บทที่ 175 คันเกินทน
นักหลอมอาวุธเวทไม่ได้เสี่ยงอันตรายโดยตรง แต่ต้องแบกรับความกดดันจาก ทุกคน ที่ต้องพึ่งพาความสามารถของพวกเขา รวมถึงปริมาณงานอันมหาศาล โดยเฉพาะสำหรับหวังเป่าเล่อ เพราะเขาคนเดียวดูแลปืนใหญ่สวรรค์ถึงสิบกระบอก เขาใช้เวลากับลานใดลานหนึ่งนานเกินไปไม่ได้เลย
หลังจากตรวจสอบสภาพเรียบร้อยแล้ว เขาต้องรีบรุดไปยังลานถัดไป คอยสอดส่องโดยละเอียดไปพร้อมกันด้วยว่ามีปืนใหญ่สวรรค์กระบอกใดมี อาการผิดปกติหรือเปล่า ถ้ามีปัญหาเขาก็ต้องไปจัดการทันที และหากเขาแก้ไข อาการผิดปกติไม่ได้ก็ต้องตะโกนเรียกให้เฉินอวี่ถงมาช่วยโดยด่วน
ถ้าเขาย้อนเส้นทางกลับไปยังปราการย่อย ก่อนเดินทางไปยังลานต่อไปจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ หวังเป่าเล่อจึงเรียกเรือบินของตนออกมา แล้วบินไปรอบบริเวณพื้นนอกปราการ สัญจรไปมาระหว่างลานปืนใหญ่ทั้งสิบ เขามีเวลาพักหายใจครู่หนึ่งจึงลองเรียกยุงทั้งเก้าออกมา หมายจะทดลองใช้งานพวกมันดู
ตอนนั้นเองที่ปืนใหญ่สวรรค์กระบอกหนึ่งเริ่มสั่นน่ากลัว หวังเป่าเล่อ หยุดความคิดที่จะควบคุมพวกยุงไว้ก่อน แล้วรุดหน้าไปยังลานปืนใหญ่สวรรค์ท่าทางไม่ดีกระบอกนั้น เขาจึงทำได้เพียงสั่งการลวกๆ ให้พวกยุงไปกัดเหล่าอสูรระดับ ลมหายใจเที่ยงแท้ เขาไม่มีเวลามาเสียกับพวกมันในตอนนี้
ยุงทั้งเก้าตัวบินถลาออกไปในสนามรบเพื่อล่าเหยื่อทันที
พวกมันกำหนดเป้าหมายได้ในเวลาไม่นาน อสูรรูปร่างเสือดาว ระดับสูงกว่าผู้ใช้ปราณระดับการฝึกตนโบราณ มวลพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของมันเทียบเท่ากับ ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ รูปร่างน่าเกรงขามขยับคล่องแคล่วว่องไวผ่านสนามรบ
อสูรตนนั้นเจ้าเล่ห์นัก มันหลบการโจมตีจากผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จากสี่ยอด สำนักศึกษาเต๋า และเล็งเฉพาะนักรบระดับการฝึกตนโบราณแทน เพียงแค่กระโจนร่างมันก็ทะยานไปข้างหน้าแล้วเข้ากระชากคอบรรดานักรบเหล่านั้นขาดสะบั้น ก่อนจะหนีหายไปในชั่วพริบตา
ตอนนี้เสือดาวตัวนั้นฉายแววเยือกเย็นในดวงตา มันหลบการโจมตีจากผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าแล้วเลียปากตัวเอง ดวงตาหรี่จ้องลำคอหนาของนักรบวัยกลางคน ชายคนนั้นกำลังสู้กับอสูรระดับการฝึกตนโบราณอย่างดุดันอยู่
จังหวะที่มันพุ่งตัวออกไปนั้นเอง ยุงทั้งเก้าตัวก็โผล่เข้าไปใกล้ พวกมันร่อนลงบนตัวเจ้าอสูรเสือดาวโดยที่มันไม่ทันรู้ตัว ตอนแรกจะงอยปากของพวกมันแลดูไม่น่า เจาะทะลุผิวหนังปกคลุมด้วยขนนั้นได้ แต่ไม่ช้ามันก็เริ่มงอกยาวขึ้น และแทงทะลุ ขนดกเข้าไปในร่างของเจ้าเสือดาวจนได้ ยุงทั้งเก้าตัวดูดเลือดแล้วบินหนีออกไปในพริบตาต่อมา
ในขณะที่พวกมันบินทิ้งระยะห่าง มีแสงไฟสว่างจ้าระเบิดขึ้น เสือดาวที่พุ่งเข้าใส่นักรบวัยกลางคนทำตาเบิกกว้าง ร่างของมันกระตุกขณะกระโจน ลำคอมันส่งเสียงร้องโหยหวนทรมาน ร่างที่กำลังพุ่งตัวสั่นไหวแล้วเปลี่ยนทิศทาง พุ่งหัวโหม่งพื้นเสียอย่างนั้น!
เสือดาวกระแทกกับพื้นแล้วเริ่มกู่ร้องบ้าคลั่ง ร่างกายของมันบิดไปมาไม่หยุด อุ้งมือปัดป่ายหมายจะเกาตัวเอง เหมือนมันเกิดอาการคันคะเยอไปทั่วเกินควบคุม อาการคันรุนแรงเหมือนจะแผ่ลึกจากกระดูกไปยังวิญญาณ ทำให้เสือดาวที่ ระดับเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ส่งเสียงร้องทรมาน กำลังรบหดหายไปเกือบสิ้น ราวกับโดนแมลงนับไม่ถ้วนกัดทั้งข้างในและข้างนอกร่างกาย ดวงตามันฉายแววหวาดกลัว
อสูรเสือดาวตนนั้นพยายามจะยืนขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ อาการคันนั้นเกินบรรยาย มันได้แต่ร้องเหมือนเสียสติ แต่ก็ร้องต่อไปได้อีกไม่นานนัก ผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์จาก สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าสังเกตเห็นพฤติกรรมประหลาดของมันเสียก่อน จึงรีบปรี่เข้าไปหาแล้วเอากระบี่แทงทะลุหน้าผากเสือดาวตนนั้น!
“อะไรกัน!” พอเห็นว่าเสือดาวไม่แม้แต่พยายามจะหลบการโจมตีและปล่อยตัวเองโดนฆ่าง่ายๆ ผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์ผู้นั้นก็ตัวแข็งทื่อ เขาไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลต่อเพราะต้องถอยไปโจมตีอสูรตนอื่นแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนคลื่นเล็กๆ กลางกระแสมหาสมุทร น้อยคนนักจะสนใจ กระทั่งหวังเป่าเล่อเองยังวุ่นกับงานตรวจสภาพปืนใหญ่สวรรค์ทำงานผิดปกติ ไม่มีเวลาแม้แต่จะตรวจสอบการทำงานของยุงพวกนั้น พวกมันทั้งเก้าจึงยังบินว่อนในสนามรบต่อไป
ความรุนแรงแผ่กระจายทั่วทั้งสนามรบ กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลอยู่ในอากาศ เสียงกู่ร้องเดือดดาลดังก้องพื้นสนาม บาดแผลและความตายมีให้เห็นอยู่ทุกแห่งหน แต่ยุงทั้งเก้าทั้งว่องไวและเล็กกระจิดริดนัก ไม่ว่าจะผู้ฝึกตน นักรบ หรืออสูรก็ ต่างแทบไม่สังเกตเห็นพวกมัน
พวกมันเคลื่อนไหวอย่างแนบเนียน ยุงทั้งเก้าทำตามคำสั่งจากหวังเป่าเล่อได้สมบูรณ์แบบโดยไม่ตกเป็นเป้าความสนใจ พวกมันเริ่มกัดอสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้ที่ปรากฏตรงหน้ากันตัวแล้วตัวเล่าอย่างบ้าระห่ำ
ปรากฏการณ์แปลกๆ เริ่มบังเกิดขึ้นต่อเนื่องในสนามรบ อสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้หลายตัว ตอนแรกล้วนดูไม่มีอะไรผิดปกติและเข้ามาสู้ดุเดือดด้วยกำลังรบมหาศาล จู่ๆ ก็ตาเหลือกโตแล้วล้มตึงลงกับพื้น ส่งเสียงร้องครวญครางทรมาน ดีดดิ้นกันบ้าคลั่งเหมือนจะพยายามเกาอาการคันที่เกิดขึ้น
อสูรตัวที่เอื้อมแตะจุดที่คันคะเยอได้ ต่างก็เริ่มเกาแก้อาการคันเกินพรรณนา เหมือนว่ากำลังพยายามจะเฉือนตัดเนื้อตัวเองจนผิวหนังถลอกปอกเปิดไปหมด
ตัวที่คลายอาการคันไม่ได้ล้วนคลุ้มคลั่ง ส่งเสียงร้องโหยหวนเสียสติ ไม่แยกมิตรหรือศัตรูแล้วพุ่งเข้าใส่ทุกสิ่งทุกอย่าง ฉีกกระชากอสูรด้วยกันเองที่อยู่รอบด้าน
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมกันแล้วก็หลายครั้ง เหมือนมีโรคระบาดในหมู่อสูรพวกนั้น หลายคนสังเกตเห็นต่างก็พากันตะลึงงันไปสนิท
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกอสูรมันเสียสติกันไปแล้วหรือ มันทำอะไรกันน่ะ คันคะเยออย่างนั้นรึ”
“นี่ข้าเห็นภาพหลอนไปเองหรือเปล่า”
ทั้งนักรบและผู้ฝึกตนต่างส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นพวกอสูร ทำตัวประหลาดกันมากขึ้น โดยเฉพาะพวกนักรบบนลานปืนใหญ่สวรรค์ พวกเขายืนอยู่ตรงตำแหน่งสูงจึงเห็นภาพใหญ่ ทุกคนต่างยืนนิ่งไม่อยากเชื่อสายตา
พวกเขาผ่านการทำศึกกับอสูรมานับครั้งไม่ถ้วน ต่อสู้กับอสูรมาตลอดทั้งปี แต่ไม่เคยมีใครเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
ทางด้านหวังเป่าเล่อที่เพิ่งซ่อมแซมปืนใหญ่สวรรค์เสร็จ ก็โงศีรษะขึ้นอย่างประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงร้องเหลือเชื่อดังขึ้น เหล่าสัตว์อสูรที่บินอยู่ในอากาศ ตกเป็นเหยื่อโดนพวกยุงกัดจังหวะเดียวกันพอดิบพอดี พวกมันส่งเสียงร้องเจ็บปวดลั่นกลางท้องฟ้า ปีกหยุดขยับ ร่างตกหล่นลงกระแทกกับพื้น พร้อมส่งเสียงร้องเจ็บปวดแสนสาหัสอีกระลอก
พิลึกดีที่ทุกคนตรงนั้นเห็นกับตา ว่าร่างของอสูรที่ร่วงหล่นลงมาบวมเป่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ภาพนี้ทำทุกคนชะงักแน่นิ่งไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นเล็กน้อย สีหน้าของเขาเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น ปราณวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ฝักกระบี่ที่อยู่ภายในกายเขา ภาพเบื้องหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อเริ่มมองผ่านสายตาของพวกยุงเหล่านั้น ตรงหน้าของเขาปรากฏเป็นภาพสนามรบขึ้นมาแทน
หวังเป่าเล่อพยายามไม่สั่งการอะไรไปมากกว่านั้น เขาเพียงแต่คอยสังเกตการณ์ดูพวกยุงเหล่านั้นไล่กัดอสูรระดับลมหายใจเที่ยงแท้ไปทีละตัวก่อนบินหนี ทิ้งให้ พวกอสูรที่โดนกัดส่งเสียงโหยหวนบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจ ดวงตาเบิกกว้าง
“พวกมัน…ช่างดุร้ายนัก!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง ทั้งไม่อยากเชื่อและตื่นเต้นอยู่ในที เขามองเห็นเขี้ยวของอสูรทั้งหลายผ่านสายตาของยุงเหล่านั้น…ก่อนจะพลันลิงโลดใจขึ้นมา
“เขี้ยวอสูรเต็มไปหมดเลย เขี้ยวมังกรที่ข้ากำลังหลอมอยู่ต้องใช้เขี้ยวอสูรจำนวนมหาศาลในการหลอม ที่แห่งนี้มันขุมสมบัติชัดๆ!” หวังเป่าเล่อระริกระรี้ เขารีบสั่งให้พวกยุงกลับมาหาตัวเอง สายตาพวกยุงจะใช้ดูปืนใหญ่สวรรค์แทน ก่อนที่ตัวเองจะปรี่เข้าไปในสนามรบแทนอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเพียงร่างเงาพร่าตาผ่านไป!
นักรบหลายคนเห็นเขาปรากฏตัว ก็ตะโกนห้ามปรามด้วยความกังวล แต่หวังเป่าเล่อเคลื่อนที่เร็วกว่ามาก เขาไปโผล่อยู่ในสนามรบแทบจะทันที เมื่อพุ่งไปข้างหน้า อสูรรูปร่างหน้าตาเหมือนหมีดุร้ายก็พุ่งเข้าใส่เขาพร้อมร้องคำรามลั่น หวังเป่าเล่อหลบออกด้านข้างตอนที่มันกำลังกระโจนเข้ามา ก่อนยกมือซ้ายขึ้นจับกรามส่วนล่างของหมีตัวนั้น เพียงบิดนิ้ว ปากของหมีก็อ้าเปิดออก
“เขี้ยวของเจ้าดูไม่เลวเลย” ดวงตาหวังเป่าเล่อเป็นประกาย มือขวาเขาจ้วงเข้าไปคว้าเขี้ยวฟันกรามของมัน แล้วดึงออกมาอย่างไร้ความปรานี เพียงโบกมือครั้งเดียว กระบี่เหาะหินเจ็ดแปดเล่มก็บินออกมาสะบั้นคอเจ้าอสูรร้ายที่กำลังส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ เสร็จกิจแล้วชายหนุ่มก็พุ่งตัวออกไปทันที
บรรดานักรบที่หมายจะสกัดกั้นหวังเป่าเล่อไว้เห็นทุกอย่างแล้วก็พากันมอง หวังเป่าเล่อหน้าตาตื่น
อสูรหมีดุร้ายตัวนั้นอยู่ในระดับลมหายใจเที่ยงแท้เชียวนะ!
เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ มันกลับกลายเป็นเพียงเศษกระดาษอ่อนแอเปราะบางไปเสียได้
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจโยนเขี้ยวนั้นกลับเข้ากระเป๋าเก็บของไป ชายหนุ่มตรวจดูปืนใหญ่ว่ายังเรียบร้อยดีรึเปล่าผ่านสายตาของพวกยุงที่บินตรวจตราอยู่รอบปืนใหญ่สวรรค์ ชายหนุ่มเคลื่อนที่ไปรอบสนามรบจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โดยใช้ประโยชน์สายตาของยุงตัวที่เหลือ ไม่ช้าเสียงกรีดร้องน่ากลัวของสัตว์อสูรที่ถูกไล่ถอนเขี้ยวฟันก็ดังก้องไปทั่วสนามรบ
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องนั้น ก็มีเสียงหวังเป่าเล่ออุทานด้วยความดีอกดีใจ
“เขี้ยวเจ้านี่ก็ใช้ได้!”
“เอ้อ เขี้ยวกรามเจ้านี่ก็ไม่เลว!”
“เขี้ยวเจ้านี่คมดี ข้าจะเอาละ!”
หวังเป่าเล่อพาตัวเองเข้าออกการต่อสู้บนสนามรบเหมือนผีอ้วนๆ ตัวหนึ่ง ชายหนุ่มโผล่ตรงหน้าอสูรที่โดนยุงกัด ดึงฟันออกมาแล้วสังหารอสูรตัวนั้น เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไหลลื่นราวกับเมฆที่ล่องลอยและสายน้ำที่รินไหล พริบตาต่อมาชายหนุ่มก็หายวับไปเสียแล้ว
ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นภาพเหล่านั้นกันมากขึ้น ไม่ว่าจะพวกนักรบ พวกผู้ฝึกตน ด้านการยุทธ์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า หรือกระทั่งคนที่ประจำตำแหน่งอยู่บนป้อมปราการ ต่างก็มองหวังเป่าเล่อจัดการอสูรด้วยการ…ถอนเขี้ยวฟันของพวกมัน
“เจ้าหวังเป่าเล่อมันมีงานอดิเรกอะไร ถอนฟันสัตว์รึ”
ระหว่างที่เฝ้ามองภาพนั้น สีหน้าของพวกเขาก็พลอยบิดเบี้ยวแลดูประหลาด แต่ก็รู้สึกทึ่งไม่น้อยไปกว่ากัน หวังเป่าเล่อเหมือนมีตาอยู่ที่หลังหัว ดวงตาของเขาสังเกตเห็นทุกอย่างในสนามรบอันโกลาหลนี้ หูของเขาได้ยินทุกสรรพสิ่ง เขาเคลื่อนไหวได้เร็วเหมือนปลาหมูตัวอ้วนไหลพรวดผ่านมืออุ้งมืออสูรที่พยายามจะล้อมเขาเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะเปิดฉากโจมตีด้วยการดึงเขี้ยวของพวกมันออกมา ไม่มีพลาดเลยสักครั้ง
อสูรทุกตัวที่เผชิญหน้ากับเขาล้มลงส่งเสียงร้องโหยหวน ทั้งคันและไร้หนทางจะตอบโต้ จำนวนสัตว์อสูรที่เขาโค่นลงได้แซงหน้าผู้ฝึกตนด้านการยุทธ์หลายคน และยิ่งจุดประกายอยากเอาชนะในใจผู้ฝึกตนหลายคนที่ได้เห็นพลังต่อสู้ของเขา คนเหล่านั้นจึงออกแรงโจมตีเร็วยิ่งขึ้น
จู่ๆ บรรดานักรบแห่งปราการย่อยก็ดูน่าเกรงขามเกินหยั่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้ยุงของหวังเป่าเล่อจะได้รับบาดเจ็บมาบ้าง แต่ตราบใดที่ชายหนุ่มยังเหลือ ปราณวิญญาณ เขาก็สามารถเรียกยุงออกมาอีกเท่าไรก็ได้ตามต้องการ พลังต่อสู้ของชายหนุ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระบวนท่าถอนเขี้ยวของเขาก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น เขาสามารถง้างเขี้ยวอสูร แล้วเลือกได้ว่าจะถอนซี่ใดออกมาจากรากได้ในเวลา อันแสนสั้น
“หรือว่าข้าจะมีพรสวรรค์ด้านทันตกรรมกันนะ” หวังเป่าเล่อพึมพำพลาง นึกประหลาดใจ เขาตรงเข้าไปหาอสูรผิวสีเขียวหน้าตาเหมือนสิงโตอย่างรวดเร็ว ร่างของอสูรตนนั้นบวมใหญ่ขึ้นกว่าขนาดตัวตอนแรก มันดิ้นพรวดพราดอยู่บนพื้น พยายามอย่างยิ่งที่จะเกาจุดที่คันให้ได้