บทที่ 943 เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง
ตลอดทั้งพื้นที่การประลอง ไม่ว่าจะเป็นทะเลทราย หนองบึง พื้นที่ราบหรือผืนป่า เวลานี้ทุกพื้นที่ต่างเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แผ่นดินพลิกตลบ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี!
และตอนนี้นักพรตก่อกำเนิดที่ยังรอดชีวิตอยู่ในพื้นที่การประลองอันตรายแห่งนี้ก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น หากไม่เป็นพวกที่มีโชคดีจนน่าตกใจก็เป็นพวกที่ไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาหรือตบะต่างก็มีความพิเศษเหนือกว่าผู้อื่น
เพียงแต่ว่าตอนนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวเองมากแค่ไหนก็ยังตื่นตะลึงไปกับการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่การประลองก็ยังพากันตัวสั่น มีความรู้สึกเหมือนเผชิญกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ พริบตาเดียวเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังระงมทั่วทุกมุมในพื้นที่การประลอง
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!!”
“แผ่นดินไหว นภากาศซัดตลบ นี่มันเกิดอะไรขึ้น!” พวกนักพรตหลายร้อยคนที่ยังโชคดีข้ามผ่านวิกฤตมาได้จนถึงตอนนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนไม่ได้เดินทางเพียงลำพัง แต่จับกลุ่มกันกลุ่มละสามคนห้าคน
ยิ่งในด้านการติดต่อและส่งข้อความหากันก็ยิ่งถี่มากขึ้น นั่นเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้อันตรายอย่างมาก หากไม่รู้เรื่องภายนอกอะไรสักอย่างเดียวก็จะทำให้วิกฤตที่ตัวเองเผชิญรุนแรงมากกว่าเดิม
ยามนี้ทุกคนที่ติดต่อกันได้ล้วนหยิบแผ่นหยกออกมาส่งข้อความเสียงถามกันด้วยสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไม่หยุด
ไม่นานข่าวที่น่าตกใจข่าวหนึ่งก็แพร่ออกไป…
“มีคน…ค้นพบทางออกของพื้นที่การประลองที่ทะเลทราย หลังจากเปิดมันออก ทางออกก็กลายมาเป็นปราการกางกั้น จำเป็นต้องให้ทุกคนร่วมแรงกันทำลายปราการนั้นให้พังลงถึงจะออกไปจากที่นี่ได้!!” ข่าวนี้เป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมากลางใจของทุกคนที่รู้เรื่อง ในความเป็นจริงแล้ว เนื่องจากความอันตรายของที่แห่งนี้จึงทำให้คนไม่น้อยเริ่มมีความคิดที่จะยอมแพ้แล้ว
ทว่าตอนนี้เมื่อทางออกปรากฏขึ้นมาจึงทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนตาแดงก่ำ หัวใจสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่ยังคงคิดจะพยายามช่วงชิงโชควาสนาอีกสักหน่อย หรือจะเป็นคนที่ยอมแพ้และคิดจะไปให้พ้นจากที่นี่อย่างเดียว บัดนี้แต่ละคนล้วนหันไปมองยังทิศทางของทะเลทราย
แทบจะเวลาเดียวกัน ใครก็ตามที่รู้ข่าวนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็ล้วนร่ายความเร็วสูงสุดตรงดิ่งไปยังทะเลทราย
ป๋ายหลิน จ้าวเทียนเจียว และยังมีผู้แข็งแกร่งของแต่ละสายต่างก็พากันทำเช่นนี้
ในหนองบึง ดวงตาของเชียนกุ่ยจื่อเป็นประกายวาบ ร่างพลันกลายมาเป็นหมอกผีที่พาพวกซุนอู๋และจางต้าพั่งพุ่งทะยานไปยังทะเลทราย
ในผืนป่า เวลานี้ดวงตาของผู้เฒ่าคนฟ้าที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายความเป็นเซียนซึ่งมาจากสำนักเสาเอกสยบจันทราก็เปล่งแสงวาบ ครั้นจึงกลายร่างเป็นดาวตกดวงหนึ่งที่คล้ายฉีกกระชากความว่างเปล่าแล้วหายตัวไป
กลางพื้นที่ราบ พวกตู้หลิงเฟยเองก็พากันหันไปมองยังทะเลทราย โดยเฉพาะชายหนุ่มคนนั้นที่บัดนี้ดวงตาโชนแสงแรงกล้าคล้ายพยายามข่มกลั้นความตื่นเต้นในใจอย่างสุดความสามารถ
“ในที่สุดก็…หาเจอแล้ว!” พึมพำจบเขาก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วหัวเราะร่าอย่างสะใจ ปราณบนร่างคล้ายจะระเบิดออกมา ทว่ากลับถูกเขาระงับเอาไว้ ก่อนที่เขาจะสะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งครั้งหอบเอาร่างทุกคนทะยานไปไกลด้วยความเร็วที่เหนือกว่าคนฟ้า
และเวลาเดียวกัน ในทะเลทรายก็มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้ามีรอยยิ้มซึ่งทำให้คนมองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน นางนั่งอยู่บนหนอนทะเลทรายใหญ่ยักษ์ตัวหนึ่ง และแค่นางจิ้มนิ้วขวาอย่างไม่ใส่ใจทีเดียวก็ทำให้หนอนทะเลทรายตัวนั้นร่างแห้งเหี่ยวกลายมาเป็นควันดำที่ถูกดูดเข้าไปในนิ้วของนาง รอบกายนางยังมีหนอนทะเลทรายมากหลายหมื่นตัว ทว่าหนอนทะเลทรายที่เวลาปกติดุร้ายเกินจะเปรียบ มาบัดนี้กลับพากันตัวสั่น ราวกับว่าในสายตาพวกมัน หญิงสาวคนนี้ได้แผ่ปราณที่ทำให้พวกมันหวาดกลัว
“ไส้เดือนน้อยอย่างพวกเจ้า ตอนนั้นแค่เอามาป้อนสามผี นึกไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันหลายปี แต่ละตัวจะเติบใหญ่ถึงเพียงนี้” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อนางหันหน้ากลับมาก็เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนหวานชวนหลงใหล
นางก็คือ…โหวเสี่ยวเม่ย!
เพียงแต่ว่าโหวเสี่ยวเม่ยในเวลานี้ หากป๋ายเสี่ยวฉุนได้มาเห็นกับตาตัวเอง ต่อให้เป็นเขาก็คงยากที่จะเอาเงาร่างซึ่งมีปราณประหลาดนี้มาคิดเชื่อมโยงไปถึงโหวเสี่ยวเม่ยได้!
“แต่ว่า ยังไงก็ถือว่า…ได้กลับมาเสียที” โหวเสี่ยวเม่ยยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก ในดวงตาของนาง…มีลูกตาดำสองดวงทับซ้อนกันอย่างน่าพิศวง!! หัวเราะไปหัวเราะมา นางก็ขยับร่างแล้วพุ่งดิ่งไปยังจุดลึกในทะเลทรายที่ทางออกถูกค้นพบ
บัดนี้ตลอดทั้งพื้นที่การประลองมีลมพัดกระโชกอบอวล ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนและแฝดอวิ๋นเหลยที่อยู่ริมขอบพื้นที่ราบก็ทยอยกันรับรู้สาเหตุของเรื่องราวผ่านทางแผ่นหยกของตัวเองเช่นกัน
“พบทางออกแล้ว!” แฝดอวิ๋นเหลยพลันเบิกตากว้าง ยามนี้ไม่คิดจะสนใจป๋ายเสี่ยวฉุนอีกแล้ว พวกเขาสองคนหมุนตัวขวับแล้วกลายร่างเป็นรุ้งยาวห้อทะยานจากไปไกล
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็อึ้งค้างอยู่กับที่ คนที่ส่งข้อความเสียงมาบอกเขาคือจางต้าพั่ง ภายใต้ความช่วยเหลือจากเชียนกุ่ยจื่อ ทำให้ระยะการส่งข้อความเสียงของจางต้าพั่งขยายใหญ่กว่าเดิมอีกเล็กน้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนมองข้อมูลที่จางต้าพั่งส่งมาให้ หัวใจของเขาก็เต้นระรัวเหมือนกัน
“ทางออกอยู่ที่ทะเลทรายงั้นรึ? แต่ว่าข้าก็ออกมาจากทะเลทรายนะ ทำไมถึงไม่พบมัน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพลันรู้สึกเสียดายที่ทำไมตนไม่หาทางออกในทะเลทรายดีๆ …
“ตอนนี้พูดไปก็เท่านั้น…” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจยาวเหยียด เขาเข้าใจดีว่าการปรากฏของทางออกในตอนนี้ครึกโครมเกินไป ย่อมต้องดึงดูดทุกคนให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น
อีกทั้งระยะห่างของเขายังไกลมาก สามารถพูดได้ว่าไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว เพียงแต่ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกยอมไม่ได้ หากทางออกอยู่ในพื้นที่อื่นยังดีหน่อย แต่นี่มันกลับอยู่ในทะเลทราย
“ไม่ได้ ต่อให้ไปไม่ทัน ข้าก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง!” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟันกรอด หลังจากถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งก็ห้อตะบึงไปที่ทะเลทรายเช่นกัน
ระหว่างทาง ยังไม่ทันรอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนขยับเข้าไปใกล้ เหตุการณ์ประหลาดของฟ้าดินก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสียงอึกทึกดังกึกก้องรุนแรงจนแม้แต่ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ในที่ราบก็ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความน่าสะท้านสะเทือนที่ซัดออกมาจากทะเลทราย
ขอบฟ้าที่ห่างไปไกลกลายมาเป็นสีเหลืองอร่าม พอจะมองเห็นได้รำไรว่าพื้นที่เกือบทั่วทั้งทะเลทรายล้วนถูกปกคลุมไปด้วยม่านแสงขนาดใหญ่ยักษ์ เหมือนว่าม่านแสงนั้นต้องการพิทักษ์แปดทิศเอาไว้
ม่านแสงนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองไม่เห็น แต่กลับพอจะมองออกจากสีที่อาบย้อมอยู่บนท้องฟ้า นั่นจึงทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
“ทางออกนี่มันคือสถานที่อะไรกันแน่ ทำไมถึงได้มีการป้องกันอยู่ด้วย!”
และขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังตะลึงอยู่นั้นเอง เนื่องจากการปรากฏตัวของม่านแสงสีเหลือง ทันใดนั้นพื้นที่ทั้งสามแห่งอย่างหนองบึง ที่ราบและผืนป่าก็เริ่มเกิดการซูบเหี่ยวร่วงโรยลงไปอย่างรวดเร็ว!
ลำพังแค่พื้นที่ราบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ในตอนนี้ เขาก็มองเห็นว่าต้นหญ้าสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ขึ้นเต็มแผ่นดินเบื้องล่างพากันเหี่ยวเฉาไปในชั่วพริบตา เผยให้เห็นแผ่นดินสีดำสนิท สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่ราบล้วนตัวสั่นเทิ้ม และร่างของพวกมันก็ซูบเหี่ยวไปเช่นกัน พริบตาเดียว…ตลอดทั้งที่ราบก็กลายมาเป็นพื้นที่แห่งความตาย!!
ดินโคลนสีดำคล้ายสูญเสียสารบำรุงที่ควรมีจึงเริ่มปริแตก…
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นเยือก อาการชาลามไปทั้งหนังศีรษะ
ไม่เพียงแต่พื้นที่ราบเท่านั้น ยังมีหนองบึงที่ทุกสิ่งมีชีวิตในนั้นล้วนตายกันหมด น้ำในบึงแห้งขอดเผยให้เห็นผืนแผ่นดิน พอมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่นแผ่นดินก็เกิดร้าวระแหงไปทั่วทุกย่อมหญ้า…และยังมีผืนป่าที่ป๋ายเสี่ยวฉุนยังไม่ได้ไปเยือนที่ก็มีสภาพแบบเดียวกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เกิดขึ้นในเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ตลอดทั้งพื้นที่การประลองนอกจากทะเลทรายแล้ว อีกสามพื้นที่ที่เหลือล้วนกลายเป็นสถานที่แห่งความตาย!
ไม่เพียงป๋ายเสี่ยวฉุนเท่านั้นที่ตะลึงพรึงเพริด นักพรตทุกคนที่เร่งรุดเดินทางไปยังทะเลทรายก็ตัวสั่นเทิ้ม มองความเหี่ยวแห้ง มองร่องลึกใหญ่ยักษ์ที่เกิดขึ้นบนพื้นดิน แต่ละคนก็พลันบังเกิดลางสังหรณ์ที่เลวร้าย
“ที่นี่…มันคือสถานที่อะไรกันแน่!”
ปราณแห่งความตายที่เย็นเยียบวังเวงพลันตลบอบอวลไปทั่วทุกหนแห่ง ปราณนี้ยิ่งนานก็ยิ่งเข้มข้น โลกทั้งใบเปลี่ยนมาเป็นมืดสลัว อึมครึมน่าสะพรึงกลัว ปานประหนึ่งกลายมาเป็นดินแดนแห่งภูตผี!
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปและเร็วเกินไป แม้แต่ท้องนภาก็ยังเปลี่ยนมาเป็นขุ่นมัว มองไม่เห็นชั้นเมฆ เห็นเพียงท้องฟ้าขมุกขมัวเหมือนมีผีร้ายหลายตัวซ่อนกายอยู่และกำลังจ้องมองลงมายังพื้นดินด้วยความหิวกระหาย!
และเมื่อสามพื้นที่แห้งเหี่ยวตายดับไป ม่านแสงที่ปกคลุมเหนือทะเลทรายจึงยิ่งเด่นชัดและสะดุดตามากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว
แล้วก็เพราะความพิลึกพิลั่นของที่แห่งนี้ ทุกคนที่บินมุ่งหน้าไปยังทะเลทรายจึงเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม คนส่วนใหญ่ในบรรดานั้นไม่ได้อยากเป็นลูกศิษย์เทียนจุนอะไรอีกแล้ว ความคิดที่แรงกล้าที่สุดในสมองของพวกเขาเวลานี้ก็คือต้องการออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็วที่สุด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันควัน เขามองไปรอบด้านด้วยลมหายใจที่ถี่กระชั้น ไอเย็นอึมครึมของที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยไม่น้อย แต่กลับไม่มีเวลาให้คิดพิจารณา ได้แต่รีบห้อทะยานไปเบื้องหน้า หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนเหยียบเข้ามาในหนองบึงและกำลังจะพุ่งไปยังทะเลทรายนั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็พลันหันไปมองยังพื้นดินที่ห่างออกไปไกล!
บนพื้นดินตรงจุดที่ห่างไกลมีแสงสีขาวเส้นหนึ่ง เมื่อมันมาอยู่บนพื้นดินดำมืดที่แตกระแหงจึงดูสะดุดตามากเป็นพิเศษ เนื่องจากหนองบึงในอดีตถูกดินโคลนกลบทับ บวกกับที่เศษซากของหลายสิ่งหลายอย่างทับถมเน่าเปื่อยมานานปี ดังนั้นแสงสีขาวนี้จึงถูกกลบทับ ทำให้ไม่สะดุดตาไปด้วย ทว่าตอนนี้…เมื่อน้ำในหนองแห้งขอด เมื่อผืนดินมีรอยปริแตกลุกลามไปทั่ว แสงสีขาวนี้จึงเปลี่ยนมาเป็น…เด่นชัดในบัดดล
“นั่นมันอะไร?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง รีบเปลี่ยนทิศทางขยับร่างไปลอยอยู่เหนือแสงสีขาว พอก้มหน้าลงไปมองแล้วโบกมือขวาหนึ่งครั้ง พื้นดินก็พลันสั่นไหว เศษหินแตกกระจายลอยฟุ้ง เผยให้เห็นว่าตรงนั้นมีสิ่งหนึ่งฝังอยู่ ของสิ่งนั้นคือ…วัตถุอาคม!
นั่นคือ…เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่ง!!
วินาทีที่มองเห็นเหรียญทองแดงนี้ ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกกว้าง ในสมองเหมือนมีฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา!
“เป็นไปไม่ได้!!”