Skip to content

A Will Eternal 983

บทที่ 983 ไม่ยุติธรรม

อันที่จริง ศึกใหญ่ครั้งนี้ควรจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อนานมากแล้ว หากเทียนจุนเป็นผู้คว้าชัยชนะในศึกไร้เทียมทานครั้งนั้น ถ้าเช่นนั้นอันดับต่อมาก็ต้องเป็นสงครามแน่นอน

เพียงแต่ว่าเทียนจุนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และหลังจากนั้นเขาก็ล้มเหลวบนเรือกระดูกอีกครั้ง การโจมตีติดต่อกันหลายครั้งนี้ทำให้เทียนจุนหมดสิ้นซึ่งความอดทน ยิ่งได้เห็นกับตาตัวเองว่าพวกจางต้าพั่งออกจากโลกใบนี้ไปได้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านมากขึ้นทุกขณะ

“เจ้าแก่คนเฝ้าสุสาน ข้ารู้ว่าหลังจากนี้เจ้ายังมีแผนการอื่นรอไว้ แต่ข้าผู้เป็นเทียนจุนไม่อยากเสียเวลาอยู่กับเจ้าอีกแล้ว!” ดวงตาของเทียนจุนฉายความบ้าคลั่ง ครั้นจึงออกโองการโดยตรง!

กำจัดแดนทุรกันดาร กำจัดคนเฝ้าสุสาน กำจัดจักรพรรดิหมิง!

ต่อให้ฟ้าดินถล่มทลาย ต่อให้โลกใบนี้แหลกสลาย เขาก็ต้องกลายมาเป็นนายแห่งโลกใบนี้ที่แท้จริง เพื่อทำความความฝันอย่างการเปิดประตูของโลกใบนี้ให้เป็นจริงให้จงได้

โองการของเทียนจุนสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดินใหญ่ทงเทียน นักพรตของแต่ละสำนักบ้างก็เต็มใจ บ้างก็จนใจ กระนั้นพวกเขาทุกคนก็ล้วนจำเป็นต้องเข้าร่วมการเตรียมสงครามครั้งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

เพียงแต่อย่างไรซะคนที่รู้สาเหตุของสงครามครั้งนี้ก็มีเพียงน้อยนิด อีกทั้งความขัดแย้งตลอดระยะเวลาหลายปีรวมไปถึงประวัติศาสตร์ในอดีตของแดนทุรกันดารก็ได้ทำให้นักพรตส่วนใหญ่นาบประทับคำว่าศัตรูคู่แค้นลงไปในจิตวิญญาณของตัวเองแล้ว

แทบจะเวลาเดียวกันกับที่แผ่นดินใหญ่ทงเทียนเตรียมการรบอย่างเต็มกำลัง ฝ่ายของแดนทุรกันดาร ต้าเทียนซือเองก็ล้มเลิกความคิดที่จะกำราบจักรพรรดิขุยไว้ชั่วคราว แต่คืนอำนาจที่แน่นอนให้แก่จักรพรรดิขุย

ระดมกองกำลังของชนพื้นเมืองในเผ่าต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนทั่วแดนทุรกันดาร อีกทั้งสี่ราชาสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ยังรวมตัวกันสร้างกองทัพใหญ่สี่กอง กระชับความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นเพื่อเตรียมรับมือกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้น

เจ้าพระยาสวรรค์สิบท่าน พระยาสวรรค์หนึ่งร้อยท่าน ทุกตระกูลของผู้หลอมวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็ถูกระดมกำลังทั้งหมด!

ในกองทัพของราชาผียักษ์ ในฐานะที่เป็นแม่ทัพ สตรีธุลีแดงจึงสวมชุดเกราะองอาจสง่างาม ยามนี้นางกำลังยืนอยู่หน้าพลทหารมากมาย สายตาที่แฝงไว้ด้วยปราณดุดันจับจ้องไปยังทิศทางที่ตั้งของแผ่นดินใหญ่ทงเทียน

เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของนางที่คนนอกมองไม่เห็นกลับซุกซ่อนความซับซ้อนและความคิดถึงเอาไว้เสี้ยวหนึ่ง

เวลานี้คนที่คิดถึงป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้มีเพียงสตรีธุลีแดงเท่านั้น ยังมีเฉินม่านเหยา จักรพรรดิหมิงและพวกคนที่รู้ตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างโจวหง

ในความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่กำแพงเมืองพังถล่ม ในใจทุกคนก็พอจะคาดการณ์ได้แล้วว่าต้องมีสงครามเกิดขึ้น

ตอนนี้…สงครามกำลังขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะ!

ชั่วพริบตานั้น ไม่ว่าจะเป็นแดนทุรกันดารหรือแผ่นดินใหญ่ทงเทียนก็ล้วนถูกเต็มไปด้วยลมมรสุมพัดกระหน่ำ

ราวกับว่าในเวลานี้โลกทั้งใบ สถานที่แห่งเดียวที่พอจะเงียบสงบได้มีเพียงฟ้าดินในสมบัติอาคมสายเหนือที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เท่านั้น สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่วิเศษสำหรับการฝึกตนของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าสำหรับใบหน้าผีแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกว่านรกบนดิน แต่ก็เริ่มจะแทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันที่มาจากตัวของสมบัติอาคมเอง หรือจะเป็นความสิ้นหวังที่หาทางออกไม่เจอก็ล้วนทำให้ใบหน้าผีใกล้บ้าเต็มที ยิ่งสังเกตเห็นว่าสายฟ้าในพื้นที่เมฆสายฟ้าซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่เริ่มลดน้อยลง และปราณของป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านในก็เริ่มแผ่ขยายออกมาคล้ายอำพรางไว้ไม่อยู่อีกต่อไป

ปราณนั้นเหนือล้ำเกินกว่าก่อนหน้านี้ไปไกลโข แทบจะใกล้เคียงกับจุดสูงสุดของคนฟ้าช่วงกลางแล้ว หลังจากสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ใบหน้าผีก็รู้สึกเพียงว่าในสมองมีเสียงดังอึงอล ความอึดอัดขัดใจยิ่งมากล้นจนใกล้บ้าเต็มที

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!! ไอ้คนสมควรตายผู้นี้สามารถดูดซับพลังฟ้าดิน แต่ข้ากลับดูดซับมาไม่ได้!!”

“บัดซบนัก เขาไม่เป็นอะไรก็ยังพอทำเนา แต่นี่ตบะยังเพิ่มพูนมากขึ้นในทุกๆ วัน!!”

ใบหน้าผีแหงนหน้าแผดเสียงคำราม มันรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ยิ่งคิดถึงว่าเมื่ออยู่ที่นี่ตนอ่อนกำลังลงไปในทุกๆ วัน ทว่าอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง เกรงว่าอีกไม่นานเท่าไหร่ ตนก็คงเอาชนะป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นั้นไม่ได้อีกแล้ว

“ไม่ยุติธรรม!!”

พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ใบหน้าผีก็ตัวสั่นเทิ้ม ความสิ้นหวังยิ่งเข้มข้น ขณะเดียวกันก็ตามหาทางออกอีกครั้งอย่างบ้าคลั่ง มันในเวลานี้พลันนึกไปถึงเทียนจุน ก่อนหน้านี้มันไม่เข้าใจว่าทำไมเทียนจุนถึงต้องดึงดันอยากออกไปนอกโลกนัก ทว่าตอนนี้มันเริ่มรู้สึกแล้วว่าตนมีความคิดแบบเดียวกับเทียนจุน

“ข้าจะออกไป…” ใบหน้าผีใกล้ร้องไห้เต็มแก่แล้ว ได้แต่พยายามตามหาทางออกของโลกใบนี้อย่างไม่ถอดใจ

ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ก็กำลังทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อเพิ่มพูนตบะให้กับตัวเอง สายฟ้าแถบนี้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ตามตบะที่เพิ่มมากขึ้นของป๋ายเสี่ยวฉุน

ยิ่งเขาดูดซับเอาสายฟ้าไปมากเท่าไหร่ พลังฟ้าดินที่สั่งสมผ่านกาลเวลามายาวนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีอยู่ในสมบัติอาคมก็ยิ่งผสานรวมเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างบ้าคลั่ง

หากเปลี่ยนมาเป็นเวลาอื่นคงยากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะตั้งใจฝึกตนถึงเพียงนี้ แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ในโลกของสมบัติอาคม แถมข้างๆ ยังมีภัยคุกคามใหญ่ยักษ์จากใบหน้าผี ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ร้อนใจ ไม่ขยันไม่ได้เลย

“ใบหน้าผีนั่นน่ากลัวเกินไปแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเฮือกๆ ภายใต้แรงกดดันมหาศาลนี้ เขาเองก็ทุ่มสุดชีวิตแล้วเหมือนกัน เอานิสัยเวลาศึกษาพืชหญ้าตอนอยู่ในสำนักธาราเทพออกมาใช้ ยิ่งกลืนกินสายฟ้าไปมากเท่าไหร่ ตบะของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนทบทวี ขณะเดียวกันคาถาบรรพจารย์อวิ๋นเหลยห้าแปรเปลี่ยนก่อนหน้านี้ก็ไต่ทะยานไปถึงหกแปรเปลี่ยนแล้ว!

ยังไม่สิ้นสุด เมื่อถึงท่าแปรเปลี่ยนที่เจ็ด ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ระเบิดออกอย่างต่อเนื่อง เริ่มทะยานจากคนฟ้าช่วงกลาง ท้ายที่สุดก็พุ่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของคนฟ้าช่วงกลาง!

ท่ามกลางขั้นตอนนี้ ปราณของเขายิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ฟ้าดินในโลกสมบัติอาคมเปลี่ยนสี ลมกระโชกแรงเมฆสลายออกจากกัน

“ข้าในเวลานี้แข็งแกร่งมากแล้ว รอข้าฝ่าทะลุสู่คนฟ้าช่วงท้ายเมื่อไหร่ก็น่าจะสามารถไปสู้กับเจ้าหน้าผีนั่นได้แล้ว!”

เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของตบะตัวเอง อารมณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ฮึกเหิมเป็นกำลัง รีบดูดเอาสายฟ้าของที่แห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนใบหน้าผีนั้น เวลานี้มันยิ่งกลัดกลุ้มกังวลใจ ความรู้สึกที่ตัวเองอ่อนแอลงทุกเวลานาที แต่ศัตรูกลับแข็งแกร่งขึ้นในทุกโมงยามเช่นนี้ ทำให้อารมณ์ของมันเลวร้ายดิ่งลงเหวสุดขีด

และที่ยิ่งทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ก็คือ สายฟ้าในพื้นที่เมฆสายฟ้าของสมบัติอาคมนี้ นอกจากมีพลังฟ้าดินแฝงเร้นแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะตัวของสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็คือแผ่นดินใหญ่ของแม่น้ำสายเหนือ ดังนั้นจึงมีพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งก็ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนได้รับพลังชีวิตไร้ขีดจำกัดมาพร้อมๆ กับการดูดซับสายฟ้าด้วย

พลังชีวิตนี้ผลักดันเลือดคงกระพันของเขาไปในระดับที่น่าตกใจ ขณะที่ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนไต่สู่คนฟ้าช่วงกลางขั้นสูงสุด เลือดคงกระพันของเขา…ก็มีการฝ่าทะลุขั้น จากสี่ส่วนก่อนหน้านี้ก็ขยับขยายไปจนถึงห้าส่วนของเลือดทั้งหมดในร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบ!

การฝ่าทะลุขั้นเช่นนี้ทำให้ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ในใจตื่นเต้นล้นเหลือ

ทว่าความตื่นเต้นนี้ดำรงอยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก เพราะยิ่งป๋ายเสี่ยวฉุนฝึกตน สายฟ้าก็ยิ่งลดน้อยลง จนกระทั่งเสียงตูมเสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหวไปรอบด้าน พื้นที่สายฟ้าขนาดมหึมาก็พลันหายวับไปในชั่วพริบตา

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้างมองความว่างเปล่ารอบด้าน อึ้งงันไปครู่ใหญ่ ขณะเดียวกันใบหน้าผีที่อยู่นอกพื้นที่สายฟ้าก็ถูกดึงดูดด้วยเสียงดังอึกทึกเมื่อครู่นั้น พอเห็นว่าพื้นที่สายฟ้าหายไป มันก็ตาค้างไปทันใด

ทว่าใบหน้าผีกลับดีใจอย่างบ้าคลั่งทันควัน ร่างของมันพุ่งพรวดออกไปพลางหัวเราะตื่นเต้นเสียงดังก้องไปทั้งฟ้าดิน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ครั้งนี้เจ้าตายแน่!!”

แทบจะเวลาเดียวกับที่เสียงของใบหน้าผีดังลอยมา ร่างของมันก็ทะยานไปยังจุดที่เคยเป็นบ่อสายฟ้า ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น สะดุ้งโหยงขึ้นมาทั้งตัวเหมือนถูกเข็มทิ่ม รีบถอยกรูดไปข้างหลังอย่างไม่มีลังเล

“สมควรตายนัก ทำไมพื้นที่สายฟ้านี่ถึงไม่ทนทานเอาเสียเลย ข้าเพิ่งดูดไปได้เท่าไหร่เอง จู่ๆ กับว่างเปล่าเสียได้!!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนโมโห หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าใบหน้าผีทะยานมาจากทิศไกล เขาก็รู้สึกเหมือนหนังหัวจะระเบิด พลันร่ายใช้ความเร็วสุดขีด พร้อมกับร่ายผนึกมิวางวาย เสียงตูมดังหนึ่งครั้งก็หายไปจากที่เดิม มาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ห่างมาไกลมากแล้ว ทว่าเขากลับยังคงเผ่นหนีสุดชีวิตไม่คิดรั้งรอ

ใบหน้าผีด้านหลังของเขาก็คลั่งขึ้นมาแล้วเช่นกัน ต่อให้ตบะจะถูกระงับเอาไว้ แต่ก็ยังไล่กวดตามมาอย่างสุดกำลัง เพราะมันมองออกว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของมันแล้ว หากครั้งนี้ฆ่าเจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนสมควรตายผู้นั้นไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่ตบะของตนถดถอยอย่างต่อเนื่อง เกรงว่าเมื่อเจอกับป๋ายเสี่ยวฉุนครั้งต่อไป บางทีตนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายแล้วก็เป็นได้

พอคิดถึงภาพเหตุการณ์น่ากลัวนั้น ใบหน้าผีก็ใจสั่นอยู่หลายที ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ปากแผดเสียงคำราม ความเร็วระเบิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ท่ามกลางเสียงคำรามแหบแห้ง ใบหน้าผีพลันหายตัวข้ามผ่านพื้นที่สายฟ้าแล้วมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนไปไม่ถึงหนึ่งร้อยจั้ง ควันดำทั่วร่างของมันแผ่อวลออกมา พยายามรวบรวมพลังของครึ่งเทพให้ซัดครืนครั่นออกสี่ทิศ ก่อกลายมาเป็นพลังแห่งความกดดัน หมายจะบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุนให้แหลกลาญในคราเดียว

วิกฤตความตายรุนแรงทำให้หัวใจของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน ตบะคนฟ้าช่วงกลางขั้นสูงสุดระเบิดตูมทันใด บวกกับพลังของเลือดคงกระพันห้าส่วน จึงทำให้ความเร็วของเขาที่ร่ายใช้ผนึกมิวางวายทะยานไปอย่างต่อเนื่อง เสียงตูมดังสนั่น เขาก็ถึงกับสามารถหลบพ้นการลงมือของใบหน้าผีมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด!

เสียงตูมดังกึกก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนกระอักเลือด แม้แค่จะปาดเลือดทิ้งไป แต่ร่างทั้งร่างของเขาก็สั่นเทิ้มอย่างหนัก กระนั้นต่อให้เลือดสดจะทะลักทลาย แต่อันที่จริงภายใต้ความแข็งแกร่งของเลือดคงกระพัน อาการบาดเจ็บของเขากลับฟื้นคืนมาได้เกินครึ่งเพียงชั่วเวลาแค่ไม่กี่อึดใจ ความเร็วไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลง กลับยิ่งอาศัยพลังของใบหน้าผีมาเพิ่มความเร็วให้ตัวเองอีกด้วย

พริบตานั้นร่างของเขาก็กลายมาเป็นรุ้งยาวหนึ่งเส้นที่มาโผล่พรวดอยู่นอกรัศมีร้อยลี้ แล้วก็ไม่ได้หยุดชะงัก ป๋ายเสี่ยวฉุนยังคงเผ่นโผนไปอย่างไม่คิดชีวิต เสียงอึกทึกดังไม่หยุด ใบหน้าผีที่อยู่ด้านหลังเขาร้องคำรามพลางลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า ควันดำก่อตัวกันขึ้นเป็นลูกกลมที่กระแทกเข้าใส่ไม่ว่างเว้น ทว่าทุกครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนจะต้องหลบเลี่ยงไปได้อย่างฉิวเฉียด แม้เขาจะกระอักเลือด แต่ก็ยังคงกระโดดโลดเต้นเริงร่า ไม่นานใบหน้าผีก็เริ่มกลุ้มใจ จิตใจใกล้แหลกสลายเต็มที

“สมควรตายนัก สมควรตาย ต่อให้ข้าถูกกำราบพลังจนอ่อนแอ แต่ไอ้หมอนี่มันเป็นตัวอะไรกลับชาติมาเกิด ถึงได้วิ่งเร็วขนาดนี้!!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!