่ได้
“แม้ว่าเสี่ยวฉุนจะชอบคุยโว แต่กลับไม่ถึงขั้นเลยเถิดเกินจริงไปมากนัก เขาบอกว่าพวกแมลงน่ากลัวในบึงแห่งนี้จะหลีกทางให้…หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง?” จางต้าพั่งที่ลังเลรีบกวาดอำนาจจิตออกไป แล้วไม่นานดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เบิกกว้าง เขาพบว่ารอบด้านนี้ไม่มีคลื่นพลังชีวิตอยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว
ดังนั้นภายใต้ความลำพองใจของป๋ายเสี่ยวฉุน คนทั้งสองจึงห้อทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และจางต้าพั่งก็ยิ่งใจสั่นรัวแรงขึ้นทุกขณะ พอมาถึงท้ายที่สุด เขาก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง นั่นเป็นเพราะพวกเขาเดินทางกันมาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้ยังพอจะสัมผัสได้ว่าเบื้องหน้ามีคลื่นพลังชีวิตอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าวินาทีถัดมา สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นคล้ายจะสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของพวกเขา พริบตานั้นพวกมันก็ทำเหมือนถูกขับไล่ แยกย้ายกันหนีให้จ้าละหวั่น แผล็บเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
นี่จึงทำให้จางต้าพั่งหันกลับมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างคลางแคลงใจอยู่หลายครั้ง
“เป็นยังไงล่ะ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าได้เตือนพวกมันเอาไว้แล้ว หึหึ กล้ามาลอบโจมตีศิษย์พี่ใหญ่ของข้า แค่ข้าไม่ทำลายหนองบึงแห่งนี้ทิ้งก็ถือว่าเมตตามากแล้วนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งลำพองใจ ในใจฮึกเหิมอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าถึงแม้วิชาพิฆาตเทพจะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ช่างทำให้คนพึงพอใจยิ่งนัก
และเขาก็เป็นคนเช่นนี้ เขาคือป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร อยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ล้วน…มองหาความสุขให้กับตัวเองได้
และคนทั้งสองก็ทะยานไปในหนองบึงภายใต้ความตื่นตะลึงอย่างไม่หยุดยั้งของจางต้าพั่งเช่นนี้ พวกเขาเดินทางกันอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคเสียยิ่งกว่ายามเดินอยู่ในสำนักของตัวเองเสียอีก ความเงียบสงบ ความปลอดภัยที่พบเจอมาตลอดทางทำเอาจางต้าพั่งมีสีหน้าเลื่อนลอยอยู่หลายครั้ง
โดยเฉพาะมีครั้งหนึ่งที่ปลิงตัวหนึ่งหนีไม่เร็วพอเลยถูกจางต้าพั่งคว้ามาไว้ในมือ ปลิงตัวนั้นถึงกับตัวสั่นเทิ้ม พอป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้ามาใกล้ มันก็ถึงขั้นกรีดร้องราวกับกำลังอ้อนวอนขอชีวิต ทำเอาจางต้าพั่งต้องปล่อยมืออย่างงงงัน และปลิงตัวนั้นพุ่งตัวดังสวบทีเดียวก็หายไปไม่เหลือเงา
ยังมีอีกครั้งหนึ่งที่จางต้าพั่งเห็นแมงมุมที่มีลักษณะเหมือนกับตัวที่เคยลอบโจมตีเขา แมงมุมตัวนั้นแค่เห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตัวสั่นทันที ครั้นจึงรีบเผ่นหนีราวกับเป็นบ้า…
อันที่จริงป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเดินมาไกลขนาดนี้แล้ว พวกสัตว์ร้ายแปลกประหลาดในหนองบึงจะยังกริ่งเกรงเขาอีก
“หรือว่าก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าเสียสติ เนื่องจากความพิเศษของหนองบึงแห่งนี้ ดังนั้นควันเลือดที่ปล่อยออกมาเลย…กินพื้นที่เป็นวงกว้างมาก?” ป๋ายเสี่ยวฉุนแปลกใจ แอบรู้สึกว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดูดพลังชีวิตมามากน้อยแค่ไหน แต่กลับเข้าใจดีว่าการเผาผลาญของเลือดคงกระพันหยดหนึ่งที่หล่อหลอมขึ้นมาสำเร็จนั้นน่ากลัวอย่างถึงที่สุด
คิดมาถึงตรงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สูดเอาลมเย็นๆ เข้าปอด
ยังดีที่อวิ๋นเหลยจื่อตกใจกลัวเขาจนขวัญกระเจิงไปแล้ว หาไม่แล้วแม้พิฆาตเทพจะน่ากลัวและแข็งแกร่งเพียงใด แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่ตนไร้จิตสำนึก ถ้าเจอกับศัตรูที่ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์สักหน่อยก็เท่ากับเผยช่องโหว่นับร้อยให้ศัตรูเลือกลงมือ
ที่เหลือเกินที่สุดก็คือหลายวันหลังจากนั้น คนทั้งสองมองเห็นหมาป่าดุร้ายร่างผอมโซฝูงหนึ่งที่กำลังอาศัยความเร็วน่าตะลึงมาล้อมโจมตีนักพรตคนหนึ่ง นักพรตคนนี้ก็คือซุนอู๋จากสำนักมังกรเหินสมุทรผี!
แม่น้ำสายใต้เชี่ยวชาญด้านการแปลงกาย ผิวสีเขียวของซุนอู๋ในเวลานี้ได้เปลี่ยนมาเป็นสีน้ำตาลแล้ว อีกทั้งบางขณะร่างของเขายังกลายมาเป็นภาพมายา และทุกครั้งที่เป็นภาพมายา ร่างของเขาก็เหมือนจะกลายมาเป็นตะขาบใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่งที่มีท่าทางดุร้าย หมายจะฝ่าวงล้อมของหมาป่าหิวโซฝูงนี้ไปให้ได้
เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะทุ่มสุดชีวิตเช่นไรก็ยังไม่สามารถหนีออกมาได้ นั่นเป็นเพราะหมาป่าที่อยู่รอบกายเขามีมากนับพันตัว เขาถูกโอบล้อมหลายชั้นแน่นหนา และรอบกายเขายังมีศพเกลื่อนกลาดอยู่ไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าการล้อมวงล่าเหยื่อเช่นนี้ได้ดำเนินมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
ห่างออกไปไกลยังมีหมาป่าอีกตัวหนึ่ง หมาป่าตัวนี้เหมือนโครงกระดูก มันยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่ฉายถึงความเย็นชาและดูแคลน พลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างของมันเทียบเคียงได้กับคนฟ้า
ซุนอู๋สิ้นหวังแล้ว เขารู้สึกขมขื่นยิ่งนัก รู้ดีว่ายากที่ตนจะหนีพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ ที่หมาป่าผอมแห้งพวกนี้ยังไม่สังหารตนก็เห็นได้ชัดว่าคิดจะใช้ตนเป็นเหยื่อล่อ หมายดึงคนอื่นเข้ามา
เพียงแต่เขาเข้าใจดีว่า เว้นเสียแต่เป็นคนฟ้ามาเอง หาไม่แล้วใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ก็ล้วนช่วยตนไม่ได้ แถมพวกคนที่เข้ามาใกล้ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่ใช่คนที่สามารถทำเรื่องล้ำเส้นบรรทัดฐานความเป็นคนเพียงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ได้ จึงตัดสินใจเด็ดขาดมานานแล้ว ที่คอยแปลงกายเป็นตะขาบอยู่ตลอดเวลาก็เพราะต้องการอาศัยปราณของร่างตะขาบที่แผ่ออกไปบอกเตือนทุกคนที่ผ่านทางมา
ทว่าภาพเหตุการณ์ที่อันตรายอย่างใหญ่หลวงนี้ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนและจางต้าพั่งปรากฏตัวมาแต่ไกล หมาป่าผอมโซฝูงนั้นกลับพากันตัวสั่นเทิ้ม ก่อนจะหอนเสียงโหยหวน พริบตาเดียวหมาป่านับพันก็เกาะกลุ่มกันเผ่นหนีไปเหมือนสุนัขที่ไร้เจ้าของ
และตัวที่วิ่งเร็วที่สุดก็คือหมาป่าตัวที่มีพลังเทียบเท่าคนฟ้านั่นเอง
มันเป็นตัวแรกที่สัมผัสได้ถึงการมาของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงพาร่างที่สั่นเทาของตัวเองวิ่งเต็มเหยียดโกยแนบไปอย่างไม่กล้าลังเล ทว่ามันยังไม่ทันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่นัก เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับดังออกมาเสียก่อน
“เจ้าอยู่ก่อน ตัวอื่นๆ แยกย้ายกันไปซะ” เมื่อจบคำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุน พวกหมาป่าผอมแห้งที่กำลังห้อตะบึงก็พากันมุดหายเข้าไปในหนองบึงทั้งที่ตัวยังสั่น พริบตาเดียว…หมาป่านับพันที่รายล้อมอยู่รอบด้านก็เหลือเพียงแค่ตัวเดียว
หมาป่าตัวนั่นร่างสั่นเทิ้มไม่หยุด ความเย็นชาในดวงตาถูกแทนที่มาด้วยความหวาดกลัว แต่มันกลับไม่กล้าหนีไปจริงๆ เพียงนอนหมอบตัวสั่นอยู่ตรงนั้น พยายามทำให้หางที่แข็งเกร็งของตนส่ายสะบัดไม่หยุด
จางต้าพั่งคุ้นชินกับภาพเหตุการณ์นี้แล้ว ทว่าสำหรับซุนอู๋แล้ว เขากลับมองเซ่อไปทันที ลมหายใจเปลี่ยนมาเป็นถี่รัว เมื่อหันขวับมาเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็จำป๋ายเสี่ยวฉุนได้ทันที
ทว่าในใจเขากลับยังตะลึงพรึงเพริดอย่างถึงที่สุด ในสายตาของเขา ต่อให้เป็นคนฟ้า อาจทำให้หมาป่าหิวโซพวกนี้หนีหายไปได้ก็จริง แต่ย่อมไม่มีทางทำได้ถึงขั้นที่ว่าเพียงแค่ประโยคเดียวก็สยบให้หมาป่าตัวนั้นไม่เพียงแต่ไม่กล้าหนี ทั้งยังถึงขั้นพยายามเผยท่าทางประจบเอาใจออกมาแบบนี้ด้วย
ความตะลึงลานที่คละเคล้าไปกับความรู้สึกโชคดีที่รอดพ้นความตายมาได้หวุดหวิดทำให้เขารีบมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกุมมือประสานโค้งตัวคารวะต่ำๆ
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสป๋ายที่ช่วยชีวิต!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระแอมหนึ่งที เขาเผยพลานุภาพสยบที่สร้างความสะท้านสะเทือนให้กับสิ่งมีชีวิตในหนองบึงต่อหน้าจางต้าพั่งมาตลอดทางจนเริ่มขัดเขินบ้างแล้ว ตอนนี้ได้เจอคนหน้าใหม่สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย แน่นอนว่าย่อมต้องแสดงความไม่ธรรมดาของตัวเองให้อีกฝ่ายได้เห็นสักหน่อย
ดังนั้นป๋ายเสี่ยวฉุนจึงยกมือขวาขึ้นกวัก ทันใดนั้นหมาป่าที่ตัวสั่นก็รีบวิ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเร็วที่มากที่สุด ปล่อยให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลูบหัวมันได้ตามใจชอบโดยที่ไม่กล้าปฏิเสธ ทั้งยังพยายามส่ายหางแรงๆ ด้วย
ภาพนี้ทำเอาซุนอู๋อ้าปากกว้างอีกครั้ง เขามองหมาป่าที่กำลังส่ายหางตัวนั้นด้วยสายตาเหม่อลอย ไม่สามารถเอาภาพความเย็นชาและเย่อหยิ่งของมันก่อนหน้านี้มาทับซ้อนกับภาพเหตุการณ์นี้ได้เลย ราวกับว่าที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้คือหมาป่าคนละตัวอย่างไรอย่างนั้น…
“ครั้งนี้จะเว้นชีวิตเจ้าสักครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงในลำคอเบาๆ สายตากวาดไปบนร่างของศพที่นอนเกลื่อน เมื่อไม่เห็นคนของสายตะวันออก เขาถึงได้เอ่ยเนิบช้า
ร่างของหมาป่าตัวนั้นพลันสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งกว่าเก่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจหรือดีใจ หลังจากร้องหงิงๆ สองสามทีก็รีบมุดหายเข้าไปในบึง พริบตาเดียวก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
พอไล่พวกหมาป่าให้แยกย้ายกันไปได้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนถึงได้หันมามองซุนอู๋ พอถูกสายตาของเขากวาดมองมา ซุนอู๋ก็ตัวสั่น แต่กลับแข็งใจคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง
จางต้าพั่งที่อยู่ข้างๆ ก็ไอแห้งๆ หนึ่งที หรี่ตามองซุนอู๋ ก่อนจะหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
“คนของสายใต้รึ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยถาม
“ตอบผู้อาวุโส ข้าน้อยคือลูกศิษย์ของสำนักมังกรเหินสมุทรผีแห่งสายใต้ขอรับ”
ป๋ายเสี่ยวฉุนทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่งก็นึกถึงใบหน้าของเชียนกุ่ยจื่อที่พ่ายแพ้การแข่งขันทางสายตาให้แก่ตนขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับ
“เอาล่ะ เจ้าติดตามข้ามาก็แล้วกัน ข้าจะพาเจ้าออกไปจากหนองบึงแห่งนี้”
พอซุนอู๋ได้ยินเช่นนี้ก็พลันปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นเพราะในสายตาของเขา หนองบึงแห่งนี้เป็นราวกับฝันร้าย เวลานี้ถูกป๋ายเสี่ยวฉุนพาตัวไปด้วย สำหรับเขาแล้วนี่คือโชควาสนาอย่างหนึ่งทีเดียว
เขาจึงรีบคารวะป๋ายเสี่ยวฉุนติดๆ กันด้วยสีหน้านอบน้อม
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสป๋าย!”
จางต้าพั่งเองก็หัวเราะร่า ปรี่ขึ้นหน้ามาโอบร่างซุนอู๋เอาไว้ ตบไหล่อีกฝ่ายแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ได้พบเจอกันก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน มาๆๆ ไหนลองเล่าเรื่องแม่น้ำสายใต้ของพวกเจ้าให้ข้าฟังบ้างสิ สภาพแวดล้อมของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” จางต้าพั่งเองก็อยากรู้มากว่าแม่น้ำสายใต้จะเป็นอย่างไร ส่วนทางฝ่ายของซุนอู๋ที่กำลังซาบซึ้งใจก็ยกเว้นเรื่องบางส่วนที่พูดไม่ได้เอาไว้ แต่ส่วนไหนที่พูดได้เขาก็เล่าออกมาอย่างละเอียด
พูดไปพูดมาเขาก็พลันหน้าเปลี่ยนสีแล้วรีบเอ่ยรัวเร็ว
“ข้านึกออกแล้ว เมื่อหลายวันก่อนข้าเคยเจอกับนักพรตแม่น้ำสายตะวันออกของพวกเจ้า ตอนนั้นเขาถูกกักตัวไว้ในทางตันแห่งหนึ่ง เดิมทีข้าอยากช่วยเขา แต่ที่นั่นต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้…คิดจะช่วยเขา อย่างน้อยก็ต้องมีอยู่ด้วยกันหลายคนถึงจะพอมีความหวัง…”
“เขาเรียกตัวเองว่าซ่งเชวีย เขาบอกกับข้าว่าหากเจอคนของสายตะวันออกให้ช่วยตามคนไปช่วยเขา…” ซุนอู๋เอ่ยรัวเร็ว
“เชวียเอ๋อร์?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง