บทที่ 939 แยกพวกเขาออกจากกัน
ตอนที่เห็นใบหน้าใหญ่ยักษ์ของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อบนท้องฟ้า
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ใจหายวาบ นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในพื้นที่การประลองแห่งนี้ก็มีความขัดแย้งกับแฝดอวิ๋นเหลยจื่อบ่อยที่สุด
ตอนนี้ในที่สุดแฝดสองคนก็ได้มารวมตัวกัน นี่จึงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเริ่มปวดหัว ขณะเดียวกันกับที่ก้าวถอยเขาก็บอกให้พวกซุนอู๋หนีไปก่อนด้วย
“ป๋ายเสี่ยวฉุน คราวนี้เจ้าตายแน่!” อวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่บนท้องฟ้าส่งเสียงคำรามราวอสนีบาต พริบตาเดียวใบหน้าทั้งสองก็กลายมาเป็นเงาร่างสองเงาที่หนึ่งในนั้นตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน ส่วนอีกคนหนึ่งพุ่งเข้ามาประหัตประหารพวกจางต้าพั่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เพียงแต่คิดจะสังหารป๋ายเสี่ยวฉุนให้ตายอยู่ที่นี่ แต่ยังคิดจะปลิดชีพพวกจางต้าพั่งและซ่งเชวียที่อยู่ด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนซึ่งถูกป๋ายเสี่ยวฉุนปกป้องมาตลอดทางไปพร้อมกันด้วย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อแยกตัวกันมา ในใจก็ให้ร้อนรน รู้ดีว่าพวกจางต้าพั่งมิอาจหนีได้พัน ดังนั้นจึงสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บคนทั้งสามเข้ามาไว้ในถุงเก็บของโดยตรง
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเก็บพวกจางต้าพั่งสามคนไปนั้นเอง นัยน์ตาของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่บนท้องฟ้าก็พลันระเบิดแสงเย็นเยียบ เพราะระหว่างพวกเขาและป๋ายเสี่ยวฉุนผูกปมแค้นต่อกันอย่างลึกล้ำ!
ต่อให้วิชาพิฆาตเทพของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนั้นจะสะเทือนขวัญของอวิ๋นเหลยจื่ออย่างมาก แต่ตอนนี้เมื่อคนทั้งสองมารวมตัวกันแล้วจึงเกิดความมั่นใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังมีการเตรียมการมาก่อน
เวลานี้จึงไร้ซึ่งความลังเล พอเห็นหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน แฝดอวิ๋นเหลยจื่อจึงลงมือทันที
แฝดอวิ๋นเหลยจื่อคนที่เป็นน้องชายเชี่ยวชาญด้านความเร็ว พอลงมือตลอดทั้งร่างของเขาก็คล้ายลอดทะลวงความว่างเปล่าตรงดิ่งมาหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ส่วนอวิ๋นเหลยจื่ออีกคนหนึ่งที่มีตบะคนฟ้าช่วงกลางขั้นสูงสุดก็แค่โบกมือ ทันใดนั้นสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็จำแลงขึ้นมาพร้อมเสียงอึกทึกกึกก้อง ก่อนจะกลายมาเป็นฝ่ามือสายฟ้าใหญ่ยักษ์ที่พุ่งเข้ามาหมายคว้าร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้!
“ตาย!!” คนทั้งสองเปิดปากแทบจะพร้อมกัน เสียงนั้นดังก้องไปแปดทิศ
ป๋ายเสี่ยฉุนปวดหัวอย่างยิ่ง ทั้งยังอกสั่นขวัญผวา ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขาพลันก้าวถอยหลัง ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก รีบยกมือทั้งคู่ขึ้นทำมุทราแล้วโบกไปข้างหน้า
“เขตแดน!!” พอประโยคนี้หลุดออกมา บนพื้นดินของพื้นที่ราบก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำ พื้นที่ราบเหมือนกลายมาเป็นหนองบึงที่แปดทิศมีแต่ความขมุกขมัว และเสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ธารา!”
ท่ามกลางเสียงก้องกังวาน โลกทั้งใบราวกับถูกฉีกกระชากให้ขาดออกจากกัน แฝดอวิ๋นเหลยจื่อหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาสองคนนึกว่าตอนที่ประมือกันก่อนหน้านี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ใช้เวทลับทั้งหมดที่มีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมีเวทคาถาที่ไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
อีกทั้งพวกเขายังสัมผัสได้ถึงวิกฤตอันตรายอย่างหนึ่งจากกลางหนองบึงที่อยู่รอบด้าน ขณะเดียวกันฟ้าดินก็มีเสียงกัมปนาทครืนครั่นดังสะท้อน แล้วจู่ๆ ในหนองน้ำเบื้องล่างก็มีหนามแหลมหลายชิ้นโผล่พรวดขึ้นมา หนามพวกนี้ตั้งเรียงรายราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปแปดทิศ ก่อนที่หนามแหลมพวกนั้นจะกลายมาเป็นเล็บมือ เท้ายักษ์ข้างหนึ่งโผล่พรวดออกมาอย่างเหี้ยมหาญ ทั้งยังมีเสียงคำรามที่ดังสะเทือนจนแก้วหูคนแทบดับดังก้อง
เสียงตูมดังหนึ่งครั้ง เท้ายักษ์ที่ร่วงลงมาราวฟ้าถล่ม ความแข็งแกร่งของพลังอำนาจนั้นทำให้สีหน้าของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อวิ๋นเหลยจื่อคนที่เชี่ยวชาญด้านความเร็วพุ่งตัวมาก่อนจึงกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกระเด็นปลิวลิ่วไปข้างหลัง ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อคนที่ร่ายสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาก็ร้องคำราม ใช้พลังของเวทคาถาทั้งหมดที่มีมาต้านทาน พริบตาเดียวเท้ายักษ์และมือยักษ์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของสายฟ้าก็ปะทะเข้าด้วยกัน นภากาศสั่นสะเทือน พื้นดินเกิดรอยปริร้าว มือสายฟ้าแตกทลายไปทีละชั้น ขณะเดียวกันเท้ายักษ์ที่เยื้องกรายออกมาจากในบึงน้ำที่แม้จะแข็งแกร่งสุดประมาณ แต่จะอย่างไรซะเมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับอวิ๋นเหลยจื่อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเฉินเห้อเทียน เวลานี้ก็ยังเปลี่ยนมาเป็นพร่าเลือน จนกระทั่งหายวับไป
เมื่อเขตแดนธาราจางหาย เงาร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ถอยกรูดไปข้างหลังราวสายฟ้าเส้นหนึ่ง พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าอวิ๋นเหลยจื่อที่มาคนเดียว ตนสามารถต่อสู้และเอาชนะได้ แต่หากอีกฝ่ายร่วมมือกันสองคน ในสถานการณ์ที่ “พิฆาตเทพ” มิอาจควบคุม ความเป็นไปได้ที่ตนจะชนะจึงมีไม่มาก
เวลานี้เขาอาศัยเขตแดนธารามาสกัดกั้น ก่อนที่จะเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไปถึงสุดขอบฟ้าแล้ว
“เจ้าลองมาชิมรสชาติความเจ็บปวดของการถูกไล่ฆ่าดูบ้างปะไร!” แฝดอวิ๋นเหลยจื่อกัดฟันกรอด ปราณสังหารในดวงตายิ่งดุเดือด คนทั้งสองสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะขยับเข้ามาใกล้กัน แล้วพริบตานั้นก็คล้ายจะผสานรวมร่างเป็นหนึ่ง จากสายรุ้งสองเส้นกลายมาเป็นเส้นเดียว ความเร็วก็เหมือนสายฟ้าที่ห้อตะบึงมาพร้อมคลื่นเสียงแหลมปรี๊ดซึ่งไล่กวดมาด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุน
หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าการผสานรวมของคนทั้งสองหาใช่ในระดับที่ลึกล้ำมากนัก แต่เป็นเพียงการผสานรวมอย่างง่ายๆ สามารถแยกร่างออกจากกันได้
ตลอดเวลา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำให้ความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าขีดจำกัดของคนฟ้าช่วงกลางจนเกือบจะขยับเข้าไปใกล้…คนฟ้าช่วงท้ายได้แล้ว!
และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ก็คือท่ามกลางการไล่ล่าของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อนี้ พวกเขายังคอยผสานรวมกันอย่างต่อเนื่อง และยิ่งรวมร่างกันมากเท่าไหร่ ความเร็วและปราณของพวกเขาก็ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหนังหัวชาหนึบมากขึ้นเท่านั้น
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“แข่งสายตา ไอ้สองคนนี้ก็รังแกข้า ตอนนี้สู้กันตัวต่อตัวเอาชนะข้าไม่ได้ก็ร่วมมือกันมาไล่สังหารข้า!”
“สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า พวกเจ้ารังแกกันมากเกินไปแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจเต้นกระหน่ำตุบๆๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไล่ตามมา เขาก็รีบร่ายผนึกมิวางวายทันที ความเร็วจึงพลันระเบิดเพิ่มพูน ยามที่ห้อทะยานไป ด้านหลังของเขาก็มีเสียงตูมตามดังไล่หลังมาไม่หยุด นั่นคือการลงมืออย่างต่อเนื่องของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อ
เมื่อมองไกลๆ ก็เห็นเป็นเพียงสายฟ้าหลายเส้นที่พุ่งฉิวมาด้านหลังของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วระเบิดตูมตามไม่หยุด ทุกครั้งที่ระเบิดก็จะต้องมีควันดำจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ออกมา
ขอแค่ถูกควันดำนี้แผ่มาปกคลุม ความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะลดลงไปอีกไม่น้อย ทว่าความเร็วของแฝดทั้งสองกลับยังคงน่าตะลึงดุจเดิม
“เอ่อ…สหายนักพรตอวิ๋นเหลย พวกเจ้าอย่าได้ทำเกินกว่าเหตุนักเลย ข้ายังมีท่าไม้ตายที่จัดไว้ให้พวกเจ้าโดยเฉพาะอีกนะ หากข้าใช้มันเมื่อไหร่ แม้แต่ข้าก็ยังกลัว” เมื่อเห็นว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อไล่ตามมาโจมตีไม่เลิกไม่รา แถมพลังอำนาจยังแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ให้อกสั่นขวัญแขวน รีบพูดรัวเร็ว
ทว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อแค่แค่นเสียงในลำคอหนึ่งครั้ง ยังคงตามมาไล่ฆ่า ปราณดุดันก็ยิ่งเข้มข้นกว่าเก่า ท่ามกลางฟ้าร้องฟ้าผ่าที่ดังคละเคล้ากัน
ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันขยับร่างร่ายใช้ชนาเขย่าภูเขาหลบเลี่ยงสายฟ้าที่พุ่งมาด้านหลัง ก่อนจะใช้ผนึกมิวางวาย อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งของตัวเองหนีออกไปจากพื้นที่ที่สายฟ้าปกคลุม
แต่ความตึงเครียดและร้อนใจของเขากลับดุเดือดมานานแล้ว นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่เขาใช้เขตแดนธาราทำให้ดูออกแล้วว่าเมื่อแฝดอวิ๋นเหลยจื่อสองคนอยู่ด้วยกัน ศักยภาพของพวกเขาแข็งแกร่งมากเกินไป และเห็นได้ชัดว่ายิ่งผสานรวมกันเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าตะลึงมากเท่านั้น
“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ ต้องคิดหาวิธีมาหยุดยั้งการรวมร่างของพวกเขา…สมควรตายนัก แฝดอวิ๋นเหลยจื่อสองคนนี้มันฝึกวิชาอะไรกัน จากคนเดียวดันเปลี่ยนมาเป็นสองคนเสียได้ ต้องหยุดการผสานรวม…แยกพวกเขาออกจากกัน…หืม?”
วิกฤตคับขัน ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าอีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง เขาที่กำลังเค้นสมองคิด ดวงตาก็พลันเป็นประกาย
“แยกออกจากกัน?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รักษาความเร็วไว้ดังเดิมพลางแอบหยิบเอายาแยกทางออกมา แล้วจู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเองเสียงดัง ทันใดนั้นกระสวยชิ้นนั้นก็บินพรวดออกมา เขาจึงใช้วิธีลับซ่อนยาไว้ในกระสวย ก่อนจะขว้างมันออกไปอย่างแรง กระสวยชิ้นนี้ตรงดิ่งเข้าหาแฝดอวิ๋นเหลยจื่อ ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังออกมาจากปากของป๋ายเสี่ยวฉุน
“เอ๊ะ สหายนักพรตอวิ๋นเหลย กระสวยชิ้นนี้เป็นของพวกเจ้าใช่ไหม อั๊ยย่ะ ก่อนหน้านี้ข้าเก็บมาได้โดยบังเอิญ พอดูจากปราณของมันถึงรู้ว่าเป็นของพวกเจ้า คืนให้พวกเจ้าล่ะกัน” พอป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยประโยคนี้ออกมา แฝดอวิ๋นเหลยจื่อก็ถึงกับอึ้งค้างไปครู่หนึ่ง
นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดไม่ถึงว่าป๋ายเสี่ยวฉุนที่ก่อนหน้านี้วางท่าเป็นผู้แข็งแกร่งมองเหยียดใต้หล้า จู่ๆ จะพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้
ทว่าวินาทีที่พวกเขากำลังอึ้งงันนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันทำมุทราแล้วคำรามกร้าว
“ระเบิด!”
เสียงตูมดังสะเทือนเลือนลั่นนภากาศ ตอนที่กระสวยชิ้นนั้นขยับเข้าไปใกล้แฝดอวิ๋นเหลยจื่อก็พลันระเบิดตัวออกกลายเป็นแรงโจมตีที่ซัดไปเป็นวงกว้าง พริบตาเดียวก็กลบทับร่างของแฝดอวิ๋นเหลยจื่อเอาไว้ภายใน
ขณะเดียวกันกับที่มันระเบิดออก ยาแยกทางที่อยู่ข้างในก็ระเบิดตามไปด้วย จึงกลายมาเป็นควันดำที่แผ่ซ่านไปสี่ทิศ
ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีลังเล แม้แต่ชายตามองก็ยังไม่ทำ เขาเพียงเพิ่มความเร็วเผ่นหนีไปอีกครั้ง และวินาทีที่เขาเพิ่มความเร็วนั้นเอง อสนีสวรรค์สีม่วงเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากควันดำที่เกิดจากการแตกกระจายของกระสวย
ในอสนีสวรรค์นั้นก็คือแฝดอวิ๋นเหลยจื่อ สีหน้าของพวกเขาไม่น่ามอง ความดุร้ายในดวงตายิ่งเข้มข้น
“แอบซ่อนยาพิษเอาไว้รึ? ลูกไม้กระจอก! ระหว่างที่ข้าผู้อาวุโสผสานรวมร่างกัน หมื่นพิษก็แทรกซึมเข้ามาไม่ได้!” คนทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เสียงเดียวกัน ทว่ากลับผสานนรวมเป็นหนึ่งเดียว ฟังแล้วแปลกแปร่งอย่างยิ่ง
เมื่อดังเข้าหูป๋ายเสี่ยวฉุนก็คล้ายจะไปชักนำคลื่นทางจิตวิญญาณของเขาจนเขาหน้าเปลี่ยนสี เขาสัมผัสได้ว่าแฝดอวิ๋นเหลยจื่อเหมือนจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว เพียงแต่ว่าการรวมร่างของพวกเขาคล้ายจะไม่สามารถทำได้สำเร็จในชั่วพริบตา ตอนนี้จึงอยู่ระหว่างการรวมร่างกัน และเหมือนว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งถึงจะทำได้เสร็จสมบูรณ์
“ยาแยกทางใช้ไม่ได้ผลงั้นรึ? หรือว่ามันมีผลแค่กับชายหญิงเท่านั้น ไม่มีผลกับพวกเขา? หรือว่าปริมาณน้อยเกินไป?” ป๋ายเสี่ยวฉุนคับข้องใจ ใจอยากหันกลับไปมอง แต่เขาแอบมีลางสังหรณ์ว่าการที่แฝดทั้งสองผสานรวมร่างกันได้ช้าก็คือพิรุธที่ชัดเจนเกินไป และหากมีพิรุธที่ว่านี้อยู่จริง ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเขา เขาจะไม่มีทางเปิดเผยให้ศัตรูรู้ง่ายๆ แน่นอน
“ต้องมีกับดักแน่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่คิดจะเดิมพัน ยังคงกัดฟันเผ่นหนีต่อไปด้วยใจที่อัดดั้น
ส่วนแฝดอวิ๋นเหลยจื่อที่อยู่ด้านหลังเขาเวลานี้ก็ขมวดคิ้ว หันมามองหน้ากัน รู้สึกเสียดายที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้หันกลับมาสู้ด้วย อันที่จริงก็เป็นอย่างที่ป๋ายเสี่ยวฉุนวิเคราะห์เอาไว้ นี่คือพิรุธที่พวกเขาจงใจเปิดเผยออกมา และในความเป็นจริงแล้ว…การผสานรวมร่างของพวกเขาสองคนสามารถทำได้ในชั่วพริบตา
เพียงแต่ว่าการรวมร่างระดับลึกล้ำเช่นนั้น อวิ๋นเหลยจื่อไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้นานนัก ดังนั้นถึงได้วางแผนล่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหันกลับมาต่อสู้ด้วย
“ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ฉลาดแค่ไหน วันนี้เขาก็ต้องตายอยู่ดี!” แฝดอวิ๋นเหลยจื่อแค่นเสียงเย็นพร้อมกัน ก่อนจะระเบิดความเร็วอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง พวกเขาจึงค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ป๋ายเสี่ยวฉุนมากขึ้นทุกขณะ
และพวกเขากับป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไล่ล่ากันไปบนพื้นที่ราบ คนหนึ่งอยู่หน้าสองคนตามหลังเช่นนี้…
ไม่นานก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน…พลังกล้ามเนื้อของป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งแกร่ง ทั้งยังมีพลังการฟื้นตัวที่ไม่ธรรมดา การหนีครั้งนี้ของเขาจึงยังคงรักษาความเร็วไว้ได้คงที่ บางครั้งก็จะหันกลับมาขว้างยาแยกทางเป็นกำไปข้างหลัง แล้วก็ไม่สนใจว่าจะโดนอวิ๋นเหลยจื่อหรือไม่ พอโยนไปได้เขาก็ชักนำให้มันระเบิดจนกลายมาเป็นควันดำผืนใหญ่ทันที…
“แม่งเอ๊ย ข้าไม่เชื่อหรอก ยาแยกทางของข้าต้องใช้ได้ผลกับพวกเขาเหมือนกันนั่นแหละ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงโยนยาแยกทางออกไปต่อเนื่องอย่างไม่ยอมแพ้…