Skip to content

A World Worth Protecting 132

บทที่ 132 ข้อปฏิบัติของนักหลอมอาวุธเวท

เช้าวันถัดมา หลินเทียนหาวออกจากถ้ำที่พักด้วยใบหน้ามืดหม่นราวกับถ่านหิน ก่อนเจอเข้าเหล่าหุ่นเชิดขนดกสามสิบตัวด้านนอก สะกิดให้ต่อมโมโหกำเริบ ชายหนุ่มข่มตาหันกลับเข้าถ้ำที่พักตนเองไปเก็บสัมภาระอีกพักใหญ่ แล้วออกมาอีกครั้ง     อย่างแน่วแน่ โดยไม่หันหน้ามอง

เขาไม่อยากทะเลาะกับหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เพราะมันเสียเวลา หากผลลัพธ์ออกมาเหมือนเดิมนั้น อีกฝ่ายแทบไม่กระทบอะไร แต่เป็นเขาเองที่ต้องชะงัก        การฝึกตน และยังฝึกปรือวิชาหลอมวัตถุเวทล่าช้าลงไปอีกด้วย

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าหลินเทียนหาวเก็บข้าวของจากไปแล้วก็เริ่มเลยเป็นกังวล รีบวิ่งไปหา โบกไม้โบกมือเกลี้ยกล่อมให้กลับมา แต่ทว่าอีกฝ่ายยิ่งเร่งความเร็วเมื่อเห็นชายอ้วนปรากฏตัวขึ้น

ว้า ช่างเป็นหนูทดลองชั้นเลิศอะไรเช่นนี้ น่าเสียดายจริงๆ ที่เจ้านั่นต้องจากไปแบบนั้น…

ชายอ้วนทุกข์ใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินหายลับสายตา ก่อนส่ายหัวพลางถอนหายใจ และกลับเข้าถ้ำที่พักของตนเอง

หลินเทียนหาวออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็ว ด้วยสีหน้าไม่พอใจ หากเป็นถิ่นอำนาจของตน คงจะมีลู่ทางจัดการกับหวังเป่าเล่อบ้าง แต่ที่นี่คือสำนักศึกษาเต๋า แผนการเหล่านั้นจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า

หวังเป่าเล่อ หากข้าได้เป็นองครักษ์อาวุธเวทแล้ว วันนั้นข้าจะสั่งสอนให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความเสียใจ!

ข่าวเรื่องหลินเทียนหาวย้ายออกทำให้ผู้คนซึ่งติดตามข่าวคราวของเขาอยู่นั้นตกใจ   แต่น้อยคนนักจะให้ความสนใจ เพราะตำหนักอาวุธเวทนั้นกว้างใหญ่ราวกับพระราชวัง มีศิษย์เอกมากมายที่ต้องให้ความสำคัญและจับตาดู แม้ก่อนหน้านี้        จะมีข้อความมากมายดูหมิ่น หรือใส่ร้ายหวังเป่าเล่อบนเครือข่ายวิญญาณ แต่มันกลับเพียงทำให้ชื่อของเขาคุ้นหูมากขึ้นเท่านั้น หากไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผู้คนมักไม่สนใจนักว่าคนๆ นี้จะมีหน้าตาบุคลิกเป็นอย่างไร

ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าถ้ำที่พักข้างเคียงไม่มีคนอยู่ ชายร่างอ้วนจึงพยายามใช้วิธีต่างๆ รวมทั้งติดสินบนศิษย์พี่จากฝ่ายปกครองตำหนัก แอบปลดปล่อย               วงแหวนปราณ และทำทางเดินเชื่อมสู่ถ้ำที่พักข้างเคียง เพื่อขยายพื้นที่ของตนให้  กว้างขึ้น หวังเป่าเล่อรู้สึกดีขึ้นจากอาการลำบากใจตอนเห็นหลินเทียนหาวจากไปโดยไม่พูดจา

ต่อมาเขาเริ่มเตรียมตัวพัฒนาฝีมือ และมุ่งมั่นจะสร้างวัตถุเวทระดับหนึ่งนับร้อยชิ้น เพื่อใช้ในการเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์เอกอาวุธเวท

แต่ก่อนจะเริ่ม ชายร่างอ้วนหยิบหมอนเวทมายาเข้าไปยังมิติมายา โดยเขาเช่ายืมหมอนนั่นมาห้าปี แต่เนื่องจากยังไม่ถึงกำหนด จึงยังไม่ได้ส่งคืนนั่นเอง

หวังเป่าเล่อหยิบหน้ากากดำขึ้นมาภายในมิติมายา ด้วยหวังจะปรึกษาแม่นางน้อยว่ามีวิชาการฝึกตนที่คล้ายคลึงกับวิชากลืนปราณใดบ้าง เหมาะสมกับผู้ฝึกตนระดับ       ลมหายใจเที่ยงแท้

เพราะสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว วิชากลืนปราณนั้นเติมเต็มวิชาค้ำจุนปราณให้สมบูรณ์ ดังนั้นเป็นไปได้ว่ามีวิชาการฝึกตนซึ่งสมบูรณ์กว่าวิชาแปรสภาพอาวุธ         ไร้ขอบเขตในการหลอมวัตถุเวท

อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเอ่ยความคิดออกไป หน้ากากยังคงไม่ตอบสนอง แต่ชายหนุ่ม    ไม่รู้สึกรู้สากับความดื้อดึงของแม่นางน้อยแต่อย่างใด และยังคงสอบถามหน้ากากด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล

“แม่นางน้อยผู้ใจดี และงดงามเหลือเชื่อ เป่าเล่อผู้นี้มาเพื่อขอพบท่าน

“แม่นางน้อยเอ๋ย สรีระทองคำที่ท่านแนะนำข้านั้นมีประโยชน์นัก เพียงย่างเท้าเข้าไปในมิติเวท บรรดารากฐานวิญญาณทุกตนต่างถูกใจหลงใหลข้า ช่างน่าเขินนัก”

หวังเป่าเล่อแสร้งเอียงอายขณะพูด และแอบเหลือบมองหน้ากาก อาการเงียบหายไปของแม่นางน้อย ตอนที่หวังเป่าเล่อเข้ามาเยือนมิติมายาคราวก่อน ทำให้เขา   ไม่กล้าเปิดฉากถามคำถามหยั่งเชิงอีกฝ่าย

ในที่สุด หน้ากากก็ตอบสนองคำว่า ‘สรีระทองคำ’ นั้นด้วยการกะพริบแสงถี่ๆ   จนหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าแม่นางน้อยอารมณ์ไม่ดีนัก จึงตื่นตัวและคิดว่าคงดีกว่าหากเข้ามาไถ่ถามใหม่ในวันหลัง

แต่ทันใดนั้นเอง หน้ากากก็พลันฟาดสายฟ้าออกมา

“แม่นางน้อย ทำอะไรน่ะ” ดวงตาของชายอ้วนเบิกกว้าง ถอยชะงักอย่างว่องไว

แต่สายฟ้านั้นเร็วเกินกว่าจะหลบพ้น ก่อนฟาดใส่ชายหนุ่มทันที เจ้าตัวชะงักไปด้วยความเจ็บปวดและมึนงงแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย สายฟ้าฟาดแล่นเข้ามาใกล้กับ     จุดตันเถียนอันมีเมล็ดแห่งการดูดกลืน หลังจากรับรู้ได้ถึงเส้นปราณวิญญาณ รวมถึงรากฐานวิญญาณในเมล็ดแห่งการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อแล้ว มันจึงผุดออกมาและกลับคืนสู่หน้ากากทันที แต่ยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ภายในมิติมายา ก่อนพึมพำ “เจ้าอ้วนกวนประสาทนี่ช่างโชคดีอะไรขนาดนี้…”

“ใครรึ” เสียงพึมพำนั้นเบามาก จนหวังเป่าเล่อไม่ได้ยินอะไร นอกจากคำว่า   ‘เจ้าอ้วนกวนประสาท’ ก่อนจะขนลุกซู่ เมื่อตระหนักได้ว่าหน้ากากเป็นผู้พูด          เขาหายใจเข้าลึกก่อนเตรียมใจรับมือ แม้จะแปลกใจที่หน้ากากนั้นพูดได้ แต่ยังพอ    ตั้งสติและยอมรับไหว

ถึงกระนั้น ‘เจ้าอ้วนกวนประสาท’ ที่หน้ากากเอ่ยถึง ยังคงรบกวนจิตใจของ    หวังเป่าเล่อ จึงมองไปรอบๆ และหยุดสายตาตรงหน้ากากด้วยแววตาสงสัย

“แม่นางน้อย หรือว่าท่านจะเป็นคนพูดหรือ ตรงนี้ไม่มีเจ้าอ้วนอะไรนั่นนะ”

แม่นางน้อยในหน้ากากเงียบไป เพราะลืมสนิทว่าชายผู้นี้ชอบแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก่อนเผยข้อความบางอย่างขึ้นบนหน้ากาก

หวังเป่าเล่อกระตือรือร้นอ่านข้อความ ก่อนจะผิดหวัง เพราะข้อความไม่ได้กล่าวถึงวิชาการฝึกตนตามที่คาดหวัง แต่กลับเป็นเพียงหลักคำนวณวัตถุเวทเท่านั้น

เมื่อศึกษาคำอธิบายของหลักคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ชายร่างอ้วนจึงรับรู้ว่าแท้จริงแล้วมันใช้สำหรับหลอมฝักกระบี่!

“ท่านต้องการให้ข้าหลอมฝักกระบี่หรือ มันมีดีอะไรกันเล่า มิใช่กระบี่เหาะเหินสักหน่อย แถมฝักกระบี่ยังไม่จำเป็นต่อกระบี่เหาะเหินอีกต่างหาก” หวังเป่าเล่อพูดอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

เมื่อรับรู้ความไม่เต็มใจนี้จากน้ำเสียง หน้ากากจึงกะพริบอีกครั้ง ก่อนเผยข้อความชุดใหม่

“หากฝักกระบี่ถูกหลอมอย่างปราณีต มันจะมีค่ากว่าอาวุธเทพเสียอีก ถือได้ว่าเป็นวัตถุเวทชั้นยอดที่ดูดกลืนพลังงานจากกระบี่สำริดเขียวโบราณบนดวงอาทิตย์ได้เลยทีเดียว…”

ชายหนุ่มอ่านข้อความพลางหัวเราะ

“อย่ามาล้อเล่นเลย แม่นางน้อย ท่านคิดว่าข้าไร้เดียงสาขนาดนั้นเลยหรือ ตัวข้าหารายได้พิเศษโดยใช้วิธีนี้โกงเงินผู้คนมาตั้งแต่อายุหกขวบนะ พูดอะไรให้น่าเชื่อถือหน่อยเถิด!”

หน้ากากเงียบไปพักใหญ่ก่อนฉายแสงวิบวับอีกครั้ง ส่งผลให้ข้อความนั้นเปลี่ยนเป็นว่า ฝักกระบี่เป็นเพียงก้าวแรก หลังจากหลอมสำเร็จจะพบวิชาการฝึกตนที่เกี่ยวข้องกับมันเพิ่มเติมอีก ขณะเดียวกันฝักกระบี่นั้นเป็นเพียงก้าวแรก ต่อมา        เจ้าจะต้องฝึกหลอมเข็มปักวิญญาณ และหลังจากนั้นต่อไป จะเปลี่ยนจากการ    หลอมเข็มปักวิญญาณเป็นการหลอมกระบี่วิญญาณที่สามารถฟาดฟันทุกสิ่งในจักรวาลให้ขาดกระจุย!

“ฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นนะ” หวังเป่าเล่อพินิจดูอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง แม้จะยังมีข้อกังขาอยู่บ้าง แต่ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม หลังจากอ่านวิชาการฝึกตนจบ แล้วจึงออกจาก      มิติมายา มานั่งคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับหลักคำนวณ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเพียง        กวาดตามอง แต่ตอนนี้เขาเริ่มตื่นเต้นขึ้น เมื่อครุ่นคิดอย่างจริงจัง

“มันเป็นแค่วัตถุเวทระดับหนึ่ง แต่มีความซับซ้อน แถมขั้นตอนแรกนั้นช่างแปลกประหลาดนัก ทั้งศิลาวิญญาณที่ใช้จารึกอักขระลงไป ยังจำเป็นต้องใช้ศิลาวิญญาณรุ้งเท่านั้น แล้วยังต้องเป็นชุดรูปแบบเดียวกันอีกด้วย หนำซ้ำการหลอมศิลาวิญญาณรุ้งแยกกันเป็นรูปร่างของฝักกระบี่นั้น ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอีกด้วย”

แม้หวังเป่าเล่อจะสับสน แต่ก็เร้าใจ และยังคิดไปไกล ทว่ากลับต้องตกตะลึง   เมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง

นอกเหนือจากข้อกำหนดเฉพาะของศิลาวิญญาณแล้ว ยังมีข้อบังคับเกี่ยวกับ  อักขราจารึกอีกด้วย โดยระบุว่าอักขราจารึกนั้นมีจำนวนมากกว่าที่ต้องใช้ใน         การหลอมสมบัติเวทธรรมดาระดับสามทั่วไปอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าชายร่างอ้วนจะปรับแก้การจัดเรียงอักขราจารึกใหม่แบบใช้หลักคำนวณ ก็ไม่อาจเข้าใจความหมายของมันได้

ข้อกำหนดนี้เกี่ยวข้องกับแก่นวิญญาณนั้นซับซ้อนมากพอกัน ข้อบังคับต่างๆ     ในการหลอมวัตถุนั้นเข้มงวด จนหวังเป่าเล่อคิดไม่ออกเลยว่า วัตถุเวทระดับหนึ่งจะมีเงื่อนไขมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ

อย่างไรมันก็เป็นเพียงวัตถุเวทระดับหนึ่งเท่านั้น!

เป็นไปได้รึเปล่าว่าหากหลอมฝักกระบี่จนอยู่ในระดับสุดยอดได้สำเร็จ ย่อมจะดึงดูดความสนใจจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ หวังเป่าเล่อไตร่ตรอง พลางคิดว่า   มันน่าเหลือเชื่อนัก แม้จะรู้สึกทึ่งในฝักกระบี่ แต่กลับไม่รู้สึกว่ามันทรงพลังตามที่     แม่นางน้อยเคยบอกไว้ ถึงแม้จะเห็นชัดว่ามันคือสมบัติอย่างหนึ่งก็ตาม

หรือบางทีในกระบวนการหลอมนั้น ข้าต้องหลอมรวมลูกประคำจากหอกยาวสีน้ำเงินเข้าด้วย วิธีนี้อาจช่วยผสานสมบัติเวทสองสิ่งเข้าด้วยกัน และทำให้มันมีพลังยิ่งขึ้นได้!

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มเคยค้นคว้าเรื่องลูกประคำ ทำให้ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว   ในเมื่อลูกประคำนั้นมาจากสมบัติเวท หากมันผสานเข้ากับสมบัติเวทชิ้นอื่น           อาจเกิดผลบางอย่างขึ้น

แต่ลูกประคำเหลือเพียงเม็ดเดียว หวังเป่าเล่อจึงไม่กล้าทดลองไปเรื่อยเปื่อย อย่างไรก็ตาม ฝักกระบี่นั้นดูน่าเย้ายวนใจ จนเจ้าตัวห้ามใจไม่ไหว

เขารู้ดีว่าการหลอมฝักกระบี่นั้นเป็นเรื่องท้าทาย และไม่ควรเร่งรีบนัก จึงเริ่มหลอมวัตถุเวทระดับหนึ่งอันสมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นต่อการไต่เต้าสู่ตำแหน่งศิษย์เอกอาวุธเวทขึ้นมาก่อน หวังเป่าเล่อเลือกมาสองสามรายการจากตำหนักอาวุธเวท จากนั้นจึงเริ่มลงมือหลอม

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชายร่างอ้วนหลอมล้มเหลวอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งสามารถหลอมกระบี่เหาะเหินซึ่งเป็นวัตถุเวทระดับหนึ่งอันสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ มันมีสีเขียวหยกเจิดจรัส ให้ความรู้สึกเยือกเย็น และเผยรังสีลึกลับ ราวกับว่าระดับของมันอยู่เหนือกว่ากระบี่เหาะเหินด้ามอื่นๆ ที่เขาเคยหลอมมา

กระบี่หยกควบแน่น! ดวงตาของหวังเป่าเล่อสุกสกาว หลังจากเปรียบเทียบข้อกำหนดจากตำหนักอาวุธเวท จึงพบว่ากระบี่ด้ามนี้ตรงตามข้อกำหนด ชายหนุ่มสลักชื่ออย่างมีความสุข โดยรู้ดีว่าคนอื่นไม่มีทางใช้กระบี่ชั้นดีเล่มนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากมันถูกใช้จู่โจมทำร้ายเขา เจ้ากระบี่นี้จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที

“นักหลอมอาวุธเวททั้งหลายล้วนแล้วแต่มีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก” หวังเป่าเล่อถากถาง เฉินอวี่ถงเคยเกริ่นถึงข้อปฏิบัติของชาวตำหนักอาวุธเวทที่ไม่มีใครพูดกันนี้ให้         หวังเป่าเล่อฟัง

นั่นคือ…ยุทธการป้องกันการตลบหลัง!

ผู้ฝึกตนทุกคนจะฝากสัญลักษณ์ประจำตัวลงบนวัตถุเวทที่พวกเขาหลอมขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้วัตถุเวทที่ตนเองหลอมย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้!

แม้จะทำให้เกิดความไม่พอใจ จนกลายเป็นการฆ่าปิดปากมานักต่อนัก             แต่ผู้หลอมอาวุธเวทก็มักจะตั้งกฎข้อนี้ไว้ตอนทำการแลกเปลี่ยน และตราบใดที่มันยังเป็นเช่นนี้ ข้อปฏิบัตินี้ก็ไม่มีทางหายไปได้ง่ายๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!