Skip to content

A World Worth Protecting 101

บทที่ 101 น้องชายที่รัก

ตั้งแต่เข้ามายังหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้รับ     สารขอความช่วยเหลือจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ โดยแผ่นหยกนี้มีระยะทางจำกัดเพื่อใช้ติดต่อฉุกเฉิน หากอยู่ห่างเกินไป จะถูกสนามแม่เหล็กรบกวน จนไม่สามารถส่งสัญญาณถึงกันได้สำเร็จ

ไม่เพียงแค่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่สำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่งเองก็มีเช่นกัน แผ่นหยกนี้มีประโยชน์อย่างยิ่ง แม้ว่าอาจจะมีข้อผิดพลาดบ้างก็ตาม         หวังเป่าเล่อก้มมองดูแผ่นหยกของตนอย่างตั้งใจ เมื่อพลังวิญญาณพรั่งพรูสู่แผ่นหยกจนระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง

ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคอยช่วยเหลือสหายร่วมสำนักศึกษาที่พบเจอระหว่างทางอย่างเต็มความสามารถ ด้วยตำแหน่งหัวหน้าศิษย์สามโถงของสาขาอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ไม่อาจเมินเฉยต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้

และเป็นเพราะนิสัยโดยธรรมชาติของตัวเขาเองเช่นกัน รวมถึงการอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างเครือข่ายด้วยการมีเพื่อนฝูงมากขึ้น

การช่วยเหลือคนอื่นนั้นเป็นหนทางสร้างความประทับใจอันรวดเร็ว เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ ดังนั้นนอกจากจะรู้สึกดีกับตัวเองแล้ว การช่วยเหลือผู้อื่นยังสอดคล้องกับทฤษฎีที่เคยศึกษาจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงอีกด้วย หวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใกล้ตำแหน่งในแผ่นหยกขึ้นเรื่อยๆ

ตรงหน้าเป็นหุบเขาซึ่งใกล้กับพิกัดในแผ่นหยก จั่วอี้ฟานอยู่ตรงนั้น ร่างของเขากำลังลอยละลิ่วดั่งว่าวสายขาดอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง

ชายหนุ่มกระอักเลือด และทำแผ่นหยกสื่อสารฉุกเฉินกลิ้งหลุดมือไป

จั่วอี้ฟานชันเข่า พยายามยันร่างตัวเองด้วยแขน เขาบาดเจ็บจากการถูกโจมตีจนสะบักสะบอม ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลหลายตำแหน่ง ดวงตานั้นก่ำแดง          ก่อนคำรามร้องอย่างคลุ้มคลั่ง พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายซึ่งมีหน้าตาคล้ายกัน ด้วยสายตาอาฆาตเคียดแค้น

“จั่วอี้เซียน!”

ชายหนุ่มรูปหล่อในชุดขาวอีกคนคือ จั่วอี้เซียน เขาลอยหน้าลอยตา ชักขากลับพลางแสยะยิ้ม หลังจากเตะจั่วอี้ฟานอย่างแรงแล้ว

“โกรธหรือ เจ้าน้องชาย”

เมื่อจั่วอี้เซียนพูดจบ เหล่าศิษย์หกคนด้านหลัง ซึ่งสวมชุดสีขาวจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวเช่นกันกับเขา ต่างส่งเสียงหัวเราะชอบใจ ทุกคนมีพลังต่อสู้ระดับสูง     ทั้งยังครอบครองรากฐานวิญญาณหกนิ้วกันเป็นส่วนใหญ่ พวกเขากำลังล้อม     รากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วซึ่งบาดเจ็บอยู่อย่างสบายใจและโอหัง

โดยรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วตนนั้น กลายร่างเป็นจั่วอี้ฟานเรียบร้อยแล้ว!

เหตุการณ์ดูเหมือนว่าจั่วอี้เซียนนำเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาของตน มาขัดขวางจั่วอี้ฟานไม่ให้ดูดกลืนลมหายใจเที่ยงแท้เจ็ดนิ้วสำเร็จ เพื่อจะได้ยึดรากฐานวิญญาณตนนี้ไว้เอง!

“ท่านหัวหน้าศิษย์อี้เซียน นี่คือน้องชายจอมอวดดี ที่ท่านเคยพูดถึงอยู่บ่อยๆ หรือขอรับ”

“ผู้ที่สอบเข้าสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวไม่ได้ เลยต้องไปสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แทนน่ะหรือ…จะเก่งกล้าสามารถสักแค่ไหนกันเชียว”

กลุ่มสมุนรอบๆ รากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วของจั่วอี้ฟานพากันหัวเราะเยาะ

“เรื่องนี้ทำข้าอับอายนัก เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง ข้าขอเลี้ยงฉลองทุกคน ในโอกาสที่ได้เป็นระดับมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวก็แล้วกัน” จั่วอี้เซียน  ยิ้ม ราวกับเป็นสายลมฤดูใบไม้ผลิอันอ่อนโยน

บรรดาศิษย์อีกหกคนจากสำนักศึกษาเดียวกันหัวเราะลั่น พวกเขาชื่นชอบเถรตรงของชายผู้นี้ และรู้สึกยินดีที่สนิทสนมกับหัวหน้าศิษย์ผู้เก่งกาจเหนือใครๆ ใน        สำนักศึกษาเต๋ากวางขาว

จั่วอี้ฟานผู้น่าสงสารกระอักเลือด โกรธแค้นอย่างมากเมื่อเห็นว่าไม่อาจทำอะไรได้เลย ต่อให้รากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วของตนเองจะอยู่ตรงหน้า แต่ช่างไกลเกินจนน่าสมเพช

แม้ว่าตัวเองนั้น คือ หัวหน้าศิษย์ของสาขาการยุทธ์ และตรากตรำเรียนรู้       อย่างหนักในช่วงปีที่ผ่านมา แต่จั่วอี้ฟานไม่อาจเอาชนะพี่ชายผู้เก่งกาจกว่าตัวเองในทุกด้านตั้งแต่เด็กๆ ได้เลยสักครั้ง

ยิ่งต้องมาประจัญหน้ากับสมุนอีกหกคน โดยพวกเขาไม่จำเป็นต้องลงมืออะไร นอกจากยืนรุมล้อมรากฐานวิญญาณไว้ นั่นยิ่งทำให้รู้สึกหมดหวัง

“น้องชายที่รักเอ๋ย เจ้าเป็นเพียงลูกนอกสมรส แต่กลับได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่าท่านพ่อของเรามีน้ำใจเพียงใด ลูกเมียน้อย    อย่างเจ้า ครอบครองรากฐานวิญญาณถึงหกนิ้ว ก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว” จั่วอี้เซียนยิ้ม ขณะย่อตัวไปคุย พร้อมกับตบหน้าอีกฝ่ายเบาๆ

“อย่าสะเออะหวังสูง มาดูดกลืนรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วเลย”

เส้นเลือดสีเขียวบนใบหน้าของจั่วอี้ฟานกระตุกเมื่อถูกดูหมิ่น ดวงตาแดงก่ำ         ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดหลังมือแทบระเบิด

ขณะที่เขาอยากจะตอบโต้ ก็โดนผู้เป็นพี่มองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนเขวี้ยงหมัดเข้ากลางอกอย่างจังเสียก่อน จนจั่วอี้ฟานกระอักเลือดอีกครั้ง พละกำลังที่เหลืออยู่น้อยนิดนั้น หายไปหมดสิ้น

“ทำไมเจ้าถึงดื้อด้านแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้หรือว่าข้าอยากจะควักลูกตาเจ้าเพียงใด สายตาของเจ้า มันช่างน่าหงุดหงิดใจนัก” จั่วอี้เซียนพูดเสียงเบา        ขณะมองไปยังน้องชายของตนด้วยรอยยิ้ม

“เจ้า!” จั่วอี้ฟานหอบจากอาการบาดเจ็บทั่วร่าง แต่ทำอะไรไม่ได้ คำพูดของอีกฝ่ายก้องซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว แม้ว่าสหายร่วมสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่างรู้ว่าเบื้องหลังครอบครัวของเขานั้นลึกลับ และแม้ว่าจะมีชื่อเสียงในด้านการต่อสู้เป็นเลิศ แต่ในความเป็นจริง ช่วงวัยเด็กนั้นกลับระทมทุกข์ยิ่งนัก เพราะเขาคือลูกชาย        นอกสมรส โดยผู้เป็นแม่เสียชีวิตเมื่อนานมาแล้ว ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นก็เย็นชาและ     ไม่ใส่ใจใยดี

วัยเด็กของชายผู้นี้จึงไร้ชีวิตชีวาและโดดเดี่ยว ทั้งยังถูกพี่ชายทรมานและกดดันมาตลอดหลายปี จนเคยวาดฝันว่า ถ้าหากเข้าเรียนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์        จะออกห่างจากวงศ์ตระกูลของตน และกำหนดชะตาชีวิตใหม่เองได้ ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่า แม้แต่การเสาะหารากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วครั้งนี้ จะถูกพี่ชายตามมากดขี่       ราวีอีก

“อย่าเพิ่งท้อสิ ในฐานะพี่ชายที่ดี ข้าวางแผนอนาคตให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว”      จั่วอี้ฟางตบหน้าน้องชายอีกครั้ง ด้วยดวงตาอันตื่นเต้น

“ขั้นต่อจากนี้ ข้าจะยึดโอสถเยียวยาของเจ้า เพื่อไม่ให้รักษาตัวจากอาการบาดเจ็บได้ แล้วจะขังเจ้าในที่ที่ไร้ช่องทางหลบหนี แต่ยังไม่ตายหรอก ไม่ต้องกังวลไป เจ้ายังคงมีสติอยู่ได้อีกสองสามวัน โดยบาดแผลจะรุนแรงขึ้นก็เท่านั้น

“หนทางเดียวในการอยู่รอด คือต้องบรรลุการฝึกตนโบราณด้วยระดับเพียงหกนิ้ว เพื่อเข้าสู่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจะสามารถใช้พลังนำพาตัวเองซึ่งบาดเจ็บเจียนตาย ออกจากมิติเวทจนได้นั่นเอง

“เป็นอย่างไรเล่า พี่ชายคนนี้ปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีเลยจริงไหม หือ”

หูของจั่วอี้ฟานรับฟังคำพูดเสียดแทงอันร้ายกาจเหล่านั้น นัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยเลือดจนแทบบ้า แต่ไม่อาจโต้กลับ ทำได้เพียงมองแผ่นหยกที่กลิ้งออกไป              ด้วยความหวังหยดสุดท้าย

“ไม่ต้องสนใจมันหรอกน่า คิดว่าจะมีใครเข้ามาช่วยรึไง” จั่วอี้เซียนหัวเราะ    พลางโยนตัวอีกฝ่ายไปยังแผ่นหยกนั้น ก่อนจะเหยียบมันจนแตกเป็นชิ้นๆ ราวกับ    ดับประกายความหวังสุดท้ายลงจนดับสิ้น ก่อนจะจากไป

จั่วอี้ฟานสูญเสียพละกำลังทั้งหมด เมื่อเห็นแผ่นหยกนั้นแตกกระจาย พลางข่มตาอย่างสิ้นหวัง

แต่แล้วจังหวะนั้นเอง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนวิ่งมาจากระยะไกลๆ พร้อมกำลังตะโกนร้องอย่างโกรธแค้น โดยน้ำเสียงอันดังลั่นราวกับฟ้าผ่านั้นช่างฟังดูคุ้นหูอย่างยิ่ง

“จั่วอี้เซียน กล้าดีอย่างไรกัน”

หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงดัง พร้อมกับปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พุ่งตรงเข้าไปต่อยหน้าจั่วอี้เซียนทันที

สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จั่วอี้เซียนและสมุนอีกหกคนไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อหมัดของชายร่างอ้วนเข้ามาปะทะ จนเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วทิศทาง

ท่าทีของชายหน้าหล่อชุดขาวเปลี่ยนไป แล้วรีบคว้าตัวจั่วอี้ฟานขึ้นมาเป็นโล่กำบัง วงแหวนฉายแสงวับวาว ก่อนปรากฏเกราะป้องกันขึ้นเพื่อรับมือกับหมัดของชายผู้นี้

เสียงปะทะดังสนั่น จั่วอี้เซียนสะเทือนไปทั้งตัว ราวกับโดนวิ่งชนด้วยรถไฟความเร็วสูง

ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม จนจับตัวจั่วอี้ฟานไม่อยู่ และถูกซัดลอยไปกลางอากาศ เกราะป้องกันเวททลายออกทีละชิ้นจนแหลกละเอียด ร่างของจั่วอี้เซียนกระเด็นไปหลายร้อยฟุต จนมีเลือดออกตรงมุมปาก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ     เมื่อเห็นว่าข้างๆ จั่วอี้ฟานนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น…หวังเป่าเล่อ!

“หวังเป่าเล่อ!” จั่วอี้เซียนหายใจหอบถี่ ส่วนเหล่าศิษย์อีกหกคนนั้นแทบหยุดหายใจด้วยความตื่นตระหนก ก่อนจะผงะถอยหลังเมื่อเห็นชายตรงหน้า

ชายอ้วนนั้นว่องไวยิ่งนัก และแรงต่อยนั้นทรงพลังเกินกว่าขั้นบำรุงชีพจรจะหยั่งถึง ทุกคนต่างทึ่งในพลังหมัดนี้

“เขาฝึกตนอยู่ระดับใดกันนะ”

“เจ้านี่พังทลายเกราะป้องกันวัตถุเวทของหัวหน้าศิษย์อี้เซียนอย่างง่ายดาย!”

ขณะที่ทุกคนกำลังตกอยู่อาการตื่นตะลึง จั่วอี้ฟานลืมตาขึ้นมองหวังเป่าเล่อ   อย่างงุนงง แม้ว่าตนจะขอความช่วยเหลือก็จริง แต่ไม่คาดคิดว่าหวังเป่าเล่อ จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย เพราะไม่ถูกชะตากันมาก่อน

แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบมุ่งร้ายต่อกัน แต่จั่วอี้ฟานกลับสัมผัสได้     ว่าชายอ้วนผู้นี้เต็มใจเข้ามาช่วยเหลือ ความรู้สึกมากมายรวมถึงความรู้สึกผิด        ผสมปนเปในจิตใจ

หวังเป่าเล่อยืนหันหลังให้ จึงไม่สังเกตเห็นความสับสนทางอารมณ์ของชายผู้นี้   อีกทั้งกำลังมองจั่วอี้เซียนอย่างไม่เป็นมิตรด้วยแววตาแห่งความโกรธแค้น

แม้ว่าเขาจะมาถึงช้าไป แต่พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ และต่อให้ไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำให้สองพี่น้องเป็นแบบนี้ แต่ก็พอรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากการกระทำ ว่าจั่วอี้เซียนนั้นช่างชั่วร้ายเลวทรามนัก

“ข้าคงไม่ติดใจอะไรนัก หากเจ้าแค่ขโมยรากฐานวิญญาณจากคนอื่นไป เพราะข้าเองก็เคยทำ แต่นี่เจ้าไม่เพียงแต่ฉวยโอกาสจากคนอื่น แต่ยังกล้าดี บังอาจมาดับฝันคนอื่นเช่นนี้ มัน…มากเกินไปหน่อยแล้ว!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!