บทที่ 946 เจ้าไม่ใช่โหวเสี่ยวเม่ย
ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาชั่วสายฟ้าแลบ รวดเร็วสุดประมาณ เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงผมยาวผู้นั้นก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าเวทอภินิหารที่ตนร่ายออกมาจะใช้ไม่ได้ผลกับป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่จะอย่างไรซะนางก็ไม่ใช่พวกไร้ฝีมือ ภายใต้สถานการณ์ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหลบพ้นนั้น หญิงสาวกลับเปล่งเสียงหัวเราะ ร่างพลันพร่าเลือน และมองดูเหมือนจะมีพลังแห่งห้วงเวลาเปล่งวาบขึ้นมาบนร่างของนาง พอใกล้จะปะทะเข้ากับหยกประดับของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของนางก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็กลับมาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และยังคงหวีผมดังเดิม ราวกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าขาวเผือด หัวใจเต้นตึกตักๆ รัวเร็วจนเหมือนจะปริแตก
ก่อนหน้านี้หาใช่ว่าเวทอภินิหารของอีกฝ่ายใช้ไม่ได้ผล ช่วงแรกเริ่มป๋ายเสี่ยวฉุนตกอยู่ในห้วงความคิดที่แปลกประหลาดวุ่นวายโดยไม่รู้ตัวอย่างแท้จริง ทว่านั่นเกิดขึ้นแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น เพราะว่าอยู่ดีๆ พลังแห่งความคิดที่เขานึกว่ามันหายไปตอนก่อกำเนิดวิถีฟ้ากลับโผล่พรวดออกมาจากตรงไหนของร่างกายเขาก็ไม่รู้ได้ และมันแค่ปรากฏตัวแวบเดียวในสมองของเขา ก่อนจะจางหายไปอีกครั้ง
ทว่าแม้จะเป็นเพียงแวบเดียว แต่กลับทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนคืนสติได้ในบัดดล หัวใจเขาสั่นสะท้าน ความคิดในสมองจึงหมุนเร็วจี๋ ตอนนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้แผนหนามยอกเอาหนามบ่ง คว้าโอกาสนั้นไว้แล้วเอาคืนกลับไปอย่างดุดัน
เพียงแต่ว่าต่อให้เขาจะวางแผนมาเป็นดิบดี แต่กระนั้นก็ยังมิอาจสั่นคลอนหญิงผู้นี้ได้แม้แต่น้อย ภาพสุดท้ายที่ร่างของอีกฝ่ายพร่าเลือนได้สั่นประสาทป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างรุนแรง
“ไม่ใช่การพร่าเลือนที่เกิดจากความความเร็วสูงสุด แต่เป็น…แต่เป็น…พลังของห้วงเวลาบนร่างนางที่ถดถอยไปสองสามชั่วลมหายใจ!” พอป๋ายเสี่ยวฉุนคิดว่าอีกฝ่ายมีเวทลับที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ให้ใช้ เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม หน้าตาของเขาใกล้จะร้องไห้เต็มแก่ จึงคิดจะเปิดปากอธิบาย คลี่คลายความขัดแย้งเมื่อครู่นี้
แต่ยังไม่ทันรอให้เขาเปิดปาก หญิงสาวที่นั่งหวีผมหันหลังให้เขากลับหัวเราะขึ้นมากะทันหัน
“น่าสนใจ มิน่าเล่าคนเฝ้าสุสานของโลกใบนี้ถึงได้เลือกเจ้า…ความคิดของเจ้า…ไม่ค่อยเหมือนกับคนบนโลกนี้ที่ข้าเคยเห็นมาจริงๆ เสียด้วย…”
“หากนับรวมเจ้าเข้าไป ตอนนี้บนเรือมีคนสองคนแล้วที่ทำให้ข้ารู้สึกสนใจอย่างมาก.”
หญิงสาวพูดมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงไปครู่ เขามึนงงไปกับคำพูดของหญิงสาวไม่น้อย ทว่าทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ขาดหายไป และศีรษะของนางก็หมุนขวับ
ไม่ได้หันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน แต่มองไปยังพื้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน!
พื้นนั้นทำมาจากไม้ มองดูแล้วธรรมดาอย่างมาก บนพื้นว่างโล่ง ทว่าตอนที่หญิงสาวมองไป พื้นนั้นกลับเกิดการพร่าเลือน…
“ในที่สุดก็มาแล้วหรือ…” บนใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าของหญิงสาวเริ่มบิดเบือนคล้ายกระดาษเปล่าใบหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยยับย่น ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็สูดลมหายใจดังเฮือกด้วยความตึงเครียด วินาทีที่เขามองไปบนพื้น เสียงอึกทึกก็พลันดังกึกก้อง
ตูมๆๆ!
ราวกับว่ามีคนกำลังใช้พลังมหาศาลโจมตีอยู่ใต้กระดานไม้ พยายามจะฝ่าออกมา อีกทั้งชั่วขณะที่เสียงกัมปนาทดังสะท้อน ทันใดนั้นพื้นไม้ทั่วบริเวณของห้องก็เกิดสั่นสะเทือน สุดท้ายพอเสียงตูมที่ดังกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่าตัวดังขึ้น พื้นนั่นก็ระเบิดกระจายออกทันที!
เมื่อพื้นพังถล่ม สมองของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง ข้างหูของเขายังได้ยินเสียงหัวเราะดุร้ายคล้ายเสียงร่ำไห้ของผีดังออกมาจากปากหญิงสาว อีกทั้งยังเห็นด้วยว่าท่ามกลางพื้นไม้ที่แตกกระจัดกระจายมีรุ้งยาวหลายเส้นถลันพรวดออกมา!
จะบอกว่านี่เป็นรุ้งยาวก็สู้พูดว่าเป็นเส้นใยจะดีกว่า ซึ่งในเส้นใยทุกๆ เส้นจะมีเงาร่างของนักพรตคนหนึ่งอยู่ในนั้น และก็ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกเขาถูกย่อส่วนให้เล็กลงจากเดิมหลายเท่า ตอนนี้เมื่อทะยานขึ้นมาแล้วจึงกลับคืนสู่สภาพปกติในชั่วพริบตา
คนที่พุ่งออกมามีมากถึงเจ็ดแปดคน แต่ละคนตื่นเต้นกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทั้งยังมีคนร้องคำรามด้วยความฮึกเหิม
“ข้าเป็นคนแรก!”
“ฮ่าๆ ยาอายุขัยพันปีมีของข้าส่วนหนึ่ง!”
เพียงแต่ว่าเสียงคำรามของพวกเขายังไม่ทันสิ้นสุด แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่พวกเขาหันไปเห็นรอบด้านอย่างชัดเจน หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็หันหัวกลับไปส่องกระจกผุพังบานนั้นและหวีผมต่ออีกครั้ง ทว่าด้านหลังของนางกลับกลายมาเป็นปากใหญ่ยักษ์ที่อ้าปากกว้างแล้วเขมือบคนเจ็ดแปดคนนั้นอย่างฉับพลัน
รวดเร็วเกินจะหาอะไรมาเปรียบ และเวลาแค่ชั่วกะพริบตา เสียงร้องคำรามของคนเจ็ดแปดคนนี้ก็ขาดหายไปกลางคัน นัยน์ตาของพวกเขายังไม่ทันฉายความหวาดกลัวหรือตะลึงพรึงเพริดด้วยซ้ำ พริบตาเดียวก็ถูกปากใหญ่นั้นสวาปามเข้าไปแล้ว
เสียงเคี้ยวกรุบกรับดังตามหลังมา ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินและได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ยิ่งตัวสั่นเทิ้มรุนแรง โดยเฉพาะเสียงเคี้ยวนั่นที่ทำให้เขาอดจินตนาการภาพตามไม่ได้ แล้วพอคิดตาม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นขาวซีดไร้สีเลือด
แต่ทุกอย่างนี้ยังไม่สิ้นสุด วินาทีต่อมาก็มีเงาร่างอีกหลายสิบเงาพุ่งออกมาจากโพรงบนพื้น ตอนที่เห็นคนกลุ่มที่สองทะยานออกมา ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันหอบรัว รีบตะโกนห้ามเสียงดัง
“ที่นี่อันตราย!!” ระหว่างที่พูด คนสิบกว่าคนของกลุ่มที่สองได้โผล่ออกมาแล้ว และป๋ายเสี่ยวฉุนกวาดตามองทีเดียวก็เห็นคนคนหนึ่งในกลุ่มนั้นอย่างชัดเจน เขาพลันร้อนรนกระวนกระวาย รีบสะบัดร่างเข้าไปใกล้พลางคำรามดังอย่างคลุ้มคลั่ง
“เสี่ยวเม่ย! รีบกลับไปเร็วเข้า!!”
หนึ่งในคนสิบกว่าคนของกลุ่มที่สองก็คือโหวเสี่ยวเม่ย เพียงแต่ว่าโหวเสี่ยวเม่ยในเวลานี้กลับแผ่ปราณบางอย่างที่น่าตกใจออกมา ปราณนั้นแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น ลูกตาดำสองวงที่ทับซ้อนกันเด่นชัดอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกที่ป๋ายเสี่ยวฉุนคุ้นเคยดีดังออกมาจากปากของนาง
“ในที่สุด…ข้าก็กลับมาแล้ว!”
วินาทีที่ได้ยินประโยคนี้และเสียงหัวเราะนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเบิกตากว้าง ฝีเท้าชะงักกึกในบัดดล เม็ดเหงื่อผุดไหลลงมาจากหน้าผาก หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเผยความเหลือเชื่อและตะลึงลาน ร้องอุทานเสียงหลง!
“เสียงนี้ เสียงหัวเราะแบบนี้…เจ้า…เจ้าไม่ใช่โหวเสี่ยวเม่ย เจ้าคือกงซุนหว่านเอ๋อร์!! เจ้าทำอะไรกับโหวเสี่ยวเม่ย!!” หลังจากที่ร้องอุทานไปแล้ว ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เปลี่ยนมาเป็นแดงฉาน คำรามเดือดดาลเจ็บแค้น
โหวเสี่ยวเม่ยในเวลานี้ก็คือกงซุนกว่านเอ๋อร์ ดวงตานางเผยประกายแสงแห่งความชั่วร้าย เมื่อได้ยินประโยคของป๋ายเสี่ยวฉุนนางก็หัวเราะคิกคัก
“พี่ชายน้อย เจ้ายังจำข้าได้ด้วยหรือ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะทำร้ายเสี่ยวเม่ยของเจ้าได้อย่างไร อีกเดี๋ยวข้าจะพานางมาเล่นกับเจ้าก็แล้วกันนะ” กงซุนหว่านเอ๋อร์พูดจบก็หันไปมองหญิงสาวที่ยังคงหวีผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ข้าล่ะเกลียดที่สุดเวลาที่คนอื่นมาใช้โต๊ะเครื่องแป้งของข้า” กงซุนหว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น แทบจะชั่วขณะเดียวกับที่นางเอ่ยจบ หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็หัวเราะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“โต๊ะเครื่องแป้งนี้เป็นของข้า แม้แต่เจ้า…ก็ยังเป็นของข้า เจ้านึกว่าเจ้าหาร่างตัวตายตัวแทนมาซ่อนวิญญาณ ซ่อนปราณของตัวเอง แล้วข้าจะสัมผัสถึงการมาของเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ” ขาดคำ ปากใหญ่นั่นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วอ้ากว้าง กระโจนตรงมาหมายเขมือบกงซุนหว่านเอ๋อร์
ทว่าขณะที่ปากใหญ่ขยับเข้ามาใกล้นั้นเอง กงซุนหว่านเอ๋อร์กลับหัวเราะคิก ควันดำทั่วร่างระเบิดตูม ครั้นจึงกลายมาเป็นปากใหญ่แบบเดียวกันที่พุ่งเข้าไปปะทะกัดกินกับปากใหญ่ปากนั้น
ทั้งสองคนพลันระเบิดศึกอยู่ในห้องแห่งนี้!
เสียงตูมตามมาพร้อมกับพลังโจมตีรุนแรงจนแผ่นดินไหวภูเขาสะเทือนที่ซัดไปทั่วด้าน ทำเอาห้องทั้งห้องแกว่งโยนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีแรงโจมตีอีกขุมหนึ่งที่ระเบิดออกมาจากตรงพื้นห้องที่พังทลายแล้วกวาดตะลุยไปสี่ทิศ
พวกนักพรตที่เพิ่งจะโผล่ออกมาพากันกระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างที่มิอาจควบคุม สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนมาเป็นตะลึงพรึงเพริดและงุนงง
พวกเขาไม่เข้าใจเลย ทั้งๆ ที่ที่นี่คือพื้นที่การประลอง แต่เหตุใดพอก้าวออกมาจากประตูทางออกแล้วถึงได้เข้ามาอยู่ในห้องแห่งนี้ อีกทั้งความวังเวงอึมครึมของสถานที่แห่งนี้ยังทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาบังเกิดความประหวั่นพรั่นพรึง เย็นเยือกไปทั้งร่างกายและจิตใจ
ลมหายใจของป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหนัก เรื่องราวเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนเขาไม่มีเวลามาคิดพิจารณา แต่เขาก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าในร่างของโหวเสี่ยวเม่ยตอนนี้มีวิญญาณอยู่สองดวง ดวงหนึ่งเป็นของเด็กหญิงผู้นั้น ส่วนอีกดวงหนึ่งถูกกำราบเอาไว้ แต่ยังไม่ถูกลบเลือนไป ซึ่งนั่นคือวิญญาณของโหวเสี่ยวเม่ย!
“เสี่ยวเม่ย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนร้อนใจเกินคำบรรยาย แต่กลับทำอะไรไม่ได้
แรงโจมตีที่ซัดมาผลักให้เขาถอยกรูดจนร่างกระแทกเข้ากับผนังด้านหลัง ขณะเดียวกันก็มีเสียงเปรี๊ยะดังลั่น ผนังรอบด้านเกิดเป็นรอยปริแตกใหญ่ยักษ์ รอยแตกพวกนี้ลุกลามไปอย่างต่อเนื่อง แล้วก็เพราะการกระแทกชนของป๋ายเสี่ยวฉุนเมื่อครู่นี้จึงทำให้ผนังด้านหลังของเขาพังทลายลงมาทันที!
พอผนังแตกออกจึงเผยให้เห็นว่าด้านหลังของมันคือบันไดผุพังเส้นหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะ…เชื่อมไปถึงชั้นบน!
วินาทีที่มองเห็นบันไดนั้น บนพื้นของห้องก็มีคนกลุ่มที่สามพุ่งออกมา ในคนกลุ่มนี้ก็คือ ตู้หลิงเฟย รวมไปถึงชายหนุ่มคนที่อยู่ข้างกายนางผู้นั้น
ทว่าพอเขาปรากฏตัว ความเร็วของเขากลับระเบิดออกทันควัน ท่ามกลางเสียงตูมตามกึกก้อง พลังอำนาจขุมหนึ่งที่เหมือนจะทำให้เรือทั้งลำสั่นคลอนก็พลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของชายหนุ่มผู้นี้
อีกทั้งภายใต้การระเบิดพลังนั้น ร่างของเขากลับปริแตกออกจากกันโดยอัตโนมัติราวกับว่าเขาสวมหนังคนคลุมทับไว้ชั้นหนึ่ง ซึ่งพอมันถูกฉีกกระชากจึงเผยให้เห็นเรือนกายที่มีใบหน้ามากบารมีโดยที่ไม่ต้องแสดงความโกรธ ดวงตาลึกล้ำสุดจะหยั่งคู่นั้นราวท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาว และยังมีปราณบนร่างของเขาที่ปานประหนึ่งบุคคลผู้สูงศักดิ์ที่สุดของโลกใบนี้ เขาก็คือ…
“เทียนจุน!!” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเสียงตูมระเบิดดังลั่น พลันร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาจะพอเดาได้แล้ว ทว่าพอได้มาเห็นกับตาตัวเองเข้าจริงๆ เขาก็อดไพล่นึกไปถึงฝ่ามือของตัวเองที่ตบลงไปบนศีรษะอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ไม่ได้
“ข้า…ข้าตบหัวเทียนจุนจริงๆ หรือนี่?!”