บทที่ 185 รางวัลใหญ่จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
วันนี้เป็นวันดีๆ อีกวัน ที่มีดวงอาทิตย์ปักกระบี่อยู่บนท้องนภา!
เรือบินของเฉินอวี่ถงออกจากเขตปราการนั้นสู่ท้องฟ้า เทือกเขาและป่าไม้ขนาดเล็กลง และความโศกเศร้าของพวกเขาต่อศึกเหตุอสูรหลั่งไหล ณ ปราการแห่งนั้นราวกับ จะค่อยๆ จางหายเมื่อบินผ่านพ้นเขตไปแล้ว
พวกเขาไม่อาจนำพาผู้เสียชีวิตกลับคืนมาได้ เหตุการณ์ในปราการนั้นจะฝังลึก อยู่ในหัวใจของทั้งสี่คน เป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจลบเลือนได้
โจวเผิงไห่และซุนฟางยังคงดูซีดเซียว แม้จะกินโอสถเพื่อฟื้นสภาพจากอาการบาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น และตึงเครียดน้อยลง ทั้งสองคนละสายตาจากปราการนั้น ก่อนหันไปทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วย แววตาคาดหวัง
รางวัลจากกองทัพนักรบมักมีเพียงถ้อยคำสรรเสริญและเหรียญตราเกียรติยศ แต่สำหรับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมอบรางวัลที่เป็นชิ้นเป็นอันมากกว่า เช่นเดียวกับสหพันธรัฐ ที่จะทำทุกขั้นตอนพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการบันทึก ตรวจสอบและคำนวณทุกสิ่งอย่าง
ใจพวกเขาอยากกลับไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เต็มแก่ ทั้งคู่คุยกันเสียงเบา แม้ในช่วงแรกระหว่างซุนฟางและโจวเผิงไห่นั้นจะมีระยะห่างต่อกัน แต่หลังจากประสบเรื่องเฉียดตายมาด้วยกัน ทั้งคู่เริ่มสนิทสนมกันมากขึ้น
ทางด้านเฉินอวี่ถงซึ่งนั่งข้างหวังเป่าเล่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้มขณะตบบ่าอีกฝ่าย “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ครั้งนี้เจ้าทำเรื่องน่าสรรเสริญยิ่ง เมื่อกลับถึงสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ ชื่อของเจ้าจะต้องโด่งดังยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำของ พวกเราในศึกครั้งนี้ ในฐานะตัวแทนของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ถือเป็น ความภาคภูมิใจของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง”
หวังเป่าเล่อฟังคำเยินยอของเฉินอวี่ถง ชายหนุ่มจึงหายใจเข้าลึกปรับอารมณ์ของตน ก่อนพูดคุยกับศิษย์พี่ผู้อย่างเบิกบานเกี่ยวกับสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเรียก ซุนฟางและโจวเผิงไห่เข้ามาร่วมวงอีกด้วย
เวลาไม่กี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า การเดินทางกลับราบรื่นไม่เหมือนกับขาไป ในขณะเริ่มเข้าใกล้เขตคุ้มครองของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ทั้งสี่คนลุกขึ้นยืนมองจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีทะเลสาบป่าขจีปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาช้าๆ
“เรากลับถึงบ้านแล้ว…” โจวเผิงไห่และซุนฟางเอ่ยขึ้นพร้อมกันอย่างไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นทะเลสาบป่าขจีหลังจากเหตุการณ์เฉียดตายที่ปราการนั้น จู่ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยในหัวใจก็เกิดขึ้น ราวกับทั้งสี่คนคือคนหลงทางซึ่งกำลังจะได้เดินทางกลับบ้าน
หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ก่อนเดินไปด้านหน้าเรือบินซึ่งแล่นฉิวผ่านสายลม ความเร็วของเรือบินลำนี้ไม่ลดลง หนำซ้ำยังพุ่งไปยังทะเลสาบป่าขจีราวกับแสงสายฟ้าฟาดสีเงินอีกต่างหาก
เรือบินลำนี้เป็นหนึ่งในเรือบินคุณภาพดีที่สุดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมา พวกเขา ไม่จำเป็นต้องกระดิกนิ้วเพื่อต่อสู้กับเหล่าอสูรที่จู่โจมระหว่างการเดินทางเลย เพราะเรือบินนี้สามารถพุ่งชนและไล่ตะเพิดพวกมันกระเจิงไปเอง
ขณะเดียวกัน แม้ว่าสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงในกรณีที่ไม่รุนแรงเกินไป เรือบินลำนี้ก็ยังปลอดภัย
เมื่อเรือบินเข้าใกล้ขึ้น ทำให้ทุกคนมองเห็นทะเลสาบป่าขจีตรงหน้า ก่อนค่อยๆ แล่นช้าลงผ่านหมอกรอบเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง หลังจากหยุดนิ่งภายในหมอกชั่วขณะ เพื่อให้วงแหวนปราณตรวจสอบตัวตนได้ เรือบินจึงค่อยๆ เหาะออกจาก เมฆหมอกนั่นและจอดบนลานจัตุรัสสาธารณะประจำเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง
บริเวณนั้นมีหลายสิบคนยืนอยู่ รวมถึงเจ้าตำหนักอาวุธเวท รองเจ้าตำหนักทั้งสี่คน อาจารย์ของเฉินอวี่ถง และผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทผู้เอ็นดูหวังเป่าเล่อยิ่ง ก็ปรากฏตัวที่นี่ด้วยเช่นกัน เขายิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
นอกจากนี้ยังมีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีแดงอีกคน มีคนยืนรายล้อมเขาอยู่มากมาย ชายผู้นี้คือ…หนึ่งในสามรองประมุขสำนักประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง!
เขายืนเอามือไขว้หลังและอมยิ้ม พลางมองเหล่าคณะทั้งสี่คนเดินออกจากเรือบินมาทักทายทำความเคารพ
หวังเป่าเล่อ เฉินอวี่ถง โจวเผิงไห่ และซุนฟางต่างรู้สึกเบิกบานขณะเดินออกมาจากเมฆหมอก แต่เมื่อเห็นบรรดาเจ้าพนักงานระดับสูงจากตำหนักอาวุธเวทยืนอยู่ ก็รีบก้าวออกมาจากเรือบินและทำความเคารพทันที
“ขอทำความเคารพต่อท่านอาจารย์ ท่านรองประมุขสำนัก และเจ้าตำหนัก ทุกท่านขอรับ!” เฉินอวี่ถงรีบทักทายเสียงดังก่อนจะโค้งคำนับ ราวกับรู้ว่า ชายกลางคนในชุดคลุมแดงนั้นเป็นใคร และเตือนให้คนอื่นๆ ทำตามเช่นกัน
รองประมุขสำนักหรือ หวังเป่าเล่อผงะ หลังจากฉุกคิดได้ว่าเฉินอวี่ถงพูดถึงใคร จึงรีบคำนับทักทายอีกครั้งทันที โจวเผิงไห่และซุนฟางนั้นประหลาดใจยิ่งกว่า เพราะรองประมุขสำนักนั้นเป็นบุคคลสำคัญที่ชื่นชมบูชาอย่างยิ่ง
“วันนี้พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องตื่นตกใจ และไม่ต้องทำตัวเป็นทางการนักหรอก!” ชายวัยกลางคนในชุดแดงหัวเราะ พลางโบกมือขวาไปมา ก่อนช่วยดึงเด็กหนุ่มทั้งสี่ ซึ่งคุกเข่าอยู่นั้นให้ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนโยน แล้วจึงตบบ่าเฉินอวี่ถงและหวังเป่าเล่อ ด้วยความชื่นชม
“พวกเจ้าเก่งมาก ยอดเยี่ยมจริงๆ! เจ้าได้นำเกียรติยศมาสู่สำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเรา!”
ดูเหมือนว่ารองประมุขสำนักนั้นจะเป็นคนเถรตรง ชายผู้นี้มองว่าหวังเป่าเล่อและผองคณะเพิ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมา ศึกของพวกเขา ณ ป้อมปราการนั้น ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งใหญ่ทางกองทัพนักรบ แม้ว่าหากเทียบกับแนวป้องกัน ลำดับหนึ่งถึงลำดับเจ็ดแล้ว จะไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ตาม อย่างไรเสียตั้งแต่ก่อตั้ง สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมานั้น ก็มักจะมีความลำเอียงในระบบการมอบรางวัลและตัดสินบทลงโทษเสมอมา
ดังนั้นเขาจึงจะมอบรางวัลแด่ชายทั้งสี่คนนี้ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจาก ท่านประมุขสำนัก อีกทั้งจะชี้แนะให้ศิษย์ตำหนักคนอื่นๆ ดูไว้เป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ยังวางแผนใช้หวังเป่าเล่อและพรรคพวกเป็นแรงผลักดันให้ทุกคนอีกด้วย ว่าแล้วรองประมุขสำนักก็เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงปลื้มปิติ
“จงบอกความปรารถนาของพวกเจ้ามาเถิด ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง วันนี้ข้าจะทำให้มันสัมฤทธิ์ผลเอง!”
ดวงตาของทั้งสี่คนส่องประกายและตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำกล่าวของรองประมุขสำนัก แต่เฉินอวี่ถงและชายอีกสองคนต่างรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อสมควรรับรางวัลนี้มากที่สุด และแม้ว่าตนเองจะเอ่ยขอตามความต้องการได้ แต่ก็ไม่ควรทำเกินหน้าเกินตานัก หลังจากคิดทบทวนอย่างหนัก แต่ละคนจึงตอบกลับ
ซุนฟางปรารถนาเพียงถ้ำที่พัก เนื่องจากตำหนักอาวุธเวทนั้นมีจำนวนถ้ำที่พักจำกัด ส่วนใหญ่จะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับองครักษ์อาวุธเวท ต่อให้เป็นบรรลุศิษย์เอก อาวุธเวทก็ไม่มีสิทธิ์อยู่อาศัย ยกเว้นว่าจะเป็นศิษย์เอกอาวุธเวทที่มีอำนาจเท่ากับ โจวเผิงไห่ หรือผู้มีรากวิญญาณแปดนิ้วอย่างหวังเป่าเล่อเท่านั้น
ดังนั้น ถ้ำที่พักจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างใหญ่หลวงสำหรับซุนฟาง
ในทางกลับกัน โจวเผิงไห่นั้นขอเปลี่ยนรางวัลเป็นคะแนนพิเศษในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะไม่มั่นใจว่าความสามารถ ของตนจะเพียงพอต่อการเป็นองครักษ์อาวุธเวทหรือไม่ โดยการเปลี่ยนรางวัลเป็นคะแนนพิเศษนั้น จะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตนเองถึงเจ็ดในสิบส่วนเลยทีเดียว
ความต้องการของเฉินอวี่ถงต่างจากคนอื่นๆ เพราะชายผู้นี้ไม่ต้องการ รางวัลพิเศษอะไรเลย แต่นั่นกลับทำให้เขามีแต้มต่อที่จะได้เลื่อนขั้นเป็น รองเจ้าตำหนักมากกว่าเดิม ศิษย์พี่เฉินขยิบตาให้หวังเป่าเล่อหลังจากจบเรื่องของตน
รองประมุขสำนักยิ้มหลังจากรับฟังความต้องการและตกปากรับคำกับทั้งสามคนแล้ว ก่อนหันมองหวังเป่าเล่อ
“แล้วเจ้าล่ะ หวังเป่าเล่อ”
ความคิดแล่นในหัวสมองของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มนึกถึงการขยิบตาของ ศิษย์พี่เฉินเพื่อบอกใบ้ให้พูดว่าไม่ต้องการอะไร ทั้งนี้เผื่อว่าบางทีรางวัลที่จะได้รับนั้นอาจยิ่งใหญ่เสียกว่า หวังเป่าเล่อเองก็อยากทำเช่นนั้น แต่จู่ๆ เขากลับนึกถึงเรื่องราวในอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงขึ้นมา ชายหนุ่มกะพริบตาพลางคิดว่า รองประมุขสำนักผู้ที่อยุ่ตรงหน้านี้ช่างน่าเกรงขามนัก ทุกคำพูดจากปากของเขา ย่อมดึงดูดความสนใจของทุกคนได้แน่
โดยเฉพาะเมื่อเขากำลังจะเข้าร่วมการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ซึ่งนับเป็น เรื่องสำคัญสำหรับชายหนุ่มมาก หากรองประมุขสำนักเอ่ยถึงเขาในแง่ดีบ้าง การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทก็คงจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงเริ่มพูดหยั่งเชิง
“ท่านรองประมุขสำนักขอรับ ข้ายังคิดสิ่งที่ปรารถนาไม่ออก แต่ความต้องการยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าตอนนี้นั้น ไม่อาจขอมาเป็นรางวัลได้ เพราะมันคือการได้ขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวท”
เมื่อได้ยินคำตอบ ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มบางๆ ยังคงปิดปากเงียบ ก่อนหันกลับไปมองเจ้าตำหนักและเหล่าคณะก่อนพูดขึ้น “จากความสามารถของ เจ้าคนร้อยเล่ห์ผู้นี้…ข้ามั่นใจว่าทุกท่านคงทราบดีว่าเขาไม่จำเป็นต้องแลกรางวัลใดเพื่อตำแหน่งองครักษ์อาวุธเวทเลย เพราะคงทำสำเร็จได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว!”
เจ้าตำหนักอาวุธเวทและคนอื่นๆ ยิ้มเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น อย่างไรก็ตามทุกคนต่างประหลาดใจขณะมองหวังเป่าเล่อ ซึ่งไม่ได้พูดว่าต้องการรางวัลเป็นตำแหน่งองครักษ์อาวุธเวทโดยตรง แต่เขากลับใช้โอกาสนี้ เพื่อบอกความใฝ่ฝันของตนออกมา และการไหลตามน้ำของรองประมุขสำนักนั้น ทำให้ชายหนุ่มไม่เสียรางวัลโดยสูญเปล่า เพราะเพียงเท่านี้ก็การันตีตำแหน่งองครักษ์อาวุธเวทในภายภาคหน้าให้เขาได้ใน ระดับหนึ่งแล้ว
ประโยคธรรมดานั้นเผยให้เห็นความเฉลียวฉลาดของชายหนุ่ม ซึ่งไม่ธรรมดา แต่ก็ ไม่ทำให้ใครรู้สึกรังเกียจขึ้นมาเหมือนแต่ก่อน ยิ่งเสริมให้ประโยคนั้นดูมีคุณค่ายิ่งขึ้น
อาจารย์ของเฉินอวี่ถง และผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทฉีกยิ้มกว้าง
หวังเป่าเล่อร่าเริงเมื่อเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ชายหนุ่มโค้งคำนับคารวะรองประมุขสำนัก ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อเงยหน้าขึ้น และพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ขอบพระคุณขอรับ ท่านรองประมุขสำนัก ข้าไม่รู้ว่าควรร้องขอสิ่งใดจึงจะเหมาะสมที่สุด ฉะนั้นตอนนี้ ข้าจึงขอเป็นรับฟังคำแนะนำจากท่าน เพื่อจะได้ปฏิบัติตามขอรับ!”
ในจังหวะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยนั้น เฉินอวี่ถงเบิกนัยน์ตากว้าง บรรดาคณาจารย์จากตำหนักอาวุธเวทต่างพากันประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม
ในความเป็นจริงนั้น ทางเลือกของหวังเป่าเล่อเหนือชั้นกว่าเฉินอวี่ถงผู้ไม่ต้องการของรางวัลนัก เพราะศิษย์ผู้น้องตั้งใจจะสานความสัมพันธ์กับรองประมุขสำนักเลยทีเดียว…
“น่าสนใจจริงเชียว” รองประมุขสำนักมองชายตรงหน้าอย่างมีเลศนัยด้วยแววตาครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาจึงยิ้มเล็กน้อยพร้อมตัดสินใจ
“ตลอดหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มานั้น ข้าได้รับชิ้นส่วนจากสวรรค์มาเก็บสะสมไว้นับร้อยชิ้น พวกมันพิเศษไม่เหมือนใคร และมีค่าอย่างเหลือเชื่อ จะเป็นผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ ขั้นรากฐานตั้งมั่น หรือแม้กระทั่งขั้นกำเนิด แก่นในก็สามารถใช้พลังอันน่าเกรงขามจากพวกมันได้!
“ตอนนี้ทั่วทุกสำนักศึกษาเต๋ามีรวมกันเหลือน้อยกว่ายี่สิบจำพวกด้วยซ้ำ ข้าจำได้ว่าจำพวกหนึ่งในสิ่งตกทอดเหล่านี้ทำงานสัมพันธ์กับอาวุธเวท มันมีชื่อเรียกว่ากระบวนท่าเพลิงปะทุ!
“เจ้าอยากรับมันไว้หรือไม่”
คณาจารย์จากตำหนักอาวุธเวทต่างผงะเมื่อได้ยินดังนั้น รองเจ้าตำหนักทั้งสี่คนจากตำหนักอาวุธเวทเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แม้แต่ตัวของเจ้าตำหนักเองยังสั่นสะท้าน ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อ การตัดสินใจของรองประมุขตำหนักนั้นอยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน จนเกิดเป็นความรู้สึกอิจฉาเอ่อล้นในจิตใจพวกเขา
กระบวนท่าเพลิงปะทุคือสิ่งที่แม้แต่คนในระดับอย่างพวกเขายังใฝ่ฝันหา แต่กลับไม่อาจครอบครองได้ เนื่องจากสิ่งตกทอดนี้แตกต่างจากมิติเวทเขตอัสนีของ ตำหนักอักษรปราณนัก
แม้ทั้งห้ากระบวนท่าสายฟ้าภายในมิติเวทเขตอัสนีจะทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง แต่ใครๆ ก็ฝึกฝนจนชำนาญได้ ในขณะที่หากใครสำเร็จวิชาเฉพาะตัวอย่าง กระบวนเวทเพลิงปะทุได้ มันก็จะกลายเป็นพรสวรรค์ติดตัวเขาไปแต่เพียงผู้เดียว การที่มันจารึกเอาไว้ในเศษชิ้นส่วนหมายความว่ามันต้องพิเศษยิ่ง เมื่อมีผู้ใดดึงดูดพลังของมันออกมาได้แล้ว มันจะลบเลือนหายไปจากชิ้นส่วนนั้นทันที ทำให้ผู้อื่นสำเร็จกระบวนท่าเดียวกันนี้ยากขึ้น!
กระบวนท่าเพลิงอัสนีจึงเป็นกระบวนเวทที่ไม่เหมือนใคร และมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!
แม้แต่แววตาอาจารย์ของเฉินอวี่ถงยังเผยความประหลาดใจออกมา มูลค่าของกระบวนเวทนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันอิจฉาตาร้อน