Skip to content

A World Worth Protecting 173

บทที่ 173 ฟ้าสงบก่อนพายุถล่ม

ลมหายใจของโจวลู่ชะงักเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด นางคาดไว้แล้วว่าหวังเป่าเล่อจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าเขาจะมีหน้ามาเรียกตนเองว่าท่านหญิงคนงามด้วย

คำชมนั่นไม่ได้ช่วยบรรเทาความโกรธในใจหญิงสาวเลยสักนิด นางพ่นลมเยาะ ทว่าเวลานี้ยังไม่ใช่คราวจะมาล้างแค้นกัน นางเขม่นตาจ้องหวังเป่าเล่อแล้วหันไปหาเฉินอวี่ถงพลางลุกขึ้นยืน คำนับให้เขา

“ท่านคงจะเป็นศิษย์พี่เฉินอวี่ถง ขอให้ท่านมอบแผ่นข้อความหยกจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าด้วย” โจวลู่เอ่ยปากอย่างสุภาพ แม้ว่านางจะมีตำแหน่งสูงส่งเพียงใดในกองทัพ ก็ยังต้องแสดงความเคารพคนแบบเฉินอวี่ถงพิเศษกว่าคนปกติทั่วไป

อีกฝ่ายมีทั้งระดับการฝึกตนที่ชวนจับตามองพอๆ กับภูมิหลังของตระกูลที่จากมา การที่ใครสักคนจะเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งรองเจ้าตำหนักอาวุธเวทแบบเขา สถานะของเจ้าตัวสำหรับนอกสำนักเองก็ต้องสูงส่งเอาการ

เฉินอวี่ถงพักความคิดและความรู้สึกทั้งปวงไว้ก่อนแล้วก้าวไปข้างหน้า และหยิบเอาแผ่นข้อความหยกออกมา เขาวางตัวมีมารยาทและอ่อนน้อมแม้โจวลู่จะมีระดับการฝึกตนต่ำกว่า ทำให้โจวลู่รู้สึกดีต่อเฉินอวี่ถงมากยิ่งขึ้น

ดีที่เฉินอวี่ถงวางตัวเป็นสุภาพชนมารยาทงาม ไม่หยาบคายเช่นนี้ เขาเป็นที่      ชื่นชอบในหมู่ศิษย์หญิงชายจำนวนมากเพราะสถานะและระดับการฝึกตน แต่กระนั้นเขากลับครองตนเป็นโสด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่แม้แต่น้อย

บทสนทนาระหว่างโจวลู่กับเฉินอวี่ถงเป็นไปอย่างราบรื่น กองทัพดำเนินการตามสารจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว พวกเขาต้องไปประจำการที่      ปราการย่อยแห่งหนึ่ง พวกเขามีหน้าที่ซ่อมแซมและบูรณะปืนใหญ่สวรรค์ใน        ป้อมปราการแห่งนั้นระหว่างเกิดเหตุอสูรหลั่งไหล

หลังมอบหมายภารกิจเสร็จสิ้น พวกเขาก็ได้รับแผ่นหยกเดินทางปลอดภัยที่กองทัพออกให้ เฉินอวี่ถง หวังเป่าเล่อและคนอื่นที่เหลือเดินออกจากกระโจม โจวลู่จ้องมองด้านหลังหวังเป่าเล่อที่กำลังออกไปเขม็งแล้วแสยะปากเงียบๆ คนเดียว

ข้า โจวลู่ จะไม่ใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบเพื่อล้างแค้นส่วนตัว ถ้าข้าคิดจะทำเช่นนั้น ถลกหนังเขาย่อมง่ายนิดเดียว! เอาเถอะ…อย่างไรข้าก็จะต้องชำระแค้นนี้ให้จงได้!

นางเลื่อนสายตาจากหวังเป่าเล่อแล้วกลับไปทำงานของตน

หลังจากพวกเขาออกจากกระโจมและกลับมาที่เรือบินเพื่อเตรียมตัวมุ่งหน้าไปยังปราการย่อยที่ได้รับมอบหมาย เฉินอวี่ถง โจวเผิงไห่ และซุนฟางก็ได้แต่จ้องมอง    หวังเป่าเล่อ สองคนหลังรู้ดีว่าพวกตนไม่มีสิทธิ์ถามอะไรทั้งนั้น แต่เฉินอวี่ถงกระหายใคร่รู้จนอดมิได้ ต้องเอ่ยถามขึ้นในที่สุด

“เป่าเล่อ เจ้ารู้จักกับเจ้าพนักงานหญิงนางนั้นแน่ๆ เจ้าเจอนางที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณเหมือนกันรึ หรือว่านางพยายามจับเจ้าแก้ผ้าด้วยเหมือนกัน         คงไม่ใช่หรอกกระมัง นางไม่น่าจะเคยเข้าศึกษากับสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า หาไม่แล้วนางคงจะเข้ากองทัพตั้งแต่อายุยังน้อยแบบนี้ไม่ได้ เห็นทีคงมีเส้นสายของตระกูลคอยช่วยอยู่มากกว่า…” เฉินอวี่ถงมองหวังเป่าเล่ออย่างสงสัย

หวังเป่าเล่อกระแอมไอ ในเมื่อตรงนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ เขาตัดสินใจจะไม่ปกปิดความจริงต่อไป เขาหงุดหงิดใจแต่ก็เล่าไป

“นางชื่อโจวลู่ นางไม่ได้จะจับข้าแก้ผ้าหรอก แต่…ข้าเคยเตะก้นนางเข้าครั้งหนึ่ง ข้าจำได้ตอนนั้นว่านางใส่อาภรณ์รัดแนบเนื้อ แล้วแรงเตะข้าก็ไปทำให้แก้มก้นข้างหนึ่งของนางบวมใหญ่กว่าอีกข้าง…เหมือนจากลูกท้อกลายเป็นน้ำเต้าทีเดียว…”

คำอธิบายจากหวังเป่าเล่อทำให้ทั้งสามเห็นภาพชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น โจวเผิงไห่และซุนฟางได้แต่จำนนในใจด้วยความเวทนา พวกเขามองหวังเป่าเล่อพลางคิดว่า   เจ้าอ้วนตรงหน้าพวกตนไปถึงยอดสูงสุดด้านการจีบสาวชนิดทิ้งพวกเขาไม่เห็นฝุ่น

เฉินอวี่ถงยิ้มแปลกๆ ก่อนจะตบบ่าหวังเป่าเล่อ แล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เป่าเล่อ อิสตรีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเจ้าปัญหา คำแนะนำจากข้าคือให้เจ้าหลีกจากพวกนางเอาไว้เป็นดี พวกนางสร้างปัญหามากเกินไป ข้าพูดจากประสบการณ์เลยนะ ดังนั้นเชื่อข้าเถอะ”

หวังเป่าเล่อคิดว่าที่เฉินอวี่ถงพูดฟังดูมีอะไรแปลกๆ แต่เขาไม่ทันได้ไตร่ตรองอะไรต่อ เรือบินก็มาถึงยังปราการย่อยที่พวกเขาได้รับมอบหมายไว้แล้ว

ปราการย่อยนั้นสร้างอยู่บนยอดเขา มองจากไกลๆ เห็นเป็นสีดำสนิทและมีรูปร่างเหมือนจันทร์โลหะครึ่งเสี้ยวขนาดใหญ่ยักษ์ สูงค้ำกว่าร้อยเมตรและกว้างกว่าสามพันเมตร ฝั่งที่หันเข้าหาผืนป่าดึกดำบรรพ์ตีเป็นโค้ง ก่อนแผ่เส้นทางนับร้อยออกมาจรดยังลานรูปพระจันทร์กลมโต โครงสร้างทั้งหมดแลดูเหมือนช้อนขนาดใหญ่จำนวนมาก

บนลานรูปพระจันทร์สุดทางเดินแต่ละสายมีปืนใหญ่สวรรค์ตั้งอยู่ ลำกล้องปืน   ยกสูงขึ้นหาฟ้าประมาณสามสิบเมตร แต่ละลานมีนักรบประจำการอยู่มากมาย       นับจำนวนได้ประมาณพันคน

นักรบบางคนมีหน้าที่ซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์ คนอื่นมีหน้าที่ปราบปรามอสูรในช่วงเหตุอสูรหลั่งไหลและคอยยับยั้งมิให้ฝูงอสูรฝ่าทะลวงเข้ามาทำลาย              ปืนใหญ่สวรรค์ได้

ที่ต้องแบ่งสรรปันส่วนเช่นนั้นเพราะปืนใหญ่สวรรค์ต้องมีคนคอยคุ้มกัน          และติดตั้งไว้ใกล้ปราการเกินไปไม่ได้ เพราะหากมันเสียหายขึ้นมา จะก่อให้เกิด      แรงระเบิดพลังทำลายล้างสูงทีเดียว

ทั้งสองด้านของปราการในช่วงระยะของแนวเขามีม่านพลังกึ่งโปร่งแสงพลิ้วไหวให้เห็นอยู่ และขยายออกทั้งสองด้านเหมือนเกราะคุ้มกันที่ทั้งป้องกันพวกอสูรที่มาจากแดนป่า และยังเชื่อมปราการทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปเข้าไว้ด้วยกัน

หากยืนบนยอดสูงสุดของป้อมปราการแล้วมองลงไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า จะเห็นปราการย่อยทั้งหลายไกลออกไปเหมือนจุดเล็กๆ รายล้อมปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดและอยู่ภายในปราณเวทคุ้มกันขนาดใหญ่อีกที ป้อมปราการทั้งหลายส่องแสงเป็นประกายสวยงาม

นอกจากจะป้องกันการรุกรานจากเหตุอสูรหลั่งไหลแล้ว ปราการย่อยยังมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้วงแหวนปราณของปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดถูกโจมตีอีกด้วย ไม่ว่าเหตุอสูรหลั่งไหลจะผุดขึ้นมาจากทิศใดก็ตาม พลังวิญญาณที่เกิดจากวงแหวนปราณถูกโจมตีก็จะกระจายออกสู่ปราการย่อยทั้งหลายด้วย กลยุทธ์นี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของวงแหวนปราณป้องกันให้มากยิ่งขึ้น

ปราการย่อยจึงดูเหมือนเป็นจุดที่ทะลวงผ่านได้ในสายตาพวกอสูร ฉะนั้นจึงต้องมีปืนใหญ่สวรรค์ติดตั้งไว้ในทุกปราการย่อย แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากเท่าปราการ      ด่านหน้า แต่ก็นับว่ามีหลายร้อย นอกจากนั้นยังมีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเอาไว้ส่งหรือรับกำลังเสริมได้ทันท่วงทีหากมีการแจ้งเหตุร้ายขึ้นมา

มีปราการย่อยที่คุ้มกันปราการด่านหน้าเช่นนี้อยู่อีกหลายร้อยแห่ง รวมกันเป็นประตูหลวงลำดับเจ็ดของสหพันธรัฐอันเปรียบเหมือนกำแพงที่ไม่อาจทะลวงได้       ตั้งตระหง่านต้านเหตุอสูรหลั่งไหลนับไม่ถ้วนมาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยแพ้ในสักศึกเดียว

เรือบินลดระดับลงจอดในปราการ หวังเป่าเล่อกับพรรคพวกได้พบกับผู้บังคับบัญชาประจำหน่วยของตน เขาเป็นชายตัวใหญ่ล่ำเคราหนา ไม่ช้าพวกเขาก็ทำความคุ้นเคยกับผู้คนในปราการย่อยแห่งนั้น

เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามวัน

ตลอดสามวันนั้น หวังเป่าเล่อแทบไม่มีเวลาฝึกตนเลย เขาติดสอยห้อยตามเฉินอวี่ถงไปตรวจสอบสภาพปืนใหญ่สวรรค์ส่วนหนึ่ง

ศิษย์หลายคนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าถูกส่งตัวมายังปราการย่อยแห่งนี้       ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกตนสาขาการยุทธ์ แต่บรรดานักหลอมโอสถและนักหลอม            วงแหวนปราณ รวมถึงผู้ฝึกตนจากสายอื่นก็มีอยู่เช่นกัน

ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง นักหลอมอาวุธเวทมีหน้าที่ซ่อมแซมและกู้สภาพ       ปืนใหญ่สวรรค์ เมื่อรวมหวังเป่าเล่อและพรรคพวกแล้วมีอยู่ประมาณมากกว่าสิบชีวิต ทุกคนแยกย้ายกันซ่อมปืนใหญ่ กลุ่มหวังเป่าเล่อได้ดูแลเพียงสามสิบกระบอก

ถือว่าเป็นจำนวนน้อยทีเดียว แต่ปืนใหญ่สวรรค์เป็นเครื่องจักรที่มีความซับซ้อนสูง ตลอดสามวันมานี้ หวังเป่าเล่อศึกษาและตรวจสอบเครื่องจักรไม่หยุดหย่อน           เขาตกตะลึงกับโครงสร้างของปืนใหญ่ทันทีที่ได้เห็น

ปืนใหญ่สวรรค์ทุกกระบอกหลอมขึ้นมาจากสมบัติเวทกว่าร้อยชิ้นประกอบส่วนกัน    แต่ละชิ้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเครื่องจักร เมื่อปืนใหญ่สวรรค์ทำงาน พลังที่ปล่อยออกมาจึงทรงพลังประหนึ่งสมบัติเวททั้งหมดมารวมกัน

หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ผู้ฝึกตนธรรมดาไม่มีทางจัดการมันได้ เพราะความซับซ้อนที่ว่ามา นักรบที่นี่ไม่มีคุณสมบัติจะซ่อมแซมสมบัติเวท กระทั่งหวังเป่าเล่อ    โจวเผิงไห่ และซุนฟางเองยังทำได้แค่เป็นผู้ช่วย แล้วให้หน้าที่ซ่อมแซมและบูรณะ     ปืนใหญ่เหล่านี้ตกอยู่ที่เฉินอวี่ถงเป็นหลัก

กระนั้นหวังเป่าเล่อเองก็พอจะหลอมสมบัติเวทได้แล้วเหมือนกัน ในระหว่างที่เขาศึกษาปืนใหญ่สวรรค์มาตลอดสามวันนี้ ความเข้าใจในสมบัติเวทประกอบส่วนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เฉินอวี่ถงตกตะลึงจนเชื่อมั่นพอจะให้หวังเป่าเล่อทำงานซ่อมแซมเอง ซึ่งช่วยลดปริมาณงานของกลุ่มไปได้พอสมควร

พวกเขายุ่งกับงานไปทั้งสัปดาห์ กว่ากลุ่มของหวังเป่าเล่อจะได้พักหายใจก็ตอนที่พวกเขาตรวจสอบปืนใหญ่สวรรค์ทุกกระบอก ซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่ที่จำเป็นจนหมดแล้ว

ณ จุดนั้นพวกเขาก็ถือว่าทำภารกิจสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งคือดูแลให้แน่ใจว่าปืนใหญ่ทำงานราบรื่นดีระหว่างช่วงเหตุอสูรหลั่งไหล

ในช่วงที่ใกล้จะเกิดเหตุอสูรหลั่งไหล เฉินอวี่ถงใช้เวลาส่วนใหญ่ผูกมิตรกับ      ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าแห่งอื่น โจวเผิงไห่รีบตามรอยเขาทันที ส่วนซุนฟางก็ไป       ตีสนิทกับเจ้าพนักงานของกองทัพบ้าง

มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ชอบคบค้าสมาคมกับเหล่านักรบมากกว่าผู้บัญชาการกองทัพ ระหว่างช่วงสัปดาห์นั้น มีหลายครั้งที่เขาค้นพบว่านักรบจำนวนมากเพิ่งบรรลุระดับการฝึกตนโบราณเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเทียบหวังเป่าเล่อไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เวลาที่พวกเขามองมายังชายหนุ่ม นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความชื่นชมและประสงค์จะปกป้องคุ้มครอง

พวกเขาไม่อยากได้รับการปกป้อง แต่อยากเป็นฝ่ายปกป้องหวังเป่าเล่อ หรือพูดให้ถูกก็คืออยากปกป้องผู้ฝึกตนอย่างหวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง!

พอหวังเป่าเล่อเจอการอารักขาเช่นนี้เข้าก็ทำเอาตัวสั่นไปเหมือนกัน

ทั้งที่เป็นถึงผู้ฝึกตนแท้ๆ แต่นักรบระดับการฝึกตนโบราณยังคิดจะเป็น            ฝ่ายปกป้องเขาเสียอีก

ในสายตาพวกเขา ผู้ฝึกตนมีจำนวนน้อยและหายากยิ่ง แต่ละคนล้วนเป็นตัวแทนของความหวัง พวกเขาจึงเต็มใจจะปกป้องผู้ฝึกตนทุกคนด้วยทุกอย่างที่มี!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ฝึกตนที่หลอมและบูรณะปืนใหญ่สวรรค์ได้!

เมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใจ ก็บังเกิดความรู้สึกแปลกๆ อธิบายไม่ถูกขึ้นในใจของ      ชายหนุ่ม เขาเห็นนักรบหลายคนอายุเท่าเขา แต่มีรอยแผลเป็นทั่วตัว รวมถึงร่องรอยบนวัตถุเวทที่บ่งบอกว่าผ่านความเสียหายและได้รับการซ่อมแซมมานับครั้งไม่ถ้วน

ในตอนที่เขากำลังฝึกตนอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ คนพวกนี้ต้องสู้สุดชีวิตกับพวกอสูรร้าย

คนเหล่านี้คือนักรบที่อุทิศเลือดและชีวิตแลกกับเวลาให้ผู้ฝึกตนได้เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น และให้คนธรรมดาได้อยู่กันสงบสุข

เมื่อภารกิจของพวกเขาเริ่มเบาลง หวังเป่าเล่อจึงเลือกเข้าหานักรบเหล่านี้      และช่วยซ่อมแซมบูรณะจุดบกพร่องที่เกิดกับวัตถุเวทของพวกเขาอย่างสุดความสามารถ ฝีมือของหวังเป่าเล่อและนิสัยส่วนตัวของเขา ทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ สนิทสนมคุ้นเคยกับพวกนักรบมากขึ้น

เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นเคยกันดีแล้ว หลายครั้งหวังเป่าเล่อก็เผลอลืมไปสนิทว่าตนเองมีสถานะเป็นถึงผู้ฝึกตน ตอนที่อยู่กับพวกนักรบ เขาเป็นเหมือนคนละคน      โดยสิ้นเชิง

“เข้ามาเลย ใครบอกกันว่าข้างัดข้อสู้เขาไม่ได้ มาลองดูกันวันนี้เลยดีกว่า คนแพ้ต้องซักถุงเท้าให้ทุกคนนะ!” ตรงจัตุรัสเปิดด้านนอกค่ายทหารซึ่งมีนักรบรวมตัวกันอยู่ประมาณร้อยคน มีเสียงหัวเราะและโห่ร้องปลุกขวัญดังก้อง หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงนั้น เขาฟาดกำปั้นของชายกล้ามหนาลงกับโต๊ะจนอีกฝ่ายหน้าบูดเบี้ยว ก่อนจะร้องตะโกนออกมาด้วยความสะใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!