Skip to content

A World Worth Protecting 183

บทที่ 183 รางวัลแห่งเกียรติยศ

หวังเป่าเล่อรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ยินเหล่านักรบส่งเสียงโห่ร้องยินดี หลังจาก          เหตุอสูรหลั่งไหลล่าถอย แต่ทว่าไม่ช้าความตื่นเต้นนั้นกลับกลายเป็นความโศกเศร้า หัวใจของชายหนุ่มหนักอึ้งครั้นเห็นซากศพกองเป็นภูเขาและทะเลสีเลือด              ร่างผู้เสียชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกลาดเกลื่อนเต็มสนามรบ

พวกเขากลับไปยังปราการ ผู้บัญชาการเคราหนาออกคำสั่งให้เก็บกวาดสมรภูมิรบ และขนศพของเหล่านักรบและผู้ฝึกตนทั้งหลายกลับสู่ปราการ บางร่างนั้นเละเทะ  เกินกว่าจะจดจำได้ว่าเป็นใคร บรรยากาศนองเลือดนี้ทำเอาผู้คนต่างเงียบงัน

หลังจากเก็บกวาดไปสามวัน ทุกอย่างจึงกลับเป็นปกติ กองทัพนักรบเก็บซากศพของเหล่าอสูรต่างๆ เพื่อใช้เป็นทรัพยากรและวัตถุดิบ ส่วนศพของเหล่าสหายนั้น     ถูกนำมารวมกัน เพื่อบันทึกชื่อของพวกเขาในรายนามนักรบผู้เสียสละตน เถ้ากระดูกและค่าชดเชยจะส่งมอบกลับไปให้ครอบครัวของแต่ละคน สำหรับผู้ฝึกตนที่เสียชีวิตในศึกครั้งนี้จะได้รับค่าตอบแทนบำเหน็จพิเศษเช่นกัน

เมื่อทุกอย่างจบสิ้นลง ผู้คนในป้อมปราการ รวมถึงหวังเป่าเล่อ ก็เริ่มได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้อันน่ากลัวที่เกิดขึ้น ณ ปราการด่านหน้าลำดับเจ็ด รวมถึงปราการย่อยแห่งอื่นตลอดแนวป้องกันลำดับเจ็ดด้วย

เหตุอสูรหลั่งไหล ณ ปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดจบสิ้นลงพร้อมกับความตายของราชันอสูร ด้วยน้ำมือของแม่ทัพโจว เหล่าอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสิ้นลมไป          แต่ปราการก็ได้รับความสูญเสียรุนแรงเช่นกัน

เหตุอสูรหลั่งไหลมีจำนวนมากเกินกว่าที่สหพันธรัฐคาดคะเน พวกมันโจมตี     หนึ่งในสามของปราการย่อยตลอดแนวป้องกันลำดับเจ็ดสำเร็จ เหล่านักรบและ        ผู้ฝึกตนน้อยคนนักจะรอดชีวิตจากป้อมปราการเหล่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะเสียชีวิตในสนามรบ

จากสองในสามของปราการที่เหลือ ผู้คนเกือบครึ่งหนึ่งยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง เมื่อความช่วยเหลือมาถึงจึงเอาชนะได้ แต่กระนั้น ผู้คนจำนวนมหาศาลยังคงบาดเจ็บล้มตาย

ป้อมปราการที่เหลือต่างสู้ไม่ถอยแบบหลังชนฝา แม้ว่าการช่วยเหลือจะล่าช้า กำลังพลก็ยังคงต่อสู้เต็มกำลัง มุ่งมั่นต่อต้านการบุกรุกจากเหตุอสูรหลั่งไหล ขนาดของป้อมปราการเหล่านั้นใหญ่กว่าปราการย่อยที่หวังเป่าเล่อประจำการอยู่ ทำให้มีนักรบและผู้ฝึกตนประจำการอยู่เป็นจำนวนมาก

แม้ว่าปราการย่อยที่หวังเป่าเล่อประจำอยู่นั้น จะไม่ใช่ปราการย่อยขนาดเล็ก  แห่งเดียวที่เอาชนะการโจมตีได้ แต่ปราการย่อยที่เหลือรอดกลับมาได้นั้น ก็มีจำนวนไม่มากนักเช่นกัน ดังนั้นปราการย่อยของชายหนุ่มจึงกลายเป็นจุดสนใจของ           แนวป้องกันลำดับเจ็ดทั้งหมด

ต่อให้กองกำลังช่วยเหลือไม่ได้เข้ามาช่วยในตอนท้าย ด้วยการซุ่มโจมตีจาก        ผู้บัญชาการเคราหนา ความเสียสละของผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทั้งสองคน รวมถึงฝีมือการยิงปืนใหญ่ของหวังเป่าเล่อ อย่างไรผลก็ออกมาชัดเจนอยู่แล้ว!

ความสำเร็จในการรบครั้งนี้ ทำให้ชื่อของหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ต่างถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปทั่วป้อมปราการ อีกทั้งผู้บัญชาการเคราหนายังเผยแพร่เรื่องราว      จนกระจายไปทั่วแนวป้องกันลำดับเจ็ด

ทุกคนซึ่งผ่านการรบในเหตุอสูรหลั่งไหลด้วยตัวเอง ต่างรู้สึกทึ่งเมื่อรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้ดีว่าการชนะศึกครั้งนี้นั้นยากเย็นเพียงใด

ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงได้รับการปฏิบัติเยี่ยงวีรบุรุษสงครามอยู่หลายวัน

แทบไม่มีผู้ใดไม่รู้จักชื่อของเขา เหล่านักรบต่างวันทยหัตถ์ทำความเคารพ        ชายหนุ่มด้วยแววตากระตือรือร้นในทุกที่ที่เขาสัญจรผ่านไป

แม้เหล่าผู้บัญชาการกองรบจะไม่ได้แสดงความขอบคุณอย่างเป็นทางการ        แต่พวกเขาต่างซาบซึ้งสุดหัวใจ กับสิ่งที่หวังเป่าเล่อกระทำเพื่อกองทัพ!

ในตอนที่หวังเป่าเล่อและเฉินอวี่ถงเผชิญหน้ากับอันตราย ทั้งคู่เลือกจะหนี        เอาตัวรอด และทิ้งปืนใหญ่สวรรค์ไปก็ยังได้ แต่สองคนนั้นกลับเลือกยืนหยัดต่อสู้สุดใจ เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อจึงยิ่งดังกระฉ่อน

ทั่วทั้งป้อมปราการต่างปฏิบัติต่อเฉินอวี่ถงและคนอื่นที่ช่วยคุ้มกันหวังเป่าเล่ออย่างดีและอบอุ่น แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นกัน

ถึงกระนั้น ความตื่นเต้นนี้เทียบกับความหนักใจของหวังเป่าเล่อไม่ได้เลย      เพราะภาพนักรบนักรบผู้เสียชีวิตและฉากความตายทั้งหลายยังติดตาอยู่ ศึกครั้งนี้     ฝังลึกอยู่ในชีวิตของชายหนุ่มก็ว่าได้

เขาใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างยากเย็น ก่อนจะกลับไปร่าเริงดังเก่า    อีกครั้ง

ไม่กี่วันหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้รับเขี้ยวอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเป็นของกำนัลจากใครหลายคน เพราะพวกเขารู้มาว่าชายหนุ่มกำลังสะสมเขี้ยวอสูรอยู่ เหล่านักรบรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ รวมถึงชอบใจในตัวชายหนุ่มเป็นทุนเดิม แต่ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร หนทางเดียวที่จะแสดงความรู้สึกได้คือการมอบเขี้ยวอสูรให้เป็นของ        กำนัลนั่นเอง

กำไลคลังเวทของเขานั้นไม่มีพื้นที่ว่างเหลือให้เก็บสิ่งใดแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกซาบซึ้งเกินจะกล่าวคำใด จนไม่อาจทิ้งของขวัญเหล่านั้นได้ลง เฉินอวี่ถงจึงแอบมอบกำไลคลังเวทสองอันให้ชายหนุ่มไว้ใช้บรรจุของกำนัลทั้งหมด

เหล่าศิษย์เอกจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าหลายคนร่วมต่อสู้ในศึกเสี่ยงตายครั้งกัน พวกเขาเริ่มผูกพันกับป้อมปราการ รวมถึงคุ้นเคยและใกล้ชิดกับหวังเป่าเล่อและสหายจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋ามากขึ้น จนสนิทสนมกันในที่สุด พวกเขาเริ่มเป็นมิตรสหายกับเหล่านักรบ แตกต่างจากตอนแรกที่มาถึงเช่นกัน

เหตุอสูรหลั่งไหลสงบลง ป้อมปราการทั้งหมดฟื้นฟูจากเหตุบุกรุก ขณะที่หวังเป่าเล่อต้องคอยต้อนรับขับสู้อาคันตุกะที่แวะเวียนมาเยี่ยมหาอย่างไม่ขาดสาย ผู้บัญชาการเคราหนาก็ส่งรายนามเกียรติยศไปให้แม่ทัพโจวยังปราการด่านหน้าลำดับเจ็ดเรียบร้อย

รายนามเกียรติยศเกือบทั้งหมดเป็นศิษย์จากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า รวมถึงเหล่านักรบกล้าจำนวนมาก เรียกว่าเป็นรายนามของเหล่าผู้รอดชีวิตแทบทุกคนก็ย่อมได้

ชื่อของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสองคนที่รอดชีวิต และผู้บัญชาการเคราหนานั้นอยู่ในอันดับต้นๆ เพื่อเป็นการเชิดชูกล่าวขวัญและควรค่าแก่การ         ตบรางวัลให้

ท่านแม่ทัพโจวมองรายนามเกียรติยศภายในกระโจมของตนแล้วยิ้มกริ่ม          ก่อนเงยหน้ามองผู้บัญชาการเคราหนา โจวลู่ซึ่งยืนอยู่ข้างหลังแม่ทัพโจว ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บมา ใบหน้าซีดเซียว แววตานั้นบ่งบอกว่าหญิงสาวเองก็ได้ผ่านเหตุการณ์นองเลือดและการเข่นฆ่ามาแล้วอย่างชัดเจน แม่นางหยุดมองชื่อของหวังเป่าเล่อ    บนรายนามเกียรติยศนั่น

ผู้บัญชาการเคราหนาสงบนิ่งเมื่อรู้สึกว่าแม่ทัพโจวกำลังจับตามองอยู่ เขาแอบใช้พลังบังคับให้เลือดไหลซึมผ่านผ้าพันแผลบนร่างกายอย่างจงใจ ราวกับประกาศเจตจำนงชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ…ข้าจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้น           จนกว่าท่านจะเห็นด้วยกับการตบรางวัลให้แด่คนของข้า

“หยุดเล่นละครตบตาข้า แล้วส่งเอกสารทุกอย่างมาเถิด” แม่ทัพโจวไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี ก่อนดุอีกฝ่าย

ผู้บัญชาการเคราหนากะพริบตา ก่อนหยิบม้วนรายนามเกียรติยศอีกเล่ม         ซึ่งดูหนักอึ้งเกินบรรยายออกมา สีหน้าของเขาดูอึมครึม ประคองรายนามเกียรติยศม้วนนี้ให้แม่ทัพโจวกับสองมือ ไม่แม้แต่จะวางลงบนโต๊ะ

แม่ทัพโจวมองม้วนรายชื่อนั้นตาไม่กระพริบ เสมือนว่ารู้สึกได้ถึงความท่วมท้นบางอย่าง สีหน้านั้นสลดลง ก่อนยืนขึ้นรับรายนามเกียรติยศด้วยสองมือ และคลี่ออกเพื่อไล่อ่านทุกรายชื่อของผู้เสียชีวิตในศึกครั้งนี้ ทั้งคู่เงียบไป

ด้านบนสุดของรายนามเกียรติยศม้วนนี้คือชื่อของบรรดาผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น     ที่เสียชีวิตในสงคราม!

“ท่านแม่ทัพ ข้าเข้าใจดีถึงสถานการณ์ปัจจุบันอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของ   กองกำลังนักรบและสหพันธรัฐ หากจะลดจำนวนผู้มีเกียรติลงครึ่งหนึ่งก็ไม่เป็นไร     นะขอรับ แต่การชดเชยนั้นควรเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่านัก ศึกครั้งนี้…คือโศกนาฏกรรมการสูญเสียครั้งใหญ่อย่างแท้จริง…” ผู้บัญชาการเคราหนาก้มหน้าลงและพูดเบาๆ

แม่ทัพโจวเงียบไปพักใหญ่ ก่อนหันมองอีกฝ่ายและพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม “เราจะลดจำนวนผู้มีเกียรติลงได้อย่างไร พวกเขาทุกคนสมควรได้รับเงินชดเชยอีกสามเท่าด้วยซ้ำ…ต้องเป็นสามเท่าเท่านั้น!”

เมื่อสิ้นประโยค ผู้บัญชาการเคราหนาตัวสั่นเทิ้ม มิได้พูดอะไรต่อ นอกจากประสานมือคารวะอีกฝ่าย แล้ววันทยาหัตถ์ให้แม่ทัพโจว ก่อนจะโค้งคำนับและจากไป

แม่ทัพโจวมองชายผู้นั้นจากไป ก่อนยืนข้างหน้าโต๊ะและเงียบอยู่นาน จากนั้น    จึงพูดขึ้นเบาๆ “โจวลู่ จงเตรียมการ ในอีกสามวัน ข้าจะไปเยี่ยมเยียนปราการทุกแห่ง และ…เข้าพบเหล่านักรบทั้งหลายโดยตัวเอง”

โจวลู่ละสายตาจากชื่อของหวังเป่าเล่อบนรายนามเกียรติยศ ก่อนก้มหน้าและตอบกลับ “รับทราบเจ้าค่ะ”

สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหตุอสูรหลั่งไหลจบลง เหล่าศิษย์เอกจากสี่ยอดสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์เริ่มเดินทางกลับสำนักศึกษาเต๋าของตน เช่นกันกับหวังเป่าเล่อ เฉินอวี่ถงและคณะ ที่กำลังร่ำลาบรรดาสหายนักรบ แล้วเตรียมออกเดินทาง แต่ยังไม่ทันจะจากไป ผู้บัญชาการเคราหนาก็ส่งข้อความมาหาหวังเป่าเล่อเสียก่อน

แม่ทัพโจวต้องการพบข้าหรือ ชายหนุ่มงุนงง เขารู้ดีว่าแม่ทัพโจวแห่งปราการ  ด่านหน้าลำดับเจ็ดนั้น คือคนที่ตนเองเคยเห็นในสำนักศึกษา แม่ทัพระดับสูงของกองทัพนักรบผู้นี้มีนามว่าโจวเต๋อสี่ เป็นผู้กวาดล้างเผ่าพันธุ์หนึ่งจนราบคาบ            จนมีตำแหน่งใหญ่โตประสบความสำเร็จขึ้นมา!

หากไม่รู้จักอีกฝ่าย คงไม่ต้องรู้สึกประหม่ากังวลอะไร แต่เพราะรู้จักชายผู้นี้อย่างดี   อีกทั้งเมื่อคิดถึงโจวลู่ผู้ประกบร่างแม่ทัพโจวดั่งเงาแล้วนั้น ชายหนุ่มก็ชะงักไปเล็กน้อย

เป็นไปได้รึเปล่าว่าโจวลู่จะเป็นนางบำเรอของแม่ทัพโจว หวังเป่าเล่อคิดจนปวดหัว

กระนั้นหวังเป่าเล่อก็ได้แต่คิดถึงความสำเร็จที่ตนเองสร้างไว้ ก่อนลอบ          ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายังคงระวังตัวอยู่ตลอดเวลาที่เดินไปยังกระโจมของ         ผู้บัญชาการเคราหนา ชายหนุ่มพบโจวลู่ยืนอยู่ด้านนอกกระโจมหลังนั้น ทั้งคู่สบตากัน ชายหนุ่มเห็นแววตาฉงนสนเท่ห์ของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน หญิงสาวเหลือบมอง       ก่อนหลบตา แล้วพูดกับเขาอย่างเย็นชา “ท่านแม่ทัพรอพบท่านอยู่เจ้าค่ะ”

หวังเป่าเล่อสังเกตได้ถึงความคลางแคลงใจในแววตานั้น ก่อนหันไปมองกระโจมนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะเดินเข้าไปโดยไม่พูดจา เขาพบกับแม่ทัพโจวใน            ชุดเครื่องแบบสีดำยืนอ่านแผนที่หันหลังให้เขาอยู่

บุรุษผู้นี้มีเรือนร่างสูงตระหง่านดุจภูผา ยามมองท่านแม่ทัพ หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับยืนอยู่หน้าปืนใหญ่สวรรค์ขนาดยักษ์ก็ไม่ปาน ชายหนุ่มหายใจถี่ระรัว              ก่อนก้มศีรษะโค้งตัวประสานมือคารวะ

“ขอแสดงความเคารพ ท่านแม่ทัพโจว ข้าชื่อหวังเป่าเล่อขอรับ!”

“หวังเป่าเล่อ มานี่สิ” แม่ทัพโจวพูดอย่างใจเย็น และยังคงยืนมองแผนที่ โดยมิได้หันมามอง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและพินิจดูอีกฝ่ายอย่างใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปสองสามก้าว และหยุดยืนมองบนแผนที่ที่สะดุดเขาตั้งแต่เมื่อครู่นี้อยู่ข้างท่านแม่ทัพ มันคือแผนที่ภูมิประเทศของแนวป้องกันลำดับเจ็ด ถัดจากตรงนั้นจะเป็นดินแดน     ดึกดำบรรพ์อันกว้างใหญ่ไพศาล โดยมีมหาสมุทรทอดยาวไกลออกไปจากตรงนั้น

“อาจจะดูเหมือนแนวป้องกันลำดับเจ็ดบางส่วนถูกรุกรานในการศึกที่ผ่านมา     แต่ว่าความจริงแล้ว…เราใช้ยุทธศาสตร์คว้าชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาได้!” แม่ทัพโจวเอ่ยช้าๆ ก่อนชี้ไปยังบริเวณมหาสมุทรอันกว้างไกล

“สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า เสนาบดี และขุมอำนาจทางการเมืองอื่นๆ คอยซุ่มโจมตีอยู่บริเวณท้องทะเลแห่งอสูร พวกเราจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ แต่ก็จัดการเหล่าราชันอสูรได้ถึงเก้าตน ทั้งยังรักษาความปลอดภัยให้แก่ชายแดนมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี!

“แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อดีและข้อเสีย…ความขัดแย้งภายในสหพันธรัฐถูกกดทับมานานกว่าทศวรรษแล้ว ในอีกยี่สิบปีข้างหน้าจะต้องเกิดการปะทะกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ และหากเกิดเรื่องขึ้นมา แม้แต่สี่ยอดสำนักศึกษาเต๋าก็ไม่อาจรอดพ้นจากพายุ        ทางการเมืองลูกนี้ได้ มีเพียงกองทัพนักรบเท่านั้นที่จะไม่โดนลูกหลง ฉะนั้น…”         แม่ทัพโจวกล่าว และหันมามองชายหนุ่มด้วยแววตาเป็นประกายฉันพลัน

“หวังเป่าเล่อ เจ้าอยากเข้าร่วมกองทัพหรือไม่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!