บทที่ 970 เสี่ยวฉุนพิโรธพลิกฟ้า
เมื่อเห็นว่าคนฟ้าทั้งสี่ร่วมมือกันพุ่งเข้าประหัตประหารป๋ายเสี่ยวฉุน แม้ก่อนหน้านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแสดงความแข็งแกร่งออกมามากแค่ไหน แต่เมื่อนักพรตแต่ละคนของสำนักเมฆาและสำนักอสนีของสายเหนือมองไป วันนี้ยังไงป๋ายเสี่ยวฉุนจอมโอหังผู้นี้ก็ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่อยู่ดี!
“แม้ว่าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้จะร้ายกาจ แต่เขาลืมไปแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่สายตะวันออก แต่เป็นสายเหนือ!”
“หึ ทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่ในสายเหนือของพวกเรา ก็ต้องให้เขาได้เห็นดีกันบ้าง!”
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเมื่อพวกผู้อาวุโสอวิ๋นเหลยจื่อร่วมมือกันแล้วจะยังกำจัด
ป๋ายเสี่ยวฉุนกระจอกๆ ผู้นี้ไม่ได้!” คนของแม่น้ำสายเหนือพากันสงบใจลงได้ สายตาแต่ละคนตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนจึงเผยความดูแคลน
บนนภากาศ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเหลยจื่อสี่คนพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็โชนแสงเย็นเยียบ นับตั้งแต่ที่มาอยู่แม่น้ำสายเหนือ เขาก็ต้องข่มกลั้นความโกรธเอาไว้ตั้งแต่ต้น ตอนนี้พอเห็นว่าอวิ๋นเหลยจื่อและคนฟ้าอีกสามคนของสายเหนือต่างก็กระโจนเข้าใส่ตนด้วยท่าทางดุร้าย ความโมโหของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันเดือดพล่านแล้วระเบิดปะทุทันควัน
เขาไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับยังเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว โบกมือขวาหนึ่งครั้ง ท่ามกลางเสียงตูมตาม เขตแดนธาราก็พลันย่างกรายลงมา แปดทิศอบอวลไปด้วยไอน้ำ เท้าขนาดใหญ่ยักษ์หล่นลงจากฟากฟ้า ดิ่งเข้าใส่แผ่นดินใหญ่
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่น แผ่นดินสั่นไหว ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อสี่คนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน นอกจากอวิ๋นเหลยจื่อแล้ว คนฟ้าอีกสามคนต่างก็สูดลมหายใจดังเฮือก ทั้งยังมีคนหนึ่งในนั้นที่พุ่งนำมาก่อนใคร จึงเป็นหนังหน้าไฟ กระอักเลือดออกมาคำโต
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!” ในฐานะที่อวิ๋นเหลยจื่อคือคนฟ้าอันดับหนึ่งของแม่น้ำสายเหนือ พอเห็นภาพนี้ก็คำรามกร้าว ระเบิดความเร็วในเสี้ยววินาที ร่างทั้งร่างจึงกลายมาเป็นรุ้งเส้นยาวที่บุกเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมเสียงที่ดังก้องชั้นฟ้า
“บรรพจารย์อวิ๋นเหลยแปรเปลี่ยนครั้งที่เจ็ด!!” เสียงดังสะเทือนแก้วหูนั้นแผ่ลามไปในชั่วพริบตา ร่างของอวิ๋นเหลยจื่อก็เปลี่ยนขนาดมาเป็นเจ็ดสิบจั้ง ดั่งบรรพบุรุษแห่งมวลชนเยื้องกรายลงมาด้วยตัวเอง ตบะและพลังการต่อสู้ก็ไต่ทะยานขึ้นไประดับใหญ่จนเหนือกว่าคนฟ้าช่วงท้าย ร่างทั้งร่างเหมือนพายุบ้าคลั่งลูกหนึ่งที่ซัดตะลุยเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ทว่าขณะที่เขาขยับเข้ามาใกล้นั้นเอง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฉายแววเหี้ยมเกรียม แล้วก็เอ่ยขึ้นในเวลาเดียวกัน
“กำราบบรรพจารย์แปรเปลี่ยนครั้งที่ห้า!”
ตูมๆๆ!
วินาทีนั้นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถูกร่ายด้วยวิชาอภินิหารแบบเดียวกัน เรือนกายของเขาจึงขยายขึ้นมามีขนาดห้าสิบจั้ง ปราณแห่งความบ้าระห่ำป่าเถื่อนระเบิดตูมออกมาจากร่างหนาใหญ่บึกบึนนั้น โดยเฉพาะเงาดวงจันทร์ในตาข้างซ้ายของเขาที่เวลานี้เปล่งแสงวูบวาบรัวเร็ว ทำให้ภายนอกมองดูเหมือนป๋ายเสี่ยวฉุนแปลงร่างด้วยกระบวนท่าที่ห้า ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…กลับมีพลังของการแปลงร่างในกระบวนท่าที่แปด
“เป็นไปไม่ได้!!” ลูกตาของอวิ๋นเหลยจื่อแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
ที่เขาไม่ได้ร่ายการแปรเปลี่ยนครั้งที่แปดก็เพราะการเปลี่ยนท่าที่แปดนั้นเผาผลาญพลังมากเกินไป แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่า ป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะร่ายวิชาอภินิหารแบบเดียวกับตนออกมา!
นาทีนั้น คนทั้งสองก็พลันพุ่งชนเข้าด้วยกันอยู่กลางอากาศ ฟ้าดินสั่นสะเทือน ความว่างเปล่าส่ายไหว แรงโจมตีซัดแผ่ออกไปสี่ทิศ อวิ๋นเหลยจื่อกระอักเลือด ร่างที่มีขนาดแปดสิบจั้งถอยกรูดพร้อมเสียงดังปึงปังไปตลอดทาง
แม้ว่าร่างของเขาจะสั่นเทิ้มอย่างแรง ทว่าเมื่อเทียบกับความตะลึงพรึงเพริดของจิตวิญญาณแล้ว กลับเรียกได้ว่าน้อยนิดจนแทบไม่มีค่าพอให้พูดถึง เขาในเวลานี้หายใจถี่กระชั้น สีหน้าคาดไม่ถึง วิชาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยนี้เป็นเวทลับของแม่น้ำสายเหนือ แต่ตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับร่ายมันออกมา นี่จึงทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง มีความรู้สึกเหมือนภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ความจริง
หากเพียงเท่านั้นก็ยังพอว่า แต่นี้อีกฝ่ายแค่เปลี่ยนถึงท่าที่ห้า ตนที่เปลี่ยนถึงท่าที่เจ็ดกลับมิอาจต้านทานได้ นี่จึงทำให้อวิ๋นเหลยจื่อใกล้บ้าเต็มที
“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้ากล้าขโมยวิชาลับสืบทอดของสายเหนือข้าเชียวรึ!!”
อวิ๋นเหลยจื่อแหงนหน้าแผดเสียงคำราม ขณะที่ถอยกรูดออกไป เขาก็ร่ายใช้การแปรเปลี่ยนครั้งที่แปดอย่างไม่ลังเล พอร่างขยายถึงแปดสิบจั้งก็กระโจนออกมาอีกครั้ง
“ผายลมสุนัขอะไรของเจ้า เจ้าคือคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลย แต่ของข้าคือกำราบบรรพจารย์ แค่ชื่อก็ไม่เหมือนกันแล้ว เจ้าตาบอดหูหนวกไปแล้วหรืออย่างไร!”
ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่นเสียงเย็น แล้วก็กระโจนออกมาเช่นเดียวกัน คนทั้งสองจึงปะทะกันกลางอากาศอีกครั้ง
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว คราวนี้คนทั้งสองกระเด็นถอยในเวลาเดียวกัน ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าเลือดลมของทั้งร่างซัดตลบปั่นป่วน ทว่าปณิธารการต่อสู้ในดวงตากลับพวยพุ่ง มือทั้งคู่ทำมุทราแล้วโบกออกอย่างแรง
“คาถาคนขุนเขา!”
“ตูมๆๆ!”
รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีหินภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา หินพวกนี้โผล่ออกมาเองจากความว่างเปล่า พริบตาเดียวก็ปกทับลงมาบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน บนร่างของบรรพชนมวลมนุษย์ที่มีขนาดห้าสิบจั้งนั้น’ กลายมาเป็นมนุษย์หินใหญ่ยักษ์ที่สูงร้อยจั้งทันที
นี่คือการร่ายใช้วิชาบรรพจารย์แปรเปลี่ยนพร้อมกับคาถาคนขุนเขา อานุภาพนั้นมากมหาศาล เขย่าคลอนฟ้าดินได้ทันทีที่ร่ายใช้ ลำพังเพียงแค่พลังอำนาจก็ทำให้นภากาศหม่นมัวตามไปด้วย นักพรตแม่น้ำสายเหนือทุกคนที่อยู่แปดทิศพากันร้องอุทานเสียงหลงด้วยความตะลึงพรึงเพริด
และหลังจากที่ร่ายใช้คาถาคนขุนเขา รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้จึงก่อเกิดเป็นพายุหมุนลูกหนึ่ง พายุนี้หมุนคว้างไปรอบทิศ ลมที่พัดกระโชกกรีดใบหน้าทุกคนให้เจ็บแสบ อวิ๋นเหลยจื่อเองก็หน้าเปลี่ยนสีติดต่อกัน สูดลมเย็นๆ ดังเฮือก
เขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้…ตนมิอาจต่อกรด้วยได้!
“สมควรตายนัก สมควรตายนัก ทำไมเขาถึงเปลี่ยนมาเป็นแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!!! ในขอบเขตคนฟ้า เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นขั้นสมบูรณ์แบบ หาไม่แล้วใครก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา โดยเฉพาะหากเขาร่ายใช้หมัดไม้ตายนั่น…”
คิดมาถึงตรงนี้ ม่านตาทั้งคู่ของอวิ๋ยเหลยจื่อก็หดตัว ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ทว่าวินาทีที่เขาก้าวถอยนั้นเอง ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับก้าวออกมาก้าวใหญ่ ไล่กวดตามไปกระชั้นชิด!
ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามกร้าว เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยอานุภาพแห่งสวรรค์ ความเร็วก็ระเบิดออก เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะไล่ตามไปทันอวิ๋นเหลยจื่อ คนฟ้าของสายเหนืออีกสามคนก็ได้แต่แข็งใจปรี่เข้าไปช่วยสกัดกั้น
สามคนนี้ คนหนึ่งจำแลงมาเป็นอสนีสวรรค์สีดำ คนหนึ่งกลายเป็นเงาเมฆเก้าก้อน และอีกคนหนึ่งควบคุมเตาอบขนาดใหญ่ยักษ์ใบหนึ่งให้ตรงเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน หมายจะขัดขวาง
“ไสหัวไปซะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แม้แต่จะชายตามองคนฟ้าช่วงกลางสามคนนี้ พอคำรามจบก็โบกมือยักษ์ ทันใดนั้นพลังบ้าคลั่งขุมหนึ่งก็พัดพวยพุ่งสู่นภากาศ หลังจากผสานรวมเข้ากับพายุลูกนั้นก็ซัดเข้าใส่รอบด้านอย่างรุนแรง
สายฟ้าสีดำพังทลาย ก้อนเมฆเก้าก้อนแหลกสลาย เตาอบที่กระแทกเข้ามาก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ คนฟ้าสามคนของสายเหนือกระอักเลือดกันทุกคน สีหน้าที่ตะลึงลานสุดขีดนั้นแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและความเหลือเชื่อ ร่างถูกพลังของป๋ายเสี่ยวฉุนซัดจนปลิวกระเด็น
“แข็ง…แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!” คนฟ้าสามคนของสายเหนือร้องอุทานเสียงหลงพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
ทว่าความเร็วของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับไม่ลดลงแม้แต่เสี้ยวเดียว เพียงก้าวขาไล่ล่าไปหาอวิ๋นเหลยจื่อพร้อมกับที่มือขวากำเป็นหมัด น้ำวนสีดำเผยตัว
“อวิ๋นเหลยจื่อ ตอนอยู่พื้นที่การประลองเจ้าลอบโจมตีข้าก่อน และตอนหลังยังพาลไร้เหตุผล สุดท้ายยังอาศัยตบะคนฟ้าช่วงท้ายไล่สังหารข้าไม่แล้วไม่เลิก!”
“พอมาอยู่สายเหนือ พวกเจ้าก็คอยหาเรื่องข้าครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ความแค้นของพวกเรา ควรถึงเวลาชำระแล้ว!” เสียงของป๋ายเสี่ยวฉุนดังสะเทือนไปแปดทิศ
ลมหายใจของอวิ๋นเหลยจื่อชะงักค้าง หัวใจสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งได้เห็นว่าบนหมัดขวาของป๋ายเสี่ยวฉุนเวลานี้มีน้ำวนสีดำปรากฏด้วยแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ยิ่งถอยกรูดรวดเร็ว ปากแผดร้องเสียงแหบเสียงแห้ง
“พวกเจ้ามัวยืนบื้อกันอยู่ทำไม ยังไม่รีบเปิดค่ายกลใหญ่ปกป้องสำนักอีก!!”
“จัดวางค่ายกล!!”
“เปิดค่ายกลเทพพิทักษ์สำนัก!!” แทบจะขณะเดียวกับที่อวิ๋นเหลยจื่อร้องคำราม คนฟ้าอีกสามคนของแม่น้ำสายเหนือก็พากันตะโกนเร่งร้อน พวกนักพรตสายเหนือที่อยู่รอบด้านซึ่งตะลึงตาค้างไปกับภาพเหตุการณ์เหล่านี้นานแล้วพากันคืนสติท่ามกลางสูดลมหายใจเฮือกๆ สีหน้าแต่ละคนซีดเซียว ก่อนจะรีบกระจายตัวกันออกไปสี่ทิศ ร่วมด้วยช่วยกันเปิดค่ายกลใหญ่ของสำนัก!
การเปิดค่ายกลไม่ได้กินเวลานานนัก ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังจะตามมาทันอวิ๋นเหลยจื่อ พลังที่น่าครั่นคร้ามขุมหนึ่งก็พลันระเบิดออกมาจากในสำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้า ครั้นจึงก่อตัวกลายมาเป็นชั้นเมฆที่ให้การป้องกัน ขณะเดียวกันก็มีแรงผลักดันที่น่าตะลึงขุมหนึ่งระเบิดปะทุ สกัดกั้นฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ อีกทั้งยังเหมือนจะขับไล่ให้เขาออกไปจากสำนักอย่างที่มิอาจโต้แย้งอีกด้วย
ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว เมื่อเจอแรงผลักดันของค่ายกล ร่างของเขาจึงถอยร่นไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง
พอเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถูกค่ายกลผลักออกไป คนฟ้าสามคนของสายเหนือและอวิ๋นเหลยจื่อต่างก็ถอนหายใจโล่งอก ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป เป็นเหตุให้ถึงแม้พอจะคลายใจได้บ้างแล้ว ทว่าความสะท้านสะเทือนของพวกเขาก็ไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ!
ทว่าชั่วขณะที่พวกเขาโล่งใจนั้นเอง ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับโชนแสงคมกริบ
“ค่ายกล ใช้ไม่ได้ผลกับข้า!” ระหว่างที่พูดเขาก็พลันร่ายใช้ผนึกมิวางวาย พริบตานั้นพลังของแรงผลักดันที่อยู่รอบกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็เหมือนจะทะลุผ่านร่างของเขาไป มิอาจกั้นขวางเขาเอาไว้ได้แม้แต่น้อย ที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ภายใต้การร่ายใช้ผนึกมิวางวายของป๋ายเสี่ยวฉุน ความเร็วของเขาจึงยิ่งระเบิดขึ้นอย่างพรวดพราด
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว ร่างของเขาลอดผ่านค่ายกลเข้ามาโดยตรง เมื่อปรากฏตัวก็มาอยู่ตรงหน้าอวิ๋นเหลยจื่อและยกมือขวาขึ้นมาแล้ว น้ำวนสีดำลูกนั้นคล้ายดึงดูดเอาทุกสรรพสิ่งในฟ้าดินมารวมไว้ด้วยกัน รวมไปถึงเงาจักรพรรดิสูงใหญ่เบื้องหลังป๋ายเสี่ยฉุนที่ผสานรวมไปในเสี้ยววินาที กลายมาเป็นหมัดจักรพรรดิมิดับสูญสะท้านฟ้าสะเทือนดินของเขา!
หนึ่งหมัดซัดลงมา ฟ้าดินพังทลาย!
ม่านตาของอวิ๋นเหลยจื่อหดตัว ในสมองมีเสียงดังอื้ออึง วิกฤตคับขันจนเขาไม่มีเวลามามัวครุ่นคิด แล้วก็มิอาจหลบเลี่ยงได้ ได้แต่คำรามแล้วร่ายใช้ท่าแปรเปลี่ยนที่เก้าซึ่งสำหรับเขาแล้วเป็นทั้งขีดจำกัดสูงสุดและเป็นทั้งสิ่งที่มิอาจควบคุมได้!
วินาทีนั้นร่างของเขาขยายใหญ่มาเป็นเก้าสิบจั้ง พยายามพุ่งเข้าต้านทานป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสุดกำลัง!
เสียงกัมปนาทดังเกริกก้องเกินกว่าที่เคยเป็นมา กลบทับทุกเสียงในฟ้าดินแห่งนี้ หูของทุกคนถูกแรงสะเทือนจนรู้สึกราวกับว่าทุกภาพเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้ากลายมาเป็นละครใบ้ ทั้งๆ ที่ภาพเหตุการณ์นั้นรุนแรง แต่พวกเขากลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ
อีกทั้งเมื่อแรงโจมตีซัดออกมา สำนักเมฆาอัสนีเก้าฟ้าก็สั่นสะเทือนไม่หยุด ส่วนอวิ๋นเหลยจื่อนั้นเบิกตากว้าง ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
“ไม่!!” เขากระอักเลือดอย่างบ้าคลั่ง ร่างปลิวลิ่วไปข้างหลังอย่างที่มิอาจควบคุม เสียงตูมตามดังออกมาจากในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งขณะที่ร่างถอยกรูดไปข้างหลังนี้ เขาก็มิอาจรักษาสภาพการผสานรวมร่างไว้ได้อีกต่อไป ร่างจึงหลุดออกมาเป็นสองคนที่ลอยลิ่วไปข้างหลังพร้อมกัน กระอักเลือดพร้อมกัน…
พี่ชายยังดีหน่อย ทว่าแฝดผู้น้องที่เมื่อเจอกับแรงโจมตีนี้ เสียงปังดังขึ้น ร่างของเขาก็ระเบิดแหลกลาญไปในทันที…