บทที่ 174 เหตุอสูรหลั่งไหลอุบัติขึ้น
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว พวกชอบท้าทายก้าวออกมาข้างหน้าของัดข้อกับ หวังเป่าเล่ออีกรอบ พวกเขาตกลงกันไว้แต่แรกว่าห้ามหวังเป่าเล่อใช้ปราณวิญญาณ ให้ใช้ได้เพียงกำลังกายเท่านั้น
นักรบที่ก้าวออกมาล้วนอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นบำรุงชีพจร พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับหวังเป่าเล่อไปทีละราย ต่างจากไปพร้อมกับใบหน้าบูดเบี้ยว รอบแล้วรอบเล่าผ่านไปพร้อมกับเสียงเย้ยหยันกันอย่างฉันท์มิตร
“หวังเป่าเล่อ เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าเป็นนักหลอมอาวุธเวท ไม่ใช่ผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์”
“ข้าได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าสามารถเสริมสมรรถภาพของร่างกายได้ ไม่เห็นเคยได้ยินว่านักหลอมอาวุธเวทก็ทำได้เหมือนกัน”
พอได้ยินผู้คนว่าเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตบท้องอวด
“ทั้งหมดมาจากรูปร่างหน้าตาข้าทั้งนั้น พวกเจ้าก็รู้ว่าคนหน้าตาดีมักเป็นอัจฉริยะ” หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขาเริ่มปล่อยตัวเองไปกับบรรยากาศรื่นเริง พลางหยิบเอาถุงขนมออกมาสวาปาม
พวกนักรบรอบๆ หัวเราะ พอได้ยินหวังเป่าเล่อตอบ ก็ยิ่งล้อเลียนชายหนุ่มกันหนักขึ้น แต่หวังเป่าเล่อหน้าหนา ไม่เคยสะเทือนเวลาเจอคำหยอกเย้าไร้พิษภัย เขาเริ่มหยิบขนมออกมาเพิ่มแล้วแจกจ่ายให้พวกนักรบ ไม่ช้าทุกคนก็นั่งกินขนมด้วยกัน
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะไม่กินขนมเจ้าเปล่าๆ หรอก เจ้ามีคนรักหรือยัง ข้ามีน้องสาวนะ สนใจให้ข้าแนะนำนางให้เจ้าไหมพอข้ากลับไปเยี่ยมบ้าน ข้าบอกไว้เลยนะ น้องข้า สวยมาก!” ชายกล้ามโตที่แพ้ให้หวังเป่าเล่อไปเมื่อครู่ฉีกยิ้มแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจขณะกินขนมของหวังเป่าเล่อไปด้วย
หวังเป่าเล่ออึ้งไปชั่วขณะ เขาใช้ชีวิตมาจนอายุเท่านี้แล้ว ก็เพิ่งจะเคยได้ยินอะไรแบบนี้นี่เอง
“เจ้าจะจับคู่ให้ข้าอย่างนั้นรึ”
พอคนอื่นได้ยินหวังเป่าเล่อกับชายคนนั้นคุยกัน พวกเขาก็เริ่มโห่ร้องอีกรอบ ชายคนนั้นคงลืมไปแล้วว่าตนเคยบอกคนไว้กี่คนว่าจะแนะนำน้องสาวตนให้ ทุกครั้งที่มีใครมอบของขวัญหรือทำอะไรบางอย่างให้เขา เขาเป็นจะต้องแนะนำน้องสาวตัวเองให้คนๆ นั้นอยู่ร่ำไป พอเขาพูดเช่นนั้นขึ้นมาอีกจึงทำให้คนอื่นเข้ามาล้อไม่หยุด
พอได้ยินที่ทุกคนพูดกัน หวังเป่าเล่อก็อดขำไม่ได้ ชายกล้ามโตพ่นขำแล้ว ยัดอาหารเข้าปากตัวเองต่ออย่างไร้ยางอาย
คนจำนวนมากนั่งกินขนมอยู่ด้วยกัน เสียงเคี้ยวดังจนดึงความสนใจเหล่า นักรบตรวจการที่เดินผ่านมา พวกเขาพลอยหัวเราะไปด้วยพอเห็นหวังเป่าเล่อ ช่วงนี้ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อแพร่กระจายไปไกลเป็นวงกว้างทั่วทั้งค่าย ไม่มีใครไม่รู้จักเขา
เขาต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่น นักรบพวกนี้ไม่โง่ พวกเขาดูออกว่าหวังเป่าเล่อจริงใจอยากเป็นเพื่อนกับพวกตน และนิสัยเขาก็น่าคบหา ตั้งแต่เขามาถึง ปราการก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะมากกว่าที่ผ่านมา
เจ้าพนักงานของกองทัพเองยังให้ความสนใจ ซึ่งรวมถึงผู้บัญชาการเคราหนาด้วย พวกเขายิ่งประทับใจในตัวหวังเป่าเล่อเข้าไปอีก
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างราบรื่น หวังเป่าเล่อเริ่มปรับตัวเข้ากับเหล่านักรบทั้งหลายได้อย่างกลมกลืน ตอนนั้นเอง…เหตุอสูรหลั่งไหลก็มาถึง!
มีเสียงแหลมเสียดหูดังขึ้นในคืนหนึ่ง ปลุกทุกคนที่กำลังพักผ่อนอยู่ทั่วปราการ พวกเขารีบถลาตัวออกมาดูท้องฟ้าเหนือปราการ
หวังเป่าเล่อกำลังขมักเขม้นอยู่กับการฝึกตน ชายหนุ่มเบิกตาโพลงแล้วรีบออกจากที่พัก เขาได้ยินเสียงสัญญาณเตือนทิ่มแทงโสตประสาทและเห็นนักรบจำนวนหนึ่งในปราการเดินหน้าออกไปเป็นระเบียบและว่องไว มุ่งหน้าสู่สิ่งก่อสร้างทรงช้อนและลานปืนใหญ่สวรรค์ทั้งหลายที่เชื่อมต่อกับปราการย่อยอีกที
ภาพตรงหน้าทำให้เขาสร่างจากอาการง่วงงุน ร่างกายชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะพุ่งตัวไปสุดแรง เมื่อเขาไปถึงสุดขอบปราการ เขามองยังด้านนอก ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาเขาก็หรี่ลงลง ทั้งร่างพลันแข็งทื่อขึ้นมาทันที
พ้นปราการไป ณ ชายป่าดึกดำบรรพ์ มีไอหมอกลอยเอื่อยอยู่ระหว่างสวรรค์กับพิภพ หมอกขมุกขมัวทำให้เห็นเพียงร่างอสูรดุร้ายจำนวนมากเพียงเลือนราง ฝูงอสูรคำรามก้องกัมปนาทกำลังมุ่งหน้าเข้าใส่ปราการ
อสูรแต่ละตัวยาวประมาณสามถึงเจ็ดเมตร ทุกตัวหน้าตาแตกต่างกันออกไปและมีความเร็วไม่เท่ากัน แต่ทุกตัวแผ่มวลพลังป่าเถื่อนและดุร้ายออกมา ทั้งยังส่งกลิ่น คาวเลือดคละคลุ้งโชยมาในอากาศ
พวกมันดูสกปรก หน้าตาสยดสยอง บางตัวเป็นหมาป่าสองหัว บางตัวเป็นจระเข้มีกระดูกแหลมนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากตัว แถมยังมีพวกอสูรหน้าตาพิลึกพิลั่นที่ หวังเป่าเล่อบอกไม่ได้อีกว่าเป็นตัวอะไร
ในหมู่อสูรเหล่านั้น มีอสูรตัวหนึ่งสูงตระหง่านถึงยี่สิบเมตร ไม่ว่าจะเป็นหมีดุร้าย ช้างยักษ์ หรืออสูรตัวมหึมาหน้าตาเหมือนไดโนเสาร์ พวกมันมีจำนวนมากเหลือเกิน
หวังเป่าเล่อถึงกับชะงักไป เมื่อได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนยักษ์ตนหนึ่ง สูงถึงสามสิบเมตร ถือกิ่งไม้ยาวทะลวงสวรรค์เดินอยู่ในหมู่อสูรหลั่งไหลไกลลิบๆ ร่างของพวกมันเขย่าขวัญในทุกย่างก้าวที่เหยียบย่าง
ยิ่งพวกมันเข้ามาใกล้ แผ่นดินก็สั่นไหวสะเทือน หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่บนยอดปราการสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงขึ้น กระเทือนผ่านแผ่นผืนภูเขาใต้เท้าตน
บนผืนฟ้า ฝูงอสูรดุร้ายรวมตัวกันมาเหมือนก้อนเมฆทมิฬบนฟ้าคะนอง เคลื่อนทัพเข้ามาพร้อมกับบรรดาอสูรหลั่งไหลบนพื้นดิน พวกมันดูเหมือนอุทกภัยที่พร้อมจะกวาดล้างทุกอย่างตรงหน้าให้หมดสิ้น
หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยเห็นเหตุอสูรหลั่งไหลกับตาเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นฝูงอสูรใหญ่ขนาดนี้มาก่อนด้วย เขานับคร่าวๆ จึงรู้ว่ามีสัตว์อสูรมากกว่า หนึ่งล้านตัวเลยทีเดียว!
แม้แต่ตัวที่ดูอ่อนแอที่สุดในฝูงนั้นก็เปรียบได้กับผู้ฝึกตนขั้นผนึกกายา แล้วไหนยังจะตัวที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ากำลังเจอกับผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้นั่นอีก!
ภาพเช่นนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อสติกระเจิง และยังส่งความกลัวเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของผู้ฝึกตนจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าทุกคนที่มาเข้าร่วมเหตุอสูรหลั่งไหลกันเป็น ครั้งแรกเช่นกันกับเขา
ตอนนั้นเอง ก็บังเกิดเสียงกู่ร้องกึกก้องอวลด้วยความป่าเถื่อนโหดร้ายดังมาจากภายในปราการ เสียงของผู้บัญชาการเคราหนาคนนั้นนั่นเอง
“เหตุอสูรหลั่งไหลเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ยิงปืนใหญ่สวรรค์ของเราไปให้มันกลัว เสียหน่อยคงจะดี!”
ผู้บัญชาการเคราหนาพูดเสียงดังกังวาน บนลานพ้นนอกปราการที่มีปืนใหญ่สวรรค์ นับร้อยตั้งอยู่ เหล่านักรบที่รวมตัวกันอยู่รอบปืนใหญ่เริ่มระดมยิง ทั้งปราการสั่นไหวรุนแรง เสียงคำรามเหมือนฟ้าร้องดังมาจากปืนใหญ่สวรรค์กว่าร้อยกระบอก เสียงนั้นสะเทือนในอากาศ ระเบิดพุ่งออกจากปืนใหญ่ไปข้างหน้า ระเบิดพวกนั้นตามมาด้วยเสียงเหมือนอสูรโลหะกำลังคำราม เมื่อปืนใหญ่สวรรค์หลายร้อยกระบอกยิงไป พร้อมกัน ก็เกิดเป็นลำแสง ลำแสงซึ่งอาบด้วยปราณวิญญาณหนาและแผ่ พลังวิญญาณน่าเกรงขามเกินหยั่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ก็ยังไม่รอดถ้าหากโดนปืนใหญ่เหล่านี้จัดการ พวกเขามีแต่ต้องสลายเป็นผุยผงไปในทันที!
และบัดนี้มีปืนใหญ่สวรรค์กว่าร้อยกระบอกยิงออกไปพร้อมกัน พลังมหาศาลสั่นสะเทือนทุกคนจนถึงก้นบึ้งหัวใจ!
หวังเป่าเล่อมองลำแสงร้อยกว่าลำแสงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วน่าทึ่งเข้าใส่เหตุอสูรหลั่งไหล สวรรค์เคลื่อนปฐพีสะท้าน คลื่นลมตีซัดออกไปเหมือนพายุหมุนกวาดผ่านปราการพัดเรือนผมทุกคนยุ่งเหยิง หวังเป่าเล่อหายใจถี่กระชั้น เสียงอื้ออึงดังขึ้นในหู เขามองไปยังตำแหน่งที่ลำแสงตกลง ส่วนหนึ่งของผืนป่าปลาสนาการหายไปสิ้น
ลำแสงอื่นพุ่งตามกันไป พวกอสูรส่งเสียงร้องคำรามโหยหวนแล้วกลายเป็นฝุ่นผง!
ท้องฟ้ามืดครึ้มลง ยักษ์ตนหนึ่งโดนลำแสงจากปืนใหญ่เข้าโดยตรงแล้วล้มตึงลงในทันที!
อสูรหน้าตาชวนพรั่นพรึงบนฟ้าโดนปืนใหญ่สวรรค์ยิงกวาดหายไปประมาณสามส่วน ภายในระยะเวลาไม่นาน ปืนใหญ่สวรรค์ก็หยุดระดมยิง สมรภูมิรบถูกเผาไหม้เป็นบริเวณกว้าง เหตุอสูรหลั่งไหลถูกยิงเตลิดเปิดเปิง พวกอสูรที่รอดมาได้ยังไม่หยุด ส่งเสียงกู่ร้องดิบเถื่อนและกระหายเลือด ฝูงของพวกมันเล็กลงและเคลื่อนไหว อย่างรวดเร็ว ดิ่งตรงเข้าใส่ปราการทันที
“เจ้าพวกไร้สมอง!” ผู้บัญชาการเคราหนาพ่นลมเยาะแล้วออกคำสั่ง
“กองพลปืนใหญ่สวรรค์ ยิงได้! เล็งไปที่อสูรตัวใหญ่ ข้าต้องการให้พวกมันหายไปให้หมด!
“กองทัพที่หนึ่ง ยกพลเดี๋ยวนี้!” เจ้าพนักงานกองทัพปฏิบัติตามคำสั่งของ ผู้บัญชาการเคราหนา ไม่นานหวังเป่าเล่อก็ได้เห็นนักรบนับแสนเคลื่อนกำลังพลออกมาจากประตูปราการ!
นักรบร่วมแสนคนสวมชุดเกราะถือวัตถุเวท บรรยากาศกระหายเลือดยิ่งขับเน้นเด่นชัด ผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าต่างพุ่งออกไปสมทบเช่นกัน พวกเขาปะทะเข้ากับฝูงอสูรหน้าปราการ และแล้ว…การสังหารหมู่ก็เริ่มต้น!
ปืนใหญ่สวรรค์ยิงไปทั่วทุกสารทิศ เล็งเป้าใส่อสูรร่างสูงประมาณยี่สิบเมตร สถานการณ์ในสนามรบดูไม่แน่นอน แต่แท้จริงแล้วเหตุอสูรหลั่งไหลกำลังพังทลายและสลายลงอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกตนด้านวงแหวนปราณและผู้ฝึกตนด้านฝึกอสูรจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า ก็เข้าไปสมทบด้วยเช่นกัน สนามรบกลายเป็นความโกลาหลสนั่นแผ่นดิน หวังเป่าเล่อและนักหลอมอาวุธเวทคนอื่นต่างมีหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาต้องคอยซ่อมแซม ปืนใหญ่สวรรค์ที่พวกตนดูแล ให้แน่ใจว่าปืนใหญ่อยู่ในสภาพดีที่สุด
เฉินอวี่ถงนำโจวเผิงไห่ที่ตัวแข็งทื่อและซุนฟางที่หายใจหนักหน่วงไปดูแลปืนใหญ่สวรรค์ยี่สิบกระบอก ส่วนหวังเป่าเล่อเองต้องรับผิดชอบอีกสิบกระบอกที่เหลือ
หวังเป่าเล่อเดินจากลานหนึ่งไปอีกลานหนึ่ง คอยตรวจสภาพปืนใหญ่พลางจับตามองสนามรบไปด้วย เสียงคำรามของอสูรและมนุษย์ดังประสานกับเสียงระเบิดดังก้องในหู เขาค่อยๆ สงบจิตใจลงให้หายตื่นกลัวจากภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ ความกระหายอยากต่อสู้ผุดขึ้นมา เพียงโบกมือเบาๆ ยุงเก้าตัวก็ปรากฏออกมาแล้วพุ่งออกจาก มือของเขาพุ่งเข้าไปยังสนามรบทันที