Skip to content

A Will Eternal 938

บทที่ 938 บุปผาจันทรา

เสียงตะโกนนี้เหมือนต้องการระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจซ่งเชวียออกมา ทว่าคำพูดของจางต้าพั่งช่างบาดใจคนฟังยิ่งนัก ต่อให้ซ่งเชวียจะไม่ต้องการคิดตามแค่ไหน ทว่าในสมองก็ยังมีภาพยามที่ตัวเองพบเจอกับสหายของป๋ายเสี่ยวฉุนลอยขึ้นมาอย่างมิอาจควบคุม

“ท่านอาเป่าไฉ…ท่านอาเทียนโย่ว…ท่านอาหญิงเสี่ยวเม่ย…ท่านลุงเสินซ่วนจื่อ…” ทั้งหมดนี้สำหรับซ่งเชวียแล้วแทบไม่ต่างจากภัยพิบัติจากสวรรค์ ทำให้เขาตัวสั่น ดวงตาแดงก่ำ เขาไม่กล้าถลึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ได้แต่หันมาถลึงมองจางต้าพั่งแทน ลมหายใจของเขาดังฟืดฟาด ท่าทางประมาณว่าหากพูดไม่เข้าหูอีกคำเดียวคงต้องมีการลงไม้ลงมือกันแน่ๆ

ถูกซ่งเชวียตะโกนใส่เช่นนี้ จางต้าพั่งถึงกับผงะตกใจ แล้วก็รู้สึกตื่นตระหนกน้อยๆ นั่นเพราะซ่งเชวียผู้นี้มีอำนาจไม่น้อยอยู่ในสำนักธาราโลหิต แต่พอคิดว่าป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ข้างกาย แถมจางต้าพั่งยังคันยิบๆ ในหัวใจอยากเห็นภาพที่ซ่งเชวียเรียกตนว่าท่านลุงจนแทบทนไม่ไหว ดังนั้นจึงปลุกระดมความกล้าแล้วมองมาอย่างรอคอยอีกครั้ง

ในใจลึกๆ ของเขาก็ให้แปลกใจ รู้สึกว่าตัวเองแค่เอาเปรียบอีกฝ่ายนิดหน่อยเท่านั้น ทำไมเจ้าซ่งเชวียผู้นี้ถึงต้องออกอาการใหญ่โตขนาดนี้

ภาพนี้ก็อยู่ในสายตาของซุนอู๋เหมือนกัน ซุนอู๋อึ้งงัน

นั่นเพราะเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะในสายตาของเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นถึงบุรพาจารย์คนฟ้า เมื่อเป็นเช่นนี้ซ่งเชวียที่เป็นนักพรตก่อกำเนิดก็คือเด็กรุ่นหลังที่ต่ำศักดิ์กว่าป๋ายเสี่ยวฉุน ซุนอู๋คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง…

“มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ตอนที่ผู้อาวุโสป๋ายได้ยินเรื่องนี้ถึงได้มีท่าทางร้อนรนนัก ที่แท้คู่บำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสป๋ายก็คืออาหญิงของสหายนักพรตซ่งคนนี้นี่เอง…” ซุนอู๋รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าการกระทำของซ่งเชวียเหมือนจะไม่เหมาะสมจริงๆ นั่นแหละ

“ผู้อาวุโสป๋ายอุตส่าห์รีบมาช่วยเขา แต่ซ่งเชวียผู้นี้กลับไม่คิดจะทักทาย หมุนตัวได้ก็จากไปทันที ก็ไม่น่าแปลกที่ผู้อาวุโสป๋ายจะโกรธ…” หลังจากซุนอู๋วิเคราะห์ได้ แม้เขาจะรู้สึกกังขาว่าคำพูดของจางต้าพั่งอาจเป็นการเอาเปรียบซ่งเชวียอยู่บ้าง แต่ก็หาใช่ว่าจะทำความเข้าใจไม่ได้

ดังนั้นซุนอู๋จึงยิ้มน้อยๆ มองมายังซ่งเชวีย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยนพลางเอ่ยขึ้นว่า

“สุดท้ายข้าก็ไม่ผิดต่อคำไหว้วานของสหายนักพรตซ่ง สหายนักพรตซ่งเป็นคนดีฟ้าคุ้มครอง ที่แท้เจ้าก็มีความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสป๋ายเช่นนี้นี่เอง ได้เป็นหลานของผู้อาวุโสป๋าย เรื่องนี้แม้แต่ข้าผู้แซ่ซุนก็ยังรู้สึกอิจฉา”

ซ่งเชวียรู้สึกเพียงว่าต่อให้มีร้อยปากก็ยากจะอธิบาย จางต้าพั่งลามปามมาเอาเปรียบตน ซุนอู๋ก็ยังพูดเช่นนี้อีก แถมเขายังไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรซุนอู๋ก็ถือเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขา

ทั้งหมดนี้ทำให้ในใจของซ่งเชวียอัดอั้นถึงขีดสุด ความรู้สึกใกล้บ้านั้นรุนแรงขึ้นทุกขณะ พอถึงท้ายที่สุดเขาก็อดใจจะใช้เสียงคำรามมาระบายอารมณ์อีกครั้งไม่ไหว ทว่าเสียงคำรามนี้ยังไม่ทันดังออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับถอนหายใจออกมาเสียก่อน

“เอาล่ะ ต้าพั่งเจ้าก็อย่าได้รังแกเชวียเอ๋อร์อีกเลย เด็กคนนี้ก็น่าสงสารมากเหมือนกันนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นท่าทางน้อยเนื้อต่ำใจของซ่งเชวียก็อดสงสารไม่ได้

“เชวียเอ๋อร์ เจ้าอย่าเดินทางเพียงลำพังอีกเลย มากับข้าเถอะ แบบนี้จะได้ปลอดภัยกว่าเดิม” คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังเข้าหูซ่งเชวีย ทำเอาซ่งเชวียเกิดความวู่วามอยากร้องไห้โฮดังๆ

นั่นเป็นเพราะประโยคนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนพูดได้ตรงใจของตนยิ่งนัก ความรู้สึกที่ว่าเมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมถึงขีดสุดแล้วจู่ๆ มีคนเข้าใจตนทำให้ซ่งเชวียรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาพลันรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับจางต้าพั่งแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนดีกับตนกว่าเป็นไหนๆ

เพียงแต่ความรู้สึกนี้เพิ่งจะบังเกิด ป๋ายเสี่ยวฉุนที่เห็นว่าซ่งเชวียซาบซึ้งใจดันพูดประโยคถัดมาที่ทำให้ซ่งเชวียแหลกสลายอีกครั้ง…

“อย่าวู่วามนะ เชวียเอ๋อร์เด็กดี ข้าจะไม่ให้คนอื่นรังแกเจ้าได้อีกแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนตกใจสะดุ้งโหยง รีบปรี่ขึ้นหน้าไปปลอบใจเขา แถมยังยกมือขึ้นลูบหัวซ่งเชวียด้วย

“อ๊ากๆๆๆๆ!” ซ่งเชวียทนไม่ไหวอีกต่อไป

เขาแหงนหน้าแผดเสียงคำรามระบายความคลุ้มคลั่งและคับแค้นใจออกมาหลายที เขารู้สึกว่าตนช่างซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ้อนเงื่อนยิ่งนัก หาไม่แล้วเหตุใดชีวิตนี้ต้องมาเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ด้วย

นับตั้งแต่ปีนั้นที่ได้เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เขาก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความอัดอั้นตันใจมาโดยตลอด เสียงคำรามในเวลานี้แฝงไว้ด้วยความรู้สึกคลุ้มคลั่งที่รุนแรงถึงขีดสุด และเดิมทีพลังวิญญาณของเขาก็แห้งขอดเต็มที่แล้ว พอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จึงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งแล้วหมดสติไปทันที

“ทำไมถึงเป็นลมอีกแล้วล่ะ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนปวดหัวอย่างยิ่ง จางต้าพั่งเองก็มองตาค้าง รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมซ่งเชวียผู้นี้ไม่รู้จักล้อจักเล่นกันบ้างเลย…

“ศิษย์พี่ใหญ่ เห็นไหมว่าท่านทำให้เขาโกรธจนกลายเป็นแบบไหน เฮ้อ…ท่านมาแบกเขาเลยนะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนแบมือ ถอนหายใจ

จางต้าพั่งหน้าม่อย ไม่เต็มใจสุดๆ เพียงแต่ตอนนี้เขายังแปลกใจไม่หาย ในความทรงจำของเขา ซ่งเชวียไม่ใช่คนแบบนี้นี่นา ด้วยความจำใจ ตอนนี้จึงได้แต่แบกซ่งเชวียขึ้นหลังแล้วหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนตาปริบๆ

“เสี่ยวฉุน เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าเป็นลมอีกแล้วหรือ? เมื่อก่อนเขาก็เคยเป็นลมแบบนี้หรือ?”

“ใช่น่ะสิ เชวียเอ๋อร์เด็กคนนี้น่าจะถูกทำร้ายจิตใจตอนอยู่แดนทุรกันดาร ดังนั้นทุกครั้งที่ถูกแรงกระตุ้นก็จะต้องหมดสติ ไม่เป็นไรหรอก…อย่างมากสุดสามวันเขาก็ฟื้นแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนไอแห้งๆ รีบตัดจบหัวข้อสนทนานี้ ก่อนจะพาจางต้าพั่งและซุนอู๋ที่มีสีหน้าประหลาดใจบินจากไป

เมื่อคนเหล่านี้บินอยู่ในหนองบึง เวลาก็ผันผ่านไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสิบวัน และพวกเขาก็ใกล้ออกจากหนองบึงนี้แล้ว เพราะมองไกลๆ สามารถเห็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลได้รำไร

ท้องฟ้ายังคงเป็นสีมืดมนขมุกขมัว แม้ว่าหนองบึงที่อยู่บนพื้นด้านล่างจะยังสงบนิ่ง ทว่าตลอดทางมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวเช่นกัน เวลานี้ในมือของเขาถือเมล็ดพันธ์เมล็ดหนึ่งเอาไว้

เมล็ดพันธ์นี้เป็นสีเขียวมรกต แผ่ไอความเย็นออกมาเป็นระลอก เมื่อถือไว้ในมือ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกเย็นเยือกไปทั้งร่าง

นี่คือเมล็ดพันธ์ดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เขาพบเจอในหนองบึงเมื่อหลายวันก่อน

นั่นคือดอกไม้ที่มีกลีบดอกเป็นลักษณะเหมือนดวงจันทร์ ครึ่งหนึ่งของมันแห้งเหี่ยว เติบโตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในหนองบึงจึงสะดุดตาอย่างยิ่ง ทว่าตอนที่ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้ ดอกไม้นี้เหมือนมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง มันจึงรีบลดตัวลงต่ำอย่างรวดเร็วคล้ายต้องการหลบเลี่ยงเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่รู้จึงตามลงไป ดอกไม้นี่ก็ยิ่งแผ่ไอความเย็นที่น่าตะลึงออกมา ไอความเย็นนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคาถาหันเหมินเลี้ยงความคิดที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกฝน

นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงระคนแปลกใจ สุดท้ายจึงเปลืองแรงนิดหน่อยจนคว้าจับดอกไม้นี่มาได้ ทว่ามันกลับแห้งเหี่ยวจนกลายมาเป็นเพียงเมล็ดพันธ์นี้เมล็ดเดียว

พอทำการศึกษา ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ค้นพบว่าดอกไม้นี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเบ่งบาน มันสามารถดูดซับไอความเย็นมาได้จากแปดทิศ แต่เนื่องจากไอความเย็นที่อยู่ในหนองบึงมีไม่มากพอ จึงทำให้ดอกไม้ดอกนี้เติบโตได้ไม่ดีนัก

“วันหน้าค่อยศึกษาอย่างละเอียด บางทีอาจมีประโยชน์ต่อไอความเย็นของข้า เรียกมันว่าบุปผาจันทราก็แล้วกัน” ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บเมล็ดพันธ์นั้นลงไปแล้วพาพวกจางต้าพั่งเคลื่อนหน้าไปต่อ ตลอดทางมานี้พวกเขาเห็นศพมากมายยิ่งนัก ศพพวกนั้นมีทั้งที่มาจากแม่น้ำสามสาย แล้วก็มีทั้งที่มาจากสำนักอันตมรรคาฟ้าดารา

ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของจางต้าพั่ง ซุนอู๋และป๋ายเสี่ยวฉุนหนักอึ้ง ซ่งเชวียฟื้นขึ้นมานานแล้ว เดิมทีเขาทำหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ตลอดเวลา แต่พอเวลาผ่านไปและได้เห็นศพจำนวนมากที่อยู่ในหนองบึง สีหน้าของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายส่วน

“นี่มันคือพื้นที่การประลองแบบไหนกันแน่นะ…” คำถามนี้ลอยขึ้นมากลางใจของทุกคนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกซุนอู๋เองก็รู้ชัดเจนดีว่าหากไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ พวกเขาย่อมไม่มีทางผ่านพื้นที่หนองบึงแห่งนี้ไปได้ด้วยตัวเองแน่นอน…

“บางทีที่เรียกว่าพื้นที่การประลอง จุดสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่การเลือกลูกศิษย์ของเทียนจุน แต่เป็นการ…ตามหาทางออก!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพึมพำอยู่ในใจ หากนับกันตามจริง เขามาอยู่ในพื้นที่การประลองแห่งนี้เกือบจะสองเดือนแล้ว

เวลาสองเดือนมานี้เขาสามารถวิเคราะห์ได้แล้วว่านักพรตก่อกำเนิดทั่วไป ยากที่จะออกไปจากพื้นที่ที่ตัวเองอยู่ แล้วก็มีเพียงก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่อาจจะอาศัยพลังการต่อสู้และโชคของตัวเองเดินออกจากพื้นที่ที่ถูกนำส่งเข้าไปยังอีกพื้นที่หนึ่งได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ แค่วิเคราะห์เล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้คำตอบว่า…หากจะรับลูกศิษย์จริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องจัดการประลองที่อันตรายเช่นนี้

ถ้าเช่นนั้นคำตอบก็ง่ายดายแล้ว…

“เป้าหมายของเทียนจุนก็คือต้องการให้คนหาทางออกของที่แห่งนี้…”

“ถ้าเช่นนั้น…หากการวิเคราะห์นี้เป็นจริงก็หมายความว่า…เทียนจุนเองก็ไม่มีคำตอบ…สำหรับเทียนจุนแล้ว…พื้นที่การประลองแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยเช่นกัน!!”

“คำว่าการประลอง แท้จริงแล้วก็คือการส่งตัวหมากมากมายที่ถูกทอดทิ้ง ใช้คนเป็นจุดที่เชื่อมโยงตาข่ายเพื่อตามหาทางออกที่เขาต้องการ!”

“อีกทั้งหากวิเคราะห์ตามแนวความคิดนี้ต่อไป เทียนจุนคงต้องการปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ถึงได้ใช้คำว่ารับศิษย์มาบังหน้า…เพื่อล่อลวงให้คนมาเข้าร่วม!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดก็ยิ่งผวา สีหน้าเริ่มเปลี่ยนมาเป็นไม่น่ามอง แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์ของเขาเท่านั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะถูกหรือผิด

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความอันตรายของพื้นที่การประลองแห่งนี้ที่ไม่ว่าจะเป็นทะเลทรายหรือหนองบึงที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนอกสั่นขวัญหายอยู่นานแล้ว

หากไม่เป็นเพราะเขามีวิชาพิฆาตเทพ เกรงว่าความอันตรายของหนองบึงแห่งนี้คงรุนแรงยิ่งกว่าตอนนี้หลายเท่าตัว

เรื่องพวกนี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดได้ อันที่จริงก็เป็นข้อกังขาที่อยู่ในใจของพวกคนที่ยังรอดชีวิตอยู่ในพื้นที่การประลองเช่นกัน ตอนนี้ในพื้นที่การประลอง คนที่เดิมทีมีนับพัน ตอนนี้ได้ตายกันไปครึ่งหนึ่งแล้ว

อีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่ล้วนเป็นพวกกลอุบายล้ำลึก เมื่อเห็นว่าระดับความอันตรายของพื้นที่การประลองแห่งนี้เหนือกว่าที่จินตนาการเอาไว้ มีหรือที่พวกเขาจะไม่คิดถึงต้นสายปลายเหตุ

เพียงแต่ต่อให้คิดได้ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว…เพราะเห็นได้ชัดว่าต้องหาทางออกให้เจอเท่านั้น หาไม่แล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ต้องพากันเดินไปสู่ความตาย

ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังรู้สึกกดดันในใจ หนองบึงแห่งนี้มองดูเหมือนสงบนิ่ง แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น มีอยู่หลายครั้งที่เขาสัมผัสได้ว่าในจุดลึกของหนองบึงแห่งนี้ซุกซ่อนอำนาจจิตที่ทำให้เขาตะลึงเอาไว้หลายเส้น

อำนาจจิตพวกนี้ก็เคยกวาดผ่านร่างของเขาไปเช่นกัน แต่ยังดีที่ไม่ได้เผยความเป็นปฏิปักษ์ออกมา แต่กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้าใจดีว่าต่อให้ตนมีวิชาพิฆาตเทพ เมื่อมาอยู่ที่นี่ก็ยังมีโอกาสที่จะตายได้อยู่ดี

“ที่นี่…มันคือสถานที่อะไรกันแน่นะ” ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคาดเดาอยู่ใน ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเดินออกมาจากหนองบึงและเหยียบเข้าสู่พื้นที่ราบกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด

ในพื้นที่ราบมีเสียงลมพัดกระโชกดังซู่ๆ เห็นเพียงว่าหญ้าสีเขียวเหล่านั้นโบกสะบัดขึ้นลงอยู่ในสายลมคล้ายคลื่นของทะเล บางครั้งยังจะพอมองเห็นโครงกระดูกบนพื้นที่ถูกแทะกินจนเกลี้ยง…

ทั้งหมดนี้ทำให้จางต้าพั่ง ซ่งเชวียและซุนอู๋ต่างก็ประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ ความน่ากลัวของพื้นที่ราบแห่งนี้เหมือนจะพอมองออกได้รำไรจากซากกระดูกที่อยู่บนพื้นพวกนั้น

จนกระทั่งผ่านไปอีกสิบวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนที่พาพวกจางต้าพั่งบินอยู่บนพื้นที่ราบพลันหน้าเปลี่ยนสี เขารู้สึกได้ถึงปราณสังหารดุเดือดขุมหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นสูงกะทันหัน ปราณสังหารนี้เข้มข้นอย่างยิ่งจนทำให้อากาศเปลี่ยนมาเป็นเย็นเยียบอึมครึม เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็รีบถอยกรูดไปข้างหลังพลางตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเจ้าสามคนรีบหนีไปเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องสนใจข้า!!”

แทบจะวินาทีเดียวกับที่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนดังจบ บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ราบที่ห่างออกไปไกลก็มีเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลือนลั่นพร้อมๆ กับใบหน้าใหญ่ยักษ์สองใบหน้าลอยขึ้นมาพร้อมกัน

นั่นก็คือ…แฝดอวิ๋นเหลยจื่อ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!