Skip to content

A World Worth Protecting 1188

บทที่ 1188 จากไป

อิสระ หมายถึงทางกายภาพ

เสรี หมายถึงทางจิตวิญญาณ

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสภาพของตนยามนี้ แม้ยังไม่ถึงระดับรู้แจ้งเต๋าของตนเอง แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว การมียิ้มประดับบนใบหน้านั้น เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีมาก และพอใจกับมันอย่างยิ่ง

ดังนั้นระหว่างที่กำลังคลี่ยิ้ม หวังเป่าเล่อเดินผ่านร่องรอยที่ถูกถมทับในแม่น้ำแห่งความมืดไปเรื่อยๆ ร่องรอยพวกนี้ล้วนมีลักษณะไม่เหมือนกัน และมาจากโลก อันแตกต่างที่หวังเป่าเล่อเคยได้สัมผัสในชาติก่อนๆ

ในบรรดานี้มีจำนวนไม่น้อยเป็นวิญญาณดุร้าย เหล่าวิญญาณพวกนี้แตกต่าง จากวิญญาณพวกที่ลอยไปลอยมาเหนือน่านน้ำ พวกมันโหดร้าย ทว่า ขณะเดียวกัน ก็มีความคิดเรียบง่ายประการหนึ่ง

พวกมันรู้จักถึงขั้นไปกินวิญญาณวายชนม์คนอื่น เพื่อนำมาเป็นอาหารบำรุงเพาะเลี้ยงร่างตัวเอง สิ่งนี้ก็เพื่อให้ร่างของพวกมันยังคงสภาพอยู่ได้ อีกทั้ง… ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว นอกจากเพื่อแสวงหาอาหาร พวกมันจะไม่ยอมจากตำแหน่งซากของตัวเองเด็ดขาด สำหรับพวกดวงวิญญาณที่ย่ำกรายยังอาณาเขตของ พวกมันนั้น พวกมันก็มีทีท่าว่าจะตอบโต้อย่างรุนแรง

โดยเฉพาะกับปราณบนร่างของหวังเป่าเล่อ ราวกับตัวปราณมีพลังล่อลวง เหล่าวิญญาณเหี้ยมโหดพวกนี้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินไปที่ใด ล้วนแต่กระตุ้นให้ เหล่าวิญญาณเหี้ยมพวกนี้เกิดความละโมบ อีกทั้งสัญชาตญาณโดยพื้นฐานที่พวกมัน มีอยู่ก็ทำให้พวกมันไร้ความนึกคิด เมื่อเป็นแบบนี้…ฉากฆ่าฟันแต่ละฉากจึงบังเกิดขึ้นตลอดระยะทางก้นบึ้งแม่น้ำ หวังเป่าเล่อใบหน้าฉายรอยยิ้มตลอดทาง ตัวเขายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร เสียงดังลั่นพวกนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น

ในตอนแรกพื้นที่แม่น้ำแห่งความมืดที่ถูกเขาเสาะพบนั้น ไม่ใช่ก้นแม่น้ำที่แท้จริง แต่ก็กล่าวได้ว่าเป็นส่วนที่ใกล้กับก้นบึ้ง ซากทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในชั้น เขตที่ลอยขึ้นเหนือพื้นผิวน้ำ ดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นช่วงเวลาของเผ่าเทพ มองเห็น รูปสลักแหว่งวิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน มองเห็นตำหนักหลวงขนาดยักษ์ที่พังพินาศ ส่วนภายในนั้นวิญญาณดุร้ายทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ของเผ่าเทพทั้งสิ้น

สิ่งนี้พาให้หวังเป่าเล่อหวนนึกถึง และในขณะเดียวกันเขาก็ยังก้าวเท้าไปไม่หยุด ยิ่งสังหารมากเท่าไร รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเสมือนจริงมากขึ้น ทุกดวงวิญญาณ ที่ตายดับ ได้มอบกลิ่นอายความตายให้แก่เขา ทำให้จิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อเข้าใกล้ระดับจักรพิภพมากขึ้นทุกที ทำให้พลังฝึกปรือของเขานั้นค่อยๆ เคลื่อนจากระดับดารานิรันดร์ตอนปลายเข้าใกล้ระดับสมบูรณ์

วิชาผนึกดาราของเขา เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเก่า แม้ว่าเงาร่างเทพวัว จะไม่ปรากฏ แต่อาศัยแค่ตาเนื้อมองดูก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาอย่างเข้มข้นจากร่าง

กระแสเต๋านี้ เพียงพอที่จะเอาชนะระดับจักรพิภพทั่วไปได้แล้ว!

แล้วยังมีดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวงในแผนที่ดารา ยามนี้พวกมันหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีถึงเจ็ดส่วน…ที่กลายเป็นดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์เหล่านี้ สาดคลื่นอันรุนแรงออกมา ทำให้ทั้งร่างของหวังเป่าเล่อเวลานี้ ท่วงท่าดูดุดันยิ่งนัก

ทว่า ส่วนที่เหลืออีกสามส่วนเองก็อยู่ในระหว่างพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

ในส่วนของตัวหวังเป่าเล่อ ระดับความเร็วของเงาร่างปราดเปรียวว่องไวขึ้น ในพริบตาที่เขาทะยานไปข้างหน้าแล้วเห็นซากร่องรอยนั้น ร่างกายก็กระโจนเข้าสู่ ข้างในทันที จิตวิญญาณเทพแผ่ซ่านกวาดล้าง สยบเหล่าวิญญาณดุร้าย ในเวลาเดียวกันก็แอบสำรวจไปด้วยว่ามีแผ่นเลื่อนระดับโลกาอยู่หรือไม่

หลังจากที่เคลื่อนดวงวิญญาณเทพ ร่างเนื้อของเขาก็จากไป ส่วนวิญญาณดุร้าย ที่ถูกกระแสจิตเทพของเขากำราบนั้นก็สลายในทันที

แต่ไม่ใช่ว่าทุกดวงวิญญาณร้ายจะถูกจิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อสยบ ยามที่เขาค้นหาไปกว่าครึ่งของเผ่าเทพในแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว หวังเป่าเล่อก็พบเข้ากับ จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่า

ตอนนี้ หวังเป่าเล่อยังคงยกยิ้มดุจเก่า เพราะว่าร่างเนื้อของเขาทำให้ทุกส่วน ในร่างกายเปรียบดั่งอาวุธเทพอันเฉียบคม ไม่ว่าจะไปทิศทางใด การสังหารก็จะ เริ่มต้นอีกครั้ง!

เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อใช้เวลาสำรวจ อาณาเขตของเผ่าเทพแล้วก็ยิ่งเข้าใกล้ชั้นก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ จมสู่ชาติก่อนหน้า ซากแห่งโลกที่ซากศพนั้นเป็นผู้ปกครอง

ในที่แห่งนี้ จิตวิญญาณเทพอันสมบูรณ์ของเขาและสภาพร่างนั้นแตกต่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยไม่สบายตัวอยู่บ้าง หลังจากเปลวไฟสีดำถูกจุดโชติช่วง ที่นี่ ก็ไม่ต่างอะไรกับด้านนอกมากนัก การฆ่าฟันรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ชั่วเสียงคำรามถัดมา หวังเป่าเล่อคว้าลำคอของผีดิบร่างผุเน่าตัวหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีเขาทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม เขาใช้แรงบีบจนเกิดเสียงพลั่กดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้ร่างของผีดิบนั้นวิญญาณแตกซ่าน จากนั้นจึงเดินหน้าไปต่อตามปกติ

กระทั่งเนิ่นนานให้หลัง เสียงฝีเท้าของเขา…จึงชะงักลงเป็นครั้งแรก

เพราะว่าเบื้องหน้านั้น หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่าง ร่องรอยนี้ คือความทรงจำในชาติก่อน เขาในยามนั้น กำลังนั่งอยู่เพื่อไขว่คว้าหาแสงสว่าง

“บังเอิญเพียงนี้เชียว…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้า เขาส่งจิตวิญญาณเทพไปกวาดมอง แล้วหันหลังจากไป แต่ว่าในตอนที่กำลังจะ จากไปนี้เอง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

รูปร่างของผีดิบตนนี้ แม้จะไม่เหมือนกับหวังเป่าเล่อ แต่ในพริบตาที่เขามองมัน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นเคยทันที กระทั่งว่ามีความรู้สึกหนึ่ง ราวกับเขากำลังมองดูตัวเองดังนั้นรอยยิ้มของเขาจึงยิ่งแจ่มชัด หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามอง ทะลุแม่น้ำแห่งความมืดออกไป จนกระทั่งมองเห็นด้านนอกของแม่น้ำแล้ว เขาก็เผยยิ้มกว้าง

“ห้ามตรวจสอบ ห้ามหยุดยั้ง ห้ามกักกัน และห้ามรบกวน!”

เกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา ผีดิบตนที่กำลังพุ่งตัวมาหาเขา ร่างกายพลันสะท้าน ราวกับถูกควบรวมพลังไม่ปาน มันคงสภาพค้างอยู่ในท่าที่ พุ่งเข้ามานั้นและไม่ขยับกายอีก

ว่าไปแล้ว แม้กระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดรอบด้านก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับ ตัวแม่น้ำไม่มีสิทธิ์จะเคลื่อนไหวอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้พลันหยุดนิ่ง มีเพียงรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงเป็นจริง

ชั่วอึดใจให้หลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำพลันดังขึ้น สะท้อนไปรอบกายหวังเป่าเล่อ

“ต้องการให้ข้าช่วยเจ้า หาแผ่นยกระดับโลกาหรือไม่?”

“เยี่ยม” หวังเป่าเล่อยังคงไม่เปลี่ยนรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวตอบ

พริบตานั้น ทั้งแม่น้ำแห่งความมืดเกิดพลิกหมุน ขุมพลังคลื่นส่งแรงกระแทก มาจากก้นบึ้งของแม่น้ำ แล้วยังมีเสียงคำรามแฝงมาด้วยเป็นระลอก มีแสงรำไร แสงหนึ่งแล่นขึ้นมาจากก้นแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว มันพุ่งผ่านทุกสิ่งแล้วมายัง เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อทันที

นั่นก็คือ จานหลัวผานชิ้นหนึ่ง

มุมหนึ่งของมันบิ่น มองไปแล้วคล้ายว่าจะขาดแหว่งอยู่บ้าง ตัวจานดูไป ไม่มีอะไรวิเศษ กระทั่งว่าเขาลองหลังใช้ประสาทสัมผัสดูแล้วก็เท่านั้น แต่พอลองใช้เปลวไฟสีดำหลอมเข้าสู่ดวงตา จึงเห็นว่า…บนจานแผ่นนี้มีประกายพลังชีวิตขุมหนึ่ง ที่ยากจะอธิบายปรากฏขึ้น เส้นชีพจรไม่มีผลกระทบใหญ่หลวงใดต่อสรรพสิ่ง ทว่ากลับมีผลกระทบยิ่งยวดต่อดาวเคราะห์

“ขอบคุณ” หวังเป่าเล่อยิ้มพลางก้มหน้า หยิบเอาจานหลัวผานเบื้องหน้าของตนมา แล้วลองหลอมเข้ากับแผนที่ดาราจักร แม้ว่าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลในการยกระดับดาวเคราะห์อย่างที่เขาคิด

นี่แสดงให้เห็นว่าประโยชน์ของจานนี้ไม่ได้มีผลอะไรต่อพลังฝึกตน แม้จะมีค่าอย่างมาก แต่หากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ตัวจานคงมีค่าเพียงแค่การยกระดับอารยธรรมเท่านั้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มองมันอีก แต่เก็บมันเข้าในกระเป๋าคลังเก็บ แล้วขยับร่างกายดำดิ่ง ยังคงไม่จากไป…

หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เสียงนั้นไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ ทว่าคล้ายกับมีกระแสดวงจิตเทพค่อยๆ ถูกดึงกลับจากบริเวณโดยรอบอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งหายวับไป หลังจากนั้นร่องรอยที่ทำให้หวังเป่าเล่อชะงักก็กลายเป็นความว่างเปล่า ส่วนผีดิบที่ดูสงบนิ่งตนนั้น ยามนี้กลายเป็นเงาร่างค่อยๆ พร่าเลือน

แม้ว่าจะได้รับแผ่นยกระดับโลกามาแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงดำดิ่งลงในแม่น้ำแห่งความมืด หลังจากสำรวจดูร่องรอยของโลกผีดิบแล้วนั้น เขาก็ไปยังโลกร่องรอยของดาบมาร หลังจากนั้นก็ไปยังดินแดนแห่งความแค้น กระทั่งสุดท้ายไปดูร่องรอยของโลกกวางขาวตัวน้อย

เมื่อมาถึงที่นี่ ก็นับว่าอยู่สุดก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว สามารถมองเห็นโคลนเลนจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องการเสาะหาอีก พลังของเปลวไฟสีดำที่เขามีนั้นถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน

การเดินทางมาหนนี้ จิตวิญญาณเทพของเขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ระยะห่างจากการยกระดับนั้นเหลือเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อสะกดเอาไว้ เขาไม่ต้องการให้ตนเองยกระดับจิตวิญญาณเป็นจักรพิภพภายในแม่น้ำแห่งความมืดนี้

ในส่วนพลังฝึกปรือของเขาเองก็ยกระดับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ดาวเคราะห์พิเศษกว่าเก้าส่วนตอนนี้ได้กลายเป็นดารานิรันดร์ ส่วนแผนที่ดวงดาวก็ส่องสว่างโชติช่วง พลังฝึกปรือก็ถึงระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์แล้ว

เมื่อถึงเวลานี้ ไอมรณะในแม่น้ำก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นกฎเกณฑ์ หรือกฎของจักรพิภพคนเป็นเท่านั้น ถึงจะค่อยหลอมรวมได้

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” หวังเป่าเล่อยังคงยิ้มเหมือนเก่า เขาหันกายไปพร้อมรอยยิ้มนี้ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว…มุ่งหน้าไปทางผิวน้ำของแม่น้ำแห่งความตาย ยิ่งมาก็ยิ่งทวีความเร็วขึ้นจนกระทั่งทั้งร่างกลายเป็นเหมือนสายรุ้งโผล่พ้นผิวน้ำ ก้าวออกจาก แม่น้ำสายนี้

หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ผู้ใดเปิดเส้นทางไปสู่ โลกคนเป็น และโดยที่ไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่น้อย ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาพลันส่องแสงเรืองรอง ปราณกระบี่ขุมหนึ่งควบเป็นลำแสงอยู่ในฝ่ามือ ยามที่หวังเป่าเล่อยกมัน ขึ้นฟันนั้น ทั้งนพภูมิสั่นสะท้าน อากาศกว้างสะเทือน รอยแยกเส้นหนึ่งพลันถูก หวังเป่าเล่อผ่าเปิดออก เขาก้าวไปข้างหน้าเข้าสู่รอยแยกนั้นแล้วหายตัวไป

ตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการ ใบหน้าของเขาเกลื่อนรอยยิ้มตลอดเวลา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!