บทที่ 1163 ลองอีกทีสิ
ศิษย์พี่ต้องการให้เขานำสิ่งใดออกมาจากในแม่น้ำ หวังเป่าเล่อยังไม่ได้คิด ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ในสำนักแห่งความมืด แม้ที่นี่จะมีข้อห้ามมากมาย แต่ความรู้สึกคุ้นเคยยังทำให้ทุกอย่างตรงหน้าเหมือนกับที่เคยปรากฏในนิมิตมืดไม่มีผิด
เขาเดินผ่านหอใหญ่แต่ละจุดไป เดินผ่านลำธารแต่ละสาย เดินผ่านหน้าผา แต่ละจุดและจ้องมองเงาแห่งการกลับชาติมาเกิดที่ก่อตัวขึ้นระหว่างฟ้าดินไกลๆ ดื่มด่ำกับกระแสเต๋าที่แผ่ขยายไปทั่วในที่แห่งนี้ โดยไม่รู้ตัวหวังเป่าเล่อก็ราวกับมองเห็นร่างอดีตอย่างเลือนราง
ร่างพวกนั้นล้วนเป็นสหายสำนักเดียวกันในนิมิตมืดของเขา แม้ทุกคนจะสวมชุดคลุมสำนักแห่งความมืดและดูเคร่งขรึม ทว่าส่วนใหญ่กลับหัวเราะชอบใจ บ้างออกไปใช้หัตถ์สื่อวิญญาณดึงดูดวิญญาณ บ้างกลับมาส่งวิญญาณเข้ากงล้อ
ขณะทุกอย่างดำเนินซ้ำเป็นวัฏจักรก็มีสหายร่วมสำนักจำนวนมากยิ่งกว่าที่นอกจากฝึกตนแล้วยังรักษาการไหลเวียนของเต๋าสวรรค์ ตรวจสอบการตายของวิญญาณในอดีตชาติและร่างใบหน้าซากศพสำหรับผู้ที่กำลังจะกลับมาเกิดใหม่
“สำนักแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อพึมพำ โดยไม่รู้ตัวเขาก็มาถึงหน้าผาหนึ่ง เมื่อมองไปยังที่ไกลๆ หวังเป่าเล่อราวกับมองเห็นอาจารย์ มองเห็นศิษย์พี่ในตอนนั้นกำลังหันมาทางเขาและพูดถึงความลับเล็กๆ เกี่ยวกับเนื้อคู่แห่งเต๋าในอนาคต
“แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่กลับฝังลึกในจิตวิญญาณ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ยามที่หันหน้ากลับมาก็ไม่พบใครอยู่รอบตัวอีกแล้ว หรือต่อให้มีก็เป็นเพียงศิษย์ แปลกหน้าที่กำลังมองเขาอย่างระแวดระวังจากที่ไกลๆ มองเขาเป็นศัตรู
เป็นศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าฐานะบุตรแห่งความมืดที่พวกเขากำลังสนใจกันอยู่นั้นไม่มีค่าอะไรสำหรับหวังเป่าเล่อเลย
“หากไม่มีอาจารย์ ไม่มีศิษย์พี่ สำนักแห่งความมืด…จะมีผลอะไรต่อข้า” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเบาๆ ในใจเขามีความคิดบางอย่างแล้ว ทว่าความคิดนี้พัวพันกับอารมณ์ ครู่หนึ่งจึงปล่อยวางและถอนหายใจในที่สุด ก่อนจะมองลึกเข้าไปใน สำนักแห่งความมืด…
ที่นั่นมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องเขาตั้งแต่เริ่มเข้ามาในดวงดาวแห่งความมืด กระทั่งเหยียบเข้ามาในสำนักแห่งความมืด
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นี้เป็นใคร แต่เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของเปลวไฟสีดำอันเข้มข้นบนร่างของอีกฝ่าย ความผันผวนนี้…มาจากปริมาณและคุณภาพที่เหนือกว่าเขามาก
สิ่งเดียวที่ขาดไปอาจเป็น…การยอมรับ
ไม่ใช่การยอมรับจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ เพราะหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการยอมรับจากศิษย์พี่ที่แฝงอยู่ในความผันผวนของเปลวไฟสีดำนั้น สิ่งที่ขาดไปคือการยอมรับจากอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด และการยอมรับจากอดีต ผู้อาวุโสเก้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของหวังเป่าเล่อนั่นเอง
“ดูเหมือนจะอายุไม่เยอะ…หรือว่าจะเป็นบุตรแห่งความมืดที่ทุกคนเลือกก่อนที่ข้า จะปรากฏตัว” หวังเป่าเล่อถอนสายตา ในใจเริ่มเข้าใจบางอย่างและมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสำนักแห่งความมืด
จุดที่หวังเป่าเล่อไปนั้น…คือข้างวังบุตรแห่งความมืดที่เขาเคยอาศัยตอนอยู่ ในนิมิตมืดที่ซึ่งมีห้องข้างๆ ตั้งอยู่
ตอนนั้นเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่วังหลัก ทว่าในนิมิตมืด ตรงนั้น…เป็นที่อยู่ของศิษย์พี่ ส่วนตัวเขาอาศัยอยู่ที่ห้องข้าง ตอนนี้บนดวงดาวแห่งความมืดก็เช่นกัน หวังเป่าเล่อเดินทางไปถึงด้านนอกห้องข้างแล้ว
เคล็ดวิชาต้องห้ามทั้งหมดระหว่างทางถูกเขาจัดการเพียงแค่ผนึกมุทราไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่เพราะฐานการฝึกฝนของหวังเป่าเล่อถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแต่อย่างใด ความจริงคือ…ข้อห้ามเหล่านี้เหมือนกับในนิมิตมืดทุกประการ
บางทีอาจเป็นเพราะมันเหมือนกันทุกประการจึงทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยกับสำนักแห่งความมืดแห่งนี้
คุ้ยเคยกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และไม่คุ้นเคยที่…นิมิตอย่างไรก็เป็นเพียงนิมิต ศิษย์พี่…ดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นรวดเร็ว ทว่าในความเป็นจริง…บางทีนี่อาจกำลังค่อยๆ เดินตามแผนที่ศิษย์พี่วางไว้ทีละก้าว
“ผนึกเต๋าสวรรค์ ฟื้นสำนักแห่งความมืด” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาเดินเข้าไปในห้องข้าง มองดูการตกแต่งอันคุ้นตารอบด้าน ก่อนจะนั่งลงเงียบๆ แล้วหลับตา ไม่กล่าวอะไร
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่าน ไม่นานก็ล่วงเข้ามาเจ็ดวันแล้ว
ในเจ็ดวันนี้หวังเป่าเล่อไม่ออกมานอกห้องข้างเลย ไม่ออกมาพบผู้ฝึกตน สำนักแห่งความมืดคนใด แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับนิมิตมืดของตน หมกมุ่นอยู่กับ ความเข้าใจในศาสตร์มืด
ในทำนองเดียวกัน ไม่มีคนของสำนักแห่งความมืดคนใดมาพบเขา แม้ว่า… การมาถึงของเขาและเฉินชิงจื่อ หรือฐานะของเขาจะทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งหมดบนดวงดาวแห่งความมืดไม่มีใครไม่รู้จัก
จนกระทั่งสองสามวันถัดไป ห้องข้างที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็มีผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดมาเยือนเป็นคนแรก คนผู้นี้เป็นเด็กหนุ่ม สวมชุดคลุมแห่งความมืด ดูเย็นชาและ ไม่ธรรมดา อีกทั้งความผันผวนของศาสตร์มืดบนร่างยังรุนแรงมาก โดยเฉพาะ ตรงหว่างคิ้วนั้น…มีตราประทับเปลวไฟสีดำครึ่งหนึ่ง!
ตราประทับนี้บ่งบอกว่าคนผู้นี้ถูกกำหนดให้เป็นกึ่งบุตรแห่งความมืด ตามกฎสำนักแห่งความมืด บุตรแห่งความมืดแต่ละรุ่นจะมีกึ่งบุตรแห่งความมืดหลายคน
พวกเขากับบุตรแห่งความมืดมีความสัมพันธ์แบบอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ก็มี การแข่งขันกัน เพราะสำนักแห่งความมืดมีผู้อาวุโสชั้นสูงเก้าคนซึ่งแบ่งเป็น เก้าสายเลือด ทุกสายเลือดล้วนมีบุตรแห่งความมืดของตน บุตรแห่งความมืดทั้งเก้าต้องแข่งขันกันเองเพื่อให้ได้การยอมรับจากเต๋าสวรรค์ในที่สุด และผู้ที่ถูกสลักไว้ บนแผ่นจารึกแห่งความมืดก็จะกลายเป็น…เจ้าสำนักแห่งความมืดคนต่อไป
เพราะเหตุนี้การมาถึงของหวังเป่าเล่อจึงถูกผู้คนที่นี่ปฏิเสธ สำหรับพวกเขา หวังเป่าเล่อเป็นคนนอกและไม่ได้มาจากตระกูลแห่งความมืดดั้งเดิม แต่กลับถูกเลือกให้เป็นบุตรแห่งความมืด นั่นทำให้หลังจากสำนักฟื้นคืนอำนาจและสายเลือดทั้งเก้าที่หลงเหลืออยู่ได้รับการฝึกฝนแล้ว บุตรแห่งความมืดแต่ละคนจึงไม่ยินดีอย่างยิ่ง
ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยกับเฉินชิงจื่อ ถึงอย่างไรเฉินชิงจื่อก็มีฐานะสูงส่ง เขากำลังทำหน้าที่ในนามของเจ้าสำนักแห่งความมืด อีกทั้งยังฟื้นฟูสำนักแห่งความมืดที่ล่มสลายให้กลับคืนมาเองกับมือ
และตอนนี้เฉินชิงจื่อยังผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์อีก ทำให้เขาสูงส่งหาใดเทียบเทียม เช่นนั้นแล้ว…พวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยต่อเฉินชิงจื่อ เวลาเดียวกันไม่พอใจ หวังเป่าเล่อ และคอยยุยงคนอื่นๆ ไปด้วย
อย่างเช่นตอนนี้ เด็กหนุ่มที่มาเยือน ยืนอยู่ด้านนอกห้องข้างด้วยสายตาเย็นชา ครู่ใหญ่แล้ว ตอนนั้นเองเขาก็เอ่ยขึ้น
“ไม่พบผู้ฝึกตนจากโลกที่มีชีวิตมานาน ในเมื่อสหายมาจากโลกที่มีชีวิต เช่นนั้น ก็อยากให้ลองประมือกับข้าสักครั้ง ให้ข้าดูหน่อยว่าคนนอกทุกวันนี้พลังต่อสู้เป็น เช่นไร!”
หวังเป่าเล่อนั่งสมาธิ สีหน้าปกติ เขาลืมตาขึ้น ดวงตาราวกับมองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น ที่อยู่ข้างนอก คนผู้นี้ฐานการฝึกฝนไม่ธรรมดา อยู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร พลังปราณมั่นคง หากดูภายนอกแม้จะไม่ถือเป็นกองกำลังลำดับที่หนึ่ง แต่ก็จัดเป็นลำดับต้นๆ ของกองกำลังรองได้
“ไม่สน” หวังเป่าเล่อเอ่ยตอบ และหลับตาลงอีกครั้ง
“หืม?” ดวงตาเด็กหนุ่มด้านนอกฉายประกายแสงดุร้ายเบาบาง เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ไม่สนหรือไม่กล้ากันแน่ นิสัยเช่นนี้เจ้าคงไม่คู่ควรจะเป็นบุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืดในรุ่นนี้หรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะลองดูสักหน่อยว่า เจ้ามีดีอะไร” เด็กหนุ่มยิ้มหยัน ก่อนจะก้าวเข้ามายังประตูห้องข้าง เมื่อใกล้จะถึงประตูก็ยกมือขวาขึ้นโบกราวกับจะผลักประตูออก ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากด้านใน
“เจ้าใช้ส่วนไหนผลักประตูของข้า ข้าจะหักส่วนนั้นออก”
ประโยคนี้ไม่มีอะไรรุนแรง แต่เมื่อมันลอยเข้าหูเด็กหนุ่ม เขาก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าอีกฝ่าย…ทำเช่นนั้นได้จริงๆ จึงชะงักฝีเท้าและเริ่มลังเล
ในตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้น ภายในความว่างเปล่าด้านหลัง จู่ๆ ก็มีจิตใต้สำนึก เจ็ดแปดดวงตกลงมา ทุกจิตใต้สำนึกแฝงไปด้วยความผันผวนของจักรพิภพทำให้ เด็กหนุ่มพลันฮึกเหิม มุมปากฉีกยิ้มเย้ยหยันอีกครั้งและโบกมือขวาแรงๆ ทันใดนั้นประตูห้องข้างก็ถูกผลักออกด้วยความแรง เผยให้เห็นหวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่ด้านใน
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลอบถอนใจเบาๆ เขาย่อมสัมผัสได้ถึง จิตใต้สำนึกจักรพิภพเจ็ดแปดดวงนั้นเช่นกัน และยังสัมผัสได้ถึงอีกสี่ห้าคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกด้วย พลังปราณเปลวไฟสีดำบนร่างและความผันผวนของพวกเขามีพอๆ กับเด็กหนุ่มตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คือกึ่งบุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืดในปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้นยังมีสายตาอีกมากจากในสำนักที่จ้องมองมายังที่แห่งนี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในที่ไกลออกไปมีจิตใต้สำนึกที่แข็งแกร่งหาตัวจับยากและน่าจะระดับใกล้เคียงกับปรมาจารย์แห่งไฟอยู่สามดวง ทั้งหมดล้วนเป็นชายชราและกำลังเพ่งเล็งมาที่นี่ด้วย
อีกอย่าง…สายตาที่จ้องมองเขาหลังจากเพิ่งก้าวเข้ามาในสำนักแห่งความมืดคู่นั้นก็กำลังมองเขาอยู่ด้วยเช่นกัน กระแสความละโมบที่ไม่อาจควบคุมได้แผ่ออกมา ก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ในใจพลันรู้สึกไม่ชอบสำนักแห่งความมืดนี้มากขึ้นไปอีก
“ลองอีกที ลองอีกทีสิ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา