Skip to content

A World Worth Protecting 114

บทที่ 114 โจมตี!

แสงสีฟ้าส่องสว่างออกมาจากหอกยาวเล่มนั้น ฉายสาดรอบด้านให้สว่างและ   โอบล้อมหอกเอาไว้!

“นี่มันสมบัติแบบไหนกันนะ” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเฮือก หัวใจตุ้มต่อม       ในฐานะหัวหน้าศิษย์ของสาขาวิชาอาวุธเวท ตัวเขาไวต่อสมบัติเวทนัก และในตอนนี้ เมื่อเขามองยังหอกยาว ชื่อในนามตำนานผุดขึ้นมาในใจ

“อาวุธเทพอย่างนั้นรึ!”

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นหัวหน้าศิษย์ของสาขาวิชาอาวุธเวท ตัวเขาก็ยังรู้          เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับอาวุธเทพ เขาทราบเพียงว่าอาวุธเทพเป็นวัตถุในตำนาน!

หอกยาวตรงนี้ชวนให้เขาเกิดความรู้สึกว่านี่เป็นอาวุธเทพในตำนาน!

แต่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นอาวุธเทพมาก่อน เขาจึงบอกไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็รู้สึกว่าถึงหอกยาวนี้จะไม่ใช่อาวุธเทพ ก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าไม่แพ้อาวุธเทพ!

ขณะเดียวกัน มีร่างสี่ร่างสวมอาภรณ์ยาวจากสมัยโบราณ เห็นชัดว่าไม่ได้มาจากยุคสหพันธรัฐ นั่งล้อมหอกยาวเล่มนั้นอยู่ ทั้งสี่นั่งขัดสมาธิในอากาศเหนือ             แท่นห้าเหลี่ยม กำลังทำสมาธิอยู่รอบหอกยาว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสี่ตายหมดแล้ว ทว่าศพของพวกเขายังคงลอยคว้างอยู่และปล่อยแรงกดดันรุนแรงออกมา หวังเป่าเล่อมองเพียงแวบเดียว ความเจ็บปวดก็ทิ่มแทงดวงตาจนเขารู้สึกเจ็บปวดทั้งกายใจ       แต่เดิมแล้วควรจะมีห้าศพนั่งขัดสมาธิรายล้อมหอกยาวอิงแท่นห้าเหลี่ยม แต่ศพที่ห้ากลับพบว่านอนแผ่อยู่นอกวงแหวนปราณตรงบริเวณหัวมุมอย่างไม่ทราบสาเหตุ!

ใครเห็นย่อมบอกได้ทันทีว่าศพที่ห้าเป็นร่างของหญิงสาวผู้งดงาม นางหมดลมหายใจไปแล้ว แต่ในสภาพนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น นางดูเหมือนแค่กำลังหลับใหลอยู่ ถ้าไม่มีกลิ่นเน่าเหม็นของความตายโชยออกมาจากร่าง คงเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ว่านางยังมีชีวิตอยู่

ตรงหน้านางคือ เจ้าเยี่ยเหมิง สีหน้าของเขาซีดเผือด ท่าทางโซซัดโซเซ ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง มีชายหนุ่มอีกคนในเสื้อคลุมสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ทั้งสองโดนศิษย์สำนักศึกษาเต๋าอีกสามแห่งล้อมเอาไว้อยู่

คนเหล่านั้นคือ หลี่อี้ อู๋เฟิน และชายหนุ่มหน้าดำ แรงกดดันที่ร่างพวกเขาปล่อยออกมาบอกชัดเจนว่าพวกเขาบรรลุระดับปราณด้วยรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว

เฉียนเมิ่ง หลี่ฟง และคนอื่นที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นก่อนหน้านี้ไม่อยู่ด้วย             แต่นอกจากสามคนนั้นแล้ว คนที่เหลือเองไม่ใช่พวกกระจอกเช่นกัน แม้จะไม่ใช่     ยอดฝีมือระดับลมหายใจเที่ยงแท้มีรากฐานวิญญาณแปดนิ้ว แต่อย่างน้อยก็บรรลุขั้นด้วยรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้วกัน

ดูเหมือนมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจาก  หวังเป่าเล่อบุกเข้ามาสำรวจโดยรอบใช้เวลาเพียงไม่นาน ภาพตรงหน้าเขาคือ         คนกลุ่มหนึ่งที่ยืนตกใจค้างเกร็งด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น ทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อมาถึง

“หวังเป่าเล่อ!”

“นั่นมันหวังเป่าเล่อ!”

“บ้าที่สุด! ทำไมหมอนั่นมาอยู่ที่นี่ได้”

ความโหดเหี้ยมของหวังเป่าเล่อขจรขจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านลมปราณวิญญาณ     ไม่ว่าจะเห็นด้วยตาตัวเองหรือเพียงได้ยินคำล่ำลือมา ทุกคนก็รู้ดีว่าในกลุ่มของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ คนที่ทรงพลังที่สุดนอกจากเจ้าเยี่ยเหมิงก็คือ หวังเป่าเล่อ!

หากเป็นเรื่องชื่อเสียงและความน่าหมั่นไส้ หวังเป่าเล่อแซงหน้าคนอื่นขึ้นเป็นอันดับต้นในสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าเลยทีเดียว!

เมื่อเทียบกับสีหน้าตกตะลึงคิ้วขมวดของคนอื่นๆ แล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงและชายหนุ่มจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทำหน้าประหลาดใจพอได้เห็นหวังเป่าเล่อ

“หวังเป่าเล่อ ไม่มีใครเข้าใกล้วงแหวนปราณได้หรอก ดังนั้นจะเอาอาวุธเทพนั่นไปยิ่งเป็นไปไม่ได้ ซากศพตรงนั้นเป็นผลงานความเหนื่อยยากของเจ้าเยี่ยเหมิง         มันต้องเป็นของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น!” ชายหนุ่มจากสำนักศึกษา          เต๋าศักดิ์สิทธิ์คนนั้นรีบร้องบอก

ต่อให้ชายหนุ่มคนนั้นไม่บอก หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ดวงตาเขาทอแสงวาบ ตัวเขากลั้นความรู้สึกตื่นตกใจที่มีต่อหอกยาวสีฟ้าไว้แล้วพุ่งไปหา       กลุ่มคนเหล่านั้น

ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าแห่งอื่นชะงักไป ดวงตาฉายแววตกใจให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อู๋เฟินผู้รีบเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น

“เวลาใกล้หมดแล้ว อย่าคิดให้มากความดีกว่า ทุกคน ขยับ! อาวุธนั่นจะเป็นของใคร   ก็ตามที่คว้าไปได้!”

ขณะที่เขากล่าว หว่างคิ้วอู๋เฟินแยกออกจากกัน ปราณเลือดเริ่มแผ่ตัวไปในอากาศ ตั้งแต่บรรลุปราณระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ปราณเลือดของเขามีเสี้ยวของปราณวิญญาณ และกำลังพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิงดั่งพลังเวท

นัยน์ตาของหลี่อี้เองก็ทอประกาย นางขยับอย่างว่องไว ไฟลุกท่วมร่าง อากัปกิริยาของนางช่างงามสง่า คนอื่นที่เหลือไม่ทรงพลังเท่าสองคนนี้ แต่พวกเขาก็ยังถือเป็นยอดฝีมือระดับลมหายใจเที่ยงแท้รากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้ว สมบัติเวทที่    พวกเขาใช้ล้วนทรงพลังขึ้นมากกว่าตอนอยู่ในระดับการฝึกตนโบราณ พวกเขาขยับไปพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิงและคนหนุ่มสาวที่เหลือจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

วินาทีที่พวกเขาขยับเข้ามา จู่ๆ ชายหนุ่มหน้าดำจากสำนักศึกษากวางขาวสาขาย่อย    ก็หันศีรษะ กำเข็มทิศไว้ในมือ เขาคำรามเสียงต่ำไปทางหวังเป่าเล่อ

“ผนึกกายา!”

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปราณวิญญาณรอบด้านพุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อ  กดเขาลง จังหวะเดียวกัน ชายร่างกำยำที่ถูกหวังเป่าเล่อซัดออกไปตอนแรก         พลันกู่ร้องขึ้นมาพร้อมหยิบกระบี่ด้ามใหญ่ปรี่ตรงเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ

ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดไปกันใหญ่

ก่อนหน้านี้ ทุกคนสู้เพื่อตัวเองเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างสี่ยอดสำนักเต๋า และยังมีผู้คนในบริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก อีกทั้งพวกเขายังรู้ด้วยว่าเจ้าเยี่ยเหมิง  กำลังจะโดนขับออกจากถ้ำในไม่ช้า จึงยังไม่มีใครลงไม้ลงมืออะไร เพราะจะรอให้เจ้าเยี่ยเหมิงออกไปจากตรงนั้นก่อน

แต่ครั้นหวังเป่าเล่อปรากฏ การรอจึงไม่อยู่ในตัวเลือกอีกต่อไป พวกเขารีบงัดไพ่ตายทั้งหมดที่มีมาใช้

เสียงระเบิดดังลั่น เลือดสดๆ กระอักออกทางมุมปากของเจ้าเยี่ยเหมิง นางใช้ผนึกมือปลดปล่อยผนึกวงแหวนปราณ เพื่อป้องกันคนอื่น ชายหนุ่มจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ข้างกายนางเป็นฝ่ายกระอักเลือดแทน เขาอยากตอบโต้แต่สนามแม่เหล็กโผล่มาหุ้มร่างเขาไว้ในจังหวะสำคัญพอดิบพอดี เขาร้องอย่างฉุนเฉียวหมายจะนำซากศพไปด้วย แต่เมื่อมีคนอื่นอยู่เช่นนี้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

ทันใดนั้น สมบัติเวทหลายชิ้นถูกโยนขึ้นไปในอากาศ บังคับให้ชายคนนั้นต้องยอมแพ้ สนามแม่เหล็กหอบร่างเขาออกไปข้างนอกอย่างไม่อาจขัดขืน

เมื่อได้เห็นภาพดังกล่าว แววตาคนอื่นเป็นประกาย พวกเขาพากันพุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิงอีกครั้งหนึ่ง

เจ้าเยี่ยเหมิงสับสนรวนเร นางอ่อนแรงอย่างยิ่งเพราะใช้พลังไปมากโขเพื่อนำซากศพออกมา จนตอนนี้แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไป ครั้นเห็นซากศพที่ตนได้มาอย่างยากลำบากกำลังจะโดนแย่งไปต่อหน้าต่อตา เจ้าเยี่ยเหมิงยิ่งเดือดดาลใหญ่    นางอยากจะขวางคนอื่นที่เหลือ แต่สนามแม่เหล็กพุ่งเข้าโอบล้อมร่างกายนางเสียแล้วในตอนนั้น

“ข้าเป็นต้องโดนคนอื่นแย่งผลประโยชน์ไปทุกครั้งเลยหรืออย่างไรกัน…”       เจ้าเยี่ยเหมิงถอนหายใจแผ่วเบาพร้อมกับที่ร่างของนางถูกสนามแม่เหล็กยกลอยขึ้นไปในอากาศ แต่ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อที่ยืนขวางปากทางเข้าอยู่นั้นก็คำรามลั่นขึ้นมา

เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าแล้วปล่อยหมัดสร้างพายุหมุน เมื่อทำลาย       วงแหวนปราณของชายหนุ่มหน้าดำสำเร็จ เขายกมือขวาขึ้น

“คิดจะหมาหมู่อย่างนั้นรึ เหอะ” หวังเป่าเล่อกล่าวพร้อมปล่อยหุ่นเชิดหลายตัวออกมายึดครองทั่วทั้งบริเวณ พวกมันพุ่งเข้าใส่คนอื่นรอบตัว กระบี่เหาะเหินโผล่ขึ้นมาต้อนชายร่างกำยำให้ถอยหลังไป ก่อนพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มหน้าดำ         ขัดขวางไม่ให้เขาปล่อยวงแหวนปราณออกมาได้อีก

หวังเป่าเล่อกระแทกเท้าขวาลงกับพื้นอย่างว่องไว ร่างของเขาทะยานไปข้างหน้าดั่งลูกธนู พื้นสั่นสะเทือนรุนแรง คลื่นกระแทกไปในอากาศประสานรวมกับ        ปราณวิญญาณแล้วแผ่กระจายอย่างเกรี้ยวกราดไปทั่วสารทิศ บังเกิดคลื่นที่มองไม่เห็นซัดตรงเข้าใส่คนที่กำลังดาหน้าเข้าหาเจ้าเยี่ยเหมิง หยุดพวกเขาไว้ชะงัก

หวังเป่าเล่อฉวยโอกาสตอนทุกคนหยุดนิ่ง และตอนที่คนพวกนั้นกำลังจะตอบโต้ หวังเป่าเล่อก็ไปถึงพวกเขาพร้อมใส่แรงต่อยอากาศตรงหน้าคนพวกนั้นก่อน      กระแสวิญญาณภายในร่างคอยควบคุมปราณวิญญาณจากภายใน ขณะที่เขาเรียกใช้งานเมล็ดดูดกลืนและถุงมือพร้อมกันเพื่อควบคุมปราณวิญญาณจากภายนอก ขั้นตอนอันซับซ้อนต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อนี้สร้างพายุหมุนปราณวิญญาณขึ้นมาเมื่อเขา     ชกออกไป

เสียงระเบิดดังก้องบริเวณ แผ่ขยายไปในวงกว้าง พายุหมุนปราณวิญญาณเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกคนเริ่มตัวสั่นกันอย่างหนักและจำต้องล่าถอยไป ตอนนั้นเอง           หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อปราดเข้ากอดกระหวัดทุกคนที่พวกมันเห็น

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีติดขัด ทุกขั้นตอนไหลลื่นดั่งธารน้ำ             ทุกจุดซับซ้อนผ่านการคิดวางมาอย่างดี และเมื่อเห็นว่าทุกคนโดนขวางทางไว้หมด หวังเป่าเล่อเข้าไปหาซากศพ ในขณะที่หลี่อี้ยิ่งกระวนกระวาย

“หวังเป่าเล่อ!”

ทุกคนกู่ร้องเกรี้ยวกราด ขัดขืนกันสุดกำลัง แต่ก็ยังสายเกินไป หวังเป่าเล่อนั้นรวดเร็ว เข้าไปถึงตัวซากศพในชั่วเสี้ยววินาที เขายกขาขึ้นเตะซากศพลอยขึ้นไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง ซึ่งกำลังโดนสนามแม่เหล็กดึงตัวไปยังทางออก

เจ้าเยี่ยเหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจระคนยินดี นางมองสบตากับหวังเป่าเล่อแล้วใช้ผนึกมืออีกครั้ง ก่อนชี้นิ้วปล่อยพลังที่เหลือสร้างผนึกวงแหวนปราณรอบซากศพ หลังจากจับไว้ได้มั่น นางทะยานไปกับพลังของสนามแม่เหล็ก ตรงไปยังทางออกและหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเสียงกู่ร้องจากไกลๆ ซึ่งแผ่วเบาลงไปทุกขณะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!