บทที่ 139 หัวหน้าศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลัก
ไม่น่าแปลกใจนักที่จิตใจชายหนุ่มร่างผอมจะว้าวุ่น ความคิดมากมายประดัง พรั่งพรูกันเข้ามา หัวใจของเขาหยุดเต้นไปชั่วขณะเพราะความตกตะลึง เขาในฐานะศิษย์เอกที่ใช้เวลาบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงมากว่าสองปี ไม่ว่าจะเป็นด้วยประสบการณ์ตรงในการทดสอบทั้งเก้าครั้ง หรือการได้ยินได้ฟังคนอื่นมา เขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินเรื่องของใครที่เหมือนกับหวังเป่าเล่อมาก่อน เจ้าอ้วนนี่วางแผนจะผ่านการทดสอบด้วยวัตถุเวทระดับหนึ่งที่แต่ละชิ้นหลอมยากยิ่ง
ชายหนุ่มร่างผอมไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า ใครสักคนจะทำร้ายตนเองเช่นนั้นไปทำไมกัน นอกจากนั้นแล้วการหลอมวัตถุเวทระดับนี้นั้นแพงมาก แถมการทดสอบมีโจทย์คือ ให้หลอมวัตถุเวทแบบสุ่มทั้งหมดสิบชิ้นภายในเวลาจำกัด ทำเช่นนี้จะทำให้ การทดสอบยิ่งยากขึ้นไปอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มทำใจเชื่อว่าเจ้าเด็กใหม่คนนี้หลอมวัตถุเวททั้งหมดด้วยตนเองไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่น่าจะมีเวลาพอ หากจะมีใครสักคนที่สามารถทำได้สำเร็จ ใครคนนั้นจะต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการ ที่จะสามารถรุดหน้าเป็นศิษย์เอกอาวุธเวทได้ในกาลข้างหน้าอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ในสายตาของเขานั้น หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนมีพรสวรรค์แต่อย่างใด ชายหนุ่มจึงพยายามจะตั้งสมาธิและละสายตาจากวัตถุเวทชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่ หวังเป่าเล่อค่อยๆ ป้อนใส่เข้าไปในแท่นศิลา เขาพยายามข่มอารมณ์ในใจไว้ เขาได้ตัดสินเจ้าเด็กใหม่ไปแล้วว่าเป็นเพียงแค่นักเสี่ยงโชคที่ได้รับความช่วยเหลือจากใครบางคนในการหลอมวัตถุเวทเหล่านี้ขึ้นมาเท่านั้น
ชายหนุ่มร่างผอมไม่สนใจว่าความคิดของเขาจะสมเหตุสมผลหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น หากทดสอบไม่ผ่าน วัตถุเวทที่ส่งเข้าไปก็จะไม่ได้รับคืน แม้กระนั้น สำหรับผู้มี อันจะกินแล้ว การสูญเสียระดับนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
“ศิษย์พี่ ข้าต้องทำอะไรต่อหรือ การทดสอบจะเริ่มขึ้นหรือยังขอรับ” ชายหนุ่มรู้สึกตัวจากภวังค์เมื่อหวังเป่าเล่อหันมาถามหลังจากหย่อนวัตถุเวททั้งสิบชิ้นเข้าไปในแท่นศิลาแล้ว เจ้าอ้วนยืนรอคำแนะนำอย่างวิตกกังวล เขาหันหลังกลับมาเห็นสีหน้าของชายหนุ่มร่างผอมที่เปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อเข้าใจเหตุผลของสีหน้าที่ไปเปลี่ยนแปลงนั้น แต่ทว่าตอนนี้การทดสอบสำคัญกว่า เขาไม่สามารถเสียสมาธิได้และไม่มีเวลาอธิบายด้วย
“เชอะ…คนที่คิดว่าตนเองไม่ต้องเคารพกฎกติกาเพียงเพราะว่าเป็นคนรวยนั้นเป็นพวกที่ข้าเกลียดที่สุด!”
หลังจากได้ยินหวังเป่าเล่อถาม ชายหนุ่มร่างผอมถอนหายใจอยู่เงียบๆ และพูดขึ้นมาอย่างห่างเหินและเย็นชา
“วางมือของเจ้าลงบนแท่นศิลาแล้วการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น!”
เมื่อเขาพูดจบและเห็นหวังเป่าเล่อยกมือขึ้นกดลงบนแท่นศิลาจึงหัวเราะออกมาอย่างเลือดเย็น เขาเห็นร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม
“เจ้าหนู! เจ้าต้องเรียนรู้ความล้มเหลวเสียก่อนนะ ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าร่ำรวยมาจากไหน เจ้าจะต้องสอบตกอยู่ดี!” ชายหนุ่มตัดสินใจหยุดการทดสอบของตนเองไว้ชั่วคราว เขาอยากจะดูหวังเป่าเล่อสอบตกด้วยตาตนเอง เขาคาดการณ์ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องยอมแพ้ภายในครึ่งชั่วโมงแรกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อจะหลุดจากการทดสอบเท่านั้น แท่นศิลาตรงหน้าเขายังเรืองแสงขึ้นและแสงนั้นขยับสูงขึ้นหนึ่งนิ้วอีกต่างหาก!
ชายหนุ่มร่างผอมถึงกับผงะ เขาตกใจเล็กน้อยพลางคิดอยู่ในใจว่า วัตถุเวทชิ้นแรกผ่านอย่างนั้นหรือ
แค่เพราะเจ้าโชคดีหรอกน่า มาดูสิว่าจะอยู่ได้ถึงเมื่อไหร่กัน…
ขณะที่เขาก่นด่าอยู่ในใจ แสงบนแท่นศิลาก็ขยับสูงขึ้นอีกเป็นสองนิ้ว!
เกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มเริ่มหายใจถี่ขึ้น
ไม่นานนัก แสงบนแท่นศิลาขยับขึ้นเป็นสามนิ้ว ชายหนุ่มถึงกับนั่งไม่ติด เขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นแสงค่อยๆ ไต่ขึ้นไป สี่นิ้ว ห้านิ้ว หกนิ้ว…เมื่อแสงนั้นไปถึงเก้านิ้ว ชายหนุ่มถึงกับหูตาฝ้าฟาง เขาอ้าปากค้างอย่าง ตกตะลึง
เป็นไปไม่ได้! จะเร็วเกินไปแล้ว!
คลื่นพายุอารมณ์ถาโถมในใจเขา หากเป็นใครคนอื่นที่ทำสำเร็จ เขาคงจะไม่รู้สึกแบบนี้ อย่างไรก็ดี เขาเห็นกับตาตนเองว่าวัตถุเวททุกชิ้นที่หวังเป่าเล่อส่งไปนั้น หลอมยากเป็นอย่างยิ่งและมีระดับสูงกว่าธรรมดาทั่วไปมาก แต่ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็กำลังจะสอบผ่าน!
ไม่นานหลังจากที่แสงสว่างขึ้นถึงเก้านิ้ว แท่นศิลาทั้งอันก็เรืองแสงขึ้นและขยับขึ้นไปสู่ความสูงสิบนิ้ว แสดงถึงความสำเร็จของศิษย์เอกในการทดสอบเลื่อนขั้นเป็น ศิษย์เอกอาวุธเวท เมื่อศิษย์เอกในฝ่ายกองทัพสำนักสังเกตเห็นเหตุการณ์ พวกเขาต่างแห่กันมามุงดู
“มีคนทำสำเร็จแล้ว!”
“ศิษย์เอกอาวุธเวทคนใหม่ปรากฎกาย!”
ศิษย์ฝ่ายกองทัพสำนักวิ่งกรูกันเข้ามา ชายหนุ่มร่างผอมถึงกับตกตะลึง หวังเป่าเล่อ ผู้นั่งอยู่ใต้แท่นศิลาลืมตาขึ้นเมื่อจบการทดสอบ
ก็ไม่ได้อยากอะไรขนาดนั้นนี่นา…
หวังเป่าเล่องงไปหมดเพราะการทดสอบไม่ได้ยากอย่างที่ชายหนุ่มร่างผอมอธิบายไว้ ถึงกระนั้น เมื่อเห็นว่าตัวเองสอบผ่าน หวังเป่าเล่อก็กระโดนโลดเต้นด้วยความดีใจ เขายืนขึ้นและหันไปคำนับขอบคุณชายหนุ่มร่างผอม เมื่อเขาหันหลังกลับมา ศิษย์ฝ่ายกองทัพสำนักต่างพากันมาแสดงความยินดี
หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างชื่นใจ เขาเดินจากมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ฝ่ายกองทัพสำนักเพื่อไปลงทะเบียนเป็นศิษย์เอกอาวุธเวทอย่างเป็นทางการ เสื้อคลุมเต๋าสำหรับ ศิษย์เอกอาวุธเวทและเหรียญตราแสดงตนจะถูกส่งไปให้เขาโดยฝ่ายกองทัพสำนักในวันรุ่งขึ้น เมื่อวัดตัวเสร็จ หวังเป่าเล่อจึงเดินจากมาอย่างสบายอกสบายใจ
เมื่อหวังเป่าเล่อจากมา ชายหนุ่มผู้ยืนนิ่งอยู่ในลานทดสอบจึงถอนหายใจยาวและกลับมาเผชิญหน้าความเป็นจริง เขาหันหลังขวับมามองแท่นศิลาที่หวังเป่าเล่อใช้ในการทดสอบ
หรือว่าแท่นศิลานี้ทำให้ผ่านการทดสอบได้ง่ายขึ้นกันนะ
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของชายหนุ่มลุกโชนขณะที่เขาจดจำตำแหน่งของแท่นศิลานั้นไว้ เปลวไฟลุกโชนอยู่ในใจเมื่อเขาตัดสินใจว่าจะใช้แท่นศิลานี้สอบครั้งต่อไปหากเขาตกอีกในครั้งนี้!
หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจว่าชายหนุ่มร่างผอมจะคิดอย่างไร ขณะนี้ เขานั่งอยู่บนเรือบินด้วยความสุขสมใจ พลางคิดถึงภาพตัวเองได้เปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงิน ทำให้เขาลิงโลดใจขึ้นไปอีก เขาคิดไปถึงสิทธิพิเศษในการไปปฏิบัติหน้าที่ในฝ่ายใดก็ได้ของสำนัก แล้วจึงหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาเพื่อติดต่อเฉินอวี่ถง หวังเป่าเล่ออธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังอย่างแนบเนียน เฉินอวี่ถงก็ตกลงให้หวังเป่าเล่อมาจบขั้นตอนการลงทะเบียนที่ฝ่ายปกครองสำนัก
เมื่อเห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อผู้แสนจะสุขใจก็เปลี่ยนเส้นทางเรือบินและเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังฝ่ายปกครองสำนักทันที
ขณะนี้ เฉินอวี่ถงอยู่ในเรือนหมู่ที่ทำการของฝ่ายปกครองสำนัก เขากำลังฟังรายงานจากหัวหน้าศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักกลุ่มหลักทั้งสี่คนเรื่องหน้าที่ของแต่ละคนด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย หลังจากได้รับข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อ ริมฝีปากเขาก็ม้วนขึ้นเป็นรอยยิ้มด้วยความตกใจระคนยินดี
หัวหน้ากลุ่มทั้งสี่ตรงหน้าเขาต่างก็มองหน้ากันไปมาอย่างสับสน เท่าที่พวกเขารู้จักเฉินอวี่ถง เขาจะเป็นมิตรเมื่อไม่ได้อยู่ในฝ่ายปกครองสำนัก แต่จะเป็นคนจริงจังเมื่อทำงาน
น่าสนใจนี่ ข้าคิดว่าเขาจะต้องการเวลาอีกหน่อยก่อนจะก้าวหน้าได้เสียอีก เขาหัวไวดีจริงๆ ดูท่า สิ่งที่อาจารย์กล่าวไว้จะเป็นจริง ชายหนุ่มนี่ช่างมีพรสวรรค์มากและการผูกมิตรกับเขาเอาไว้ต้องมีประโยชน์
เฉินอวี่ถงยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหยิบเอาแหวนสื่อสารออกมาอ่านข้อมูลจาก ฝ่ายกองทัพสำนัก หลังจากนั้นเขามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาฉายแววโรจน์ขึ้นมา
เขาผ่านการทดสอบด้วยคะแนนเต็ม! ดูเหมือนว่าเขาจะจดจำคำแนะนำของข้าไว้ขึ้นใจ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าไม่อาจปฏิบัติกับเขาเหมือนเขาเป็นลูกน้องได้อีกต่อไป เพราะเขาอาจจะกลายมาเป็นสหายของข้าได้ในไม่ช้า!
ผลการทดสอบนั้นถือเป็นความลับสุดยอด ทว่าเฉินอวี่ถงมีอำนาจมากพอจะเข้าถึงข้อมูลนั้นได้
เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น เฉินอวี่ถงดูราวกับตัดสินใจได้ เขาออกคำสั่งไปทันที
ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังเดินทางไปที่ฝ่ายปกครองสำนัก เขาเพิ่งได้เรียนรู้ว่าสถานะศิษย์เอกอาวุธเวทนั้นยอดเยี่ยมเพียงใด ระหว่างทางเขาเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ศิษย์เอกอาวุธเวทในชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงินเดินผ่าน ศิษย์เอกทั่วไปก็จะต้องคารวะทักทาย เมื่อเห็นความสะดวกสบายของการเป็นศิษย์เอกอาวุธเวท หวังเป่าเล่อก็แทบรอไม่ไหวที่จะได้ใส่ชุดคลุมเต๋านั้นบ้าง
เป็นศิษย์เอกอาวุธเวทนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เมื่อมองจากไกลๆ บริเวณโดยรอบของฝ่ายปกครองสำนักกว้างใหญ่มาก มีตำหนักสี่ชั้นอยู่ด้านใน รายล้อมไปด้วยอาคารสูงสองถึงสามชั้นอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าตำหนักนั้นถูกแยกออกจากอาคารอื่นๆ
ดอกไม้และพืชพรรณเติบโตรายล้อมตึกเอาไว้ เรือบินจำนวนมากจอดอยู่ บริเวณลานกว้างของห้องโถง ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยศิษย์เอกที่ต่างมาทำธุระกันทั่วบริเวณ ศิษย์เอกอาวุธเวทยังดูเหมือนจะมีอำนาจเป็นพิเศษ เพราะว่าผู้คนต่างก็ดูเคารพ ยำเกรงเมื่อต้องเดินผ่าน
ที่นี่คือ ฝ่ายปกครองสำนักสินะ…
เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อมาเยือนที่นี่ เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ มีชายหนุ่มใน ชุดคลุมเต๋าสีน้ำเงินเห็นเขาแล้วจำได้จึงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขายกมือคารวะพลางส่งยิ้มมาให้
“ท่านนี้คือ ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อเขาออกมา หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสถานการณ์และหันไปยิ้มตอบ
“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ข้าคือโจวเผิงไห่ เชิญด้านในเลย ศิษย์พี่เฉินกำลังรอพบท่านอยู่ เขามีคำสั่งไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าท่านจะมาอยู่กับพวกเราในอนาคตอันใกล้นี้” ชายหนุ่มชุดน้ำเงินเป็นหนึ่งในสี่ผู้นำหลักของฝ่ายปกครองสำนัก ขณะที่เดินนำหน้าไปนั้น โจงเผิงไห่ประเมินหวังเป่าเล่อไปด้วย เขารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มหลักเช่นเดียวกับเขา จึงพยายามตีสนิท
ระหว่างทางพวกเขาพูดคุยกันอย่างสบายใจ หวังเป่าเล่อเข้าไปถึงสวนด้านหลังของฝ่ายปกครองสำนัก เฉินอวี่ถงกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในตำหนัก สามชั้นที่เขาเห็นก่อนหน้านี้
“คารวะศิษย์พี่เฉินขอรับ!” ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและทักทายเฉินอวี่ถงด้วยการยกมือคารวะและสีหน้าจริงจัง
ก่อนที่เขาจะได้นั่งคุกเข่าลง เฉินอวี่ถงเดินมารับหวังเป่าเล่อและดึงให้เขาลุกขึ้น
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก มา เชิญนั่ง” เมื่อเขาพูดจบ เฉินอวี่ถงก็พาหวังเป่าเล่อไปหาที่นั่ง ไม่นานนัก โจวเผิงไห่ก็ชงชาวิญญาณมามอบให้กับทั้งสอง แล้วจึงเดินไปยืนข้างหลังเฉินอวี่ถงอย่างเงียบสงบ
เฉินอวี่ถงเริ่มด้วยการแสดงความยินดีกับหวังเป่าเล่อที่ได้เลื่อนขั้นเป็น ศิษย์เอกอาวุธเวท หลังจากที่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย เฉินอวี่ถงก็หยิบเอาเหรียญตราแสดงตนออกมาอย่างยินดีและมอบให้หวังเป่าเล่อ
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ด้วยศักยภาพของเจ้า ในไม่ช้าเจ้าจะต้องได้เป็นองครักษ์อาวุธเวทอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเป็นหัวหน้าศิษย์เมื่อครั้งอยู่ที่เกาะ มหาปราชญ์ชั้นรองและยังเป็นผู้รับผิดชอบฝ่ายปกครองสำนักอีกด้วย เจ้ามีประสบการณ์มาก ไหนๆ ฝ่ายปกครองสำนักก็ขาดหัวหน้ากลุ่มหลักของศิษย์ ฝ่ายปกครองอยู่หนึ่งตำแหน่งพอดี ข้าเลยสงสัยว่าเจ้าจะยอมรับตำแหน่งนี้เพื่อมา ช่วยข้าหรือไม่” เฉินอวี่ถงมองหน้าหวังเป่าเล่อพลางถามอย่างยิ้มแย้ม
หวังเป่าเล่อถึงกับสะดุ้ง แม้ว่าเขาจะไม่เคยมาเหยียบเจ้ามาที่ฝ่ายปกครองสำนักมาก่อน เขาก็เคยได้อ่านเกี่ยวกับสถานที่นี้มาบ้างจากบนเครือข่ายวิญญาณและเข้าใจดีว่านอกจากเฉินอวี่ถงแล้ว ผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดรองลงมาก็คือหัวหน้าศิษย์ ฝ่ายปกครองกลุ่มหลัก ผู้มีอำนาจสอบสวนผู้อื่นได้
โชคไม่ดีนักที่กลุ่มนี้อยู่ภายใต้อำนาจของเฉินอวี่ถงมาโดยตลอด เขาไม่ยอมสละอำนาจเสียที ผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งต่อไปย่อมมาจากหนึ่งในสี่กลุ่มฝ่ายปกครองหลัก ในแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยหัวหน้า รองหัวหน้า และศิษย์ฝ่ายปกครองสำนักทั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เฉินอวี่ถงต้องการจะส่งผ่านตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ฝ่ายปกครองกลุ่มหลักให้กับหวังเป่าเล่อ
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ผงะ โจวเผิงไห่ในอาภรณ์สีน้ำเงินที่ยืนอยู่หลังเฉินอวี่ถงเองก็ตะตกลึง เขาคิดว่าหวังเป่าเล่อน่าจะได้รับตำแหน่งใกล้เคียงกัน กับเขา คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้รับอำนาจมากมายเพียงนี้ เขาหายใจถี่ขณะที่มองไปทางหวังเป่าเล่อ เขายิ่งรู้สึกสับสนและยังรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ