บทที่ 187 พลังอำนาจเพิ่มพูน
ข่าวดีอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อที่วางแผนจะไปทดสอบกระบวนเวทเพลิงปะทุเป็นอันต้องกะพริบตาปริบๆ หลังจากได้ยินเฉินอวี่ถงพูดขึ้น ก่อนจะวางมือจาก สิ่งที่กำลังทำและมองแหวนสื่อสารอย่างสับสนเล็กน้อย
แต่ก่อนจะถามกลับ เฉินอวี่ถงก็พูดด้วยเสียงตื่นเต้นผ่านแหวนนั่นมาพอดี
“ปรมาจารย์เจียงเจ้อเต่อ…ผู้อาวุโสผู้นี้เพิ่งบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในระดับต้น เข้าสู่ขั้นกำเนิดแก่นในระดับกลางอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้ท่านได้เลื่อนตำแหน่งจากผู้อาวุโสชั้นสูงของตำหนักอาวุธเวท ขึ้นเป็นรองประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์เรียบร้อย!
“รองประมุขสำนักในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นแท้จริงมีเพียงสามตำแหน่งเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับมีสี่คน! ศิษย์น้องเป่าเล่อ ในที่สุดวันของพวกเราก็มาถึง!” เฉินอวี่ถงฟังดูตื่นเต้นร่าเริงสุดขีด จนเสียงลมหายใจดังฟังชัด
หวังเป่าเล่องุนงงกับความตื่นเต้นของอีกฝ่าย เพราะใช้เวลาหมกตัวอยู่กับการ ดูดพลังกระบวนเวทเพลิงปะทุราวกับจำศีล ทำให้ไม่รู้ความเป็นไปต่างๆ ภายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในช่วงนี้เลย แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพอรู้เรื่องการสืบทอดตำแหน่งที่เฉินอวี่ถงพูดถึงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าคืออะไร
ชายหนุ่มถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ‘ปรมาจารย์เจียงเจ้อเต่อ’ ที่เฉินอวี่ถงเอ่ยถึง เพราะรู้สึกไม่คุ้นชื่อนัก
“ปรมาจารย์?”
เฉินอวี่ถงหัวเราะเมื่อรับรู้ถึงความสับสนของอีกฝ่ายผ่านน้ำเสียง และเริ่มอธิบาย
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ปรมาจารย์คนก่อนมีศิษย์เอกสองคน หนึ่งในนั้นคือเจ้าสำนักลู่แห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง รู้จักกันในนามของท่านอาอาจารย์ลู่หยุนคุน และอีกคนคืออาจารย์ของข้าเอง ท่านซุนอี้เฟิง!
“ท่านอาอาจารย์ลู่ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ท่านอาวางแผนจะรับเจ้ามาเป็นศิษย์เอกตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้ามาเรียนในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงด้วยซ้ำ แต่ความดีความชอบที่เจ้าทำตอนสอบ ณ หมู่บ้านลมปราณวิญญาณกลายเป็นที่สนใจของใครหลายคนในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แถมตอนนั้นท่านปรมาจารย์ก็กำลัง จำศีลอย่างสันโดษอยู่พอดี ทำให้การรับเจ้าเข้าเป็นศิษย์เอกดำเนินการได้ล่าช้าขึ้น เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง
“ตอนนี้ปรมาจารย์ออกจากการจำศีลแล้ว และยังเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น รองประมุขสำนักอีกด้วย เมื่อทุกอย่างลงตัว เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์เอกของท่านอย่างเป็นทางการ” เฉินอวี่ถงอธิบายอย่างสดใสร่าเริง
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง แม้ว่าจะเป็นไปตามความคาดหวัง แต่ข่าวดีของตนเอง ก็ทำให้เขาไพล่นึกถึงเรื่องการสืบทอดตำแหน่งที่เคยอ่านเจอในอัตชีวประวัติ เจ้าพนักงานระดับสูง จนจิตใจเริ่มกระวนกระวาย ก่อนนึกอะไรบางอย่างออก จึงรีบเอ่ยถาม
“ศิษย์พี่เฉิน ในเมื่อปรมาจารย์เลื่อนขั้นเป็นรองประมุขสำนัก แล้วใครจะรับตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งตำหนักอาวุธเวทต่อจากท่านหรือ”
เฉินอวี่ถงพอใจกับคำถามที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียด ก่อนตอบกลับด้วยเสียงทุ้มลึก “ศิษย์น้องเป่าเล่อเอ๋ย เมื่อปรมาจารย์ขึ้นเป็น รองประมุขสำนักแล้ว ท่านจะเสนอปรมาจารย์ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นต่อท่านประมุขสำนักเอง!”
ความคิดแล่นเข้าหัวของหวังเป่าเล่อขณะฟัง และรู้ทันทีว่าหากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าการสืบทอดตำแหน่งของพวกเขาจะเหนียวแน่นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภายในตำหนักอาวุธเวทแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ปรมาจารย์รองประมุขสำนักอยู่ด้านบนสุด รองลงมาคือผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งตำหนักอาวุธเวท และบรรดาเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองทั้งหมด…เมื่อการสืบทอดตำแหน่งเรียงกันเช่นนี้จะทำให้เขาและเฉินอวี่ถงมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน!
หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกขณะกำลังคิดเช่นนั้น จู่ๆ ภาพการแย่งชิงตำแหน่งที่บรรยายไว้ในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงก็ผุดขึ้นในใจเขาทันที ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เบิกบานใจมากเท่านั้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเองกลายเป็น ผู้มีอำนาจคนสำคัญของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่บุคคลธรรมดาอีกต่อไป
“แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้แน่นอนเสียทีเดียว เพราะผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในตำหนักอาวุธเวทต่างก็กำลังแย่งชิงตำแหน่งว่างนั้นเช่นกัน ต่อจากนี้คงจะต้องมี การแข่งขันอย่างแน่นอน!
“แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็มีปรมาจารย์ผู้ทรงอำนาจ คอยผลักดันและหนุนหลังเรื่องนี้พวกเราอยู่ ทำให้มีโอกาสสำเร็จมากกว่าแปดในสิบส่วน ไม่ก็เต็มร้อยเลยทีเดียว!” น้ำเสียงของเฉินอวี่ถงดูผ่อนคลาย และเชื่อมั่นในอำนาจบารมีของ ท่านปรมาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
เฉินอวี่ถงพูดกับหวังเป่าเล่อต่อ ก่อนจะค่อยๆ สงบลงหลังจากได้แบ่งปันความตื่นเต้นให้อีกฝ่ายแล้ว เขาสูดลมหายใจลึก และพูดกับศิษย์ผู้นี้ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ถ้าท่านปรมาจารย์ขึ้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งตำหนักอาวุธเวทและทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จะไม่มีผู้ใดขัดขวางข้าจากการเลื่อนขั้นเป็นรองเจ้าตำหนักอาวุธเวทได้อีกต่อไป!
“ดังนั้น ศิษย์น้องเป่าเล่อจะต้องตั้งใจฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเป็นองครักษ์อาวุธเวทในเร็ววันให้จงได้! เพราะเมื่อปรมาจารย์ขึ้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงแล้ว โอกาสที่เขาจะช่วยให้เจ้าได้เข้ามาดูแลฝ่ายปกครองสำนักนั้นมีสูงมากเลยทีเดียว!
“นี่ถือเป็นโอกาสอันดี เป่าเล่อเอ๋ย หากเจ้าทำสำเร็จ ก็จะสามารถขึ้นเป็น รองเจ้าตำหนักในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า…แล้วพวกเราพี่น้องก็จะเป็นที่กล่าวขวัญ และมีอำนาจสำคัญในตำหนักอาวุธเวท!”
หวังเป่าเล่อตื่นตัวอย่างมีความสุขเมื่อฟังข่าวดีอันเรียบง่ายของอีกฝ่าย ชายหนุ่มลิงโลดใจ ความคาดหวังมากมายวนเวียนอยู่ในหัวของเขา ก่อนจะรีบพูดขึ้นทันที
“วางใจเถิด ศิษย์พี่เฉิน! อันที่จริง ข้าไปทดสอบองครักษ์อาวุธเวทตอนนี้ยังได้เลย แต่ข้าอยากเตรียมพร้อมให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำมันให้สำเร็จต่างหาก” หวังเป่าเล่อกล่าว เฉินอวี่ถงหัวเราะมีความสุขและเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“การทดสอบองครักษ์อาวุธเวทแบ่งเป็นการทดสอบหลักและการทดสอบย่อย โดยทั้งคู่จะต้องลงทะเบียนก่อน พวกมันยังมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง และเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบทั้งสองแบบเพื่อขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวท
“การทดสอบย่อยจะเกิดขึ้นทุกๆ เดือน ทุกคนสามารถเข้าร่วมหลังจากลงทะเบียนแล้ว โดยมีรองเจ้าตำหนักเป็นผู้ดูแล ในขณะที่การทดสอบหลักนั้นจัดขึ้นเพียงปีละครั้ง นอกจากจะต้องลงทะเบียนล่วงหน้าแล้ว ยังมีคู่แข่งหลายคนอีกด้วย ผู้ดูแลการทดสอบนี้คือรองเจ้าตำหนักและเจ้าตำหนักทุกคน การทดสอบหลักสำคัญยิ่งกว่าการทดสอบย่อยนัก ดังนั้นการเลื่อนขั้นและตำแหน่งที่จะได้รับในอนาคตนั้นย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“ขณะเดียวกัน ผู้เข้าร่วมการทดสอบหลักขององครักษ์อาวุธเวทต้องมีความมั่นใจอย่างยิ่ง เพราะทุกคนมิได้เข้าแข่งขันเพียงเพราะหวังเลื่อนขั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะเป็นที่หนึ่งให้ได้ด้วย!
“เป่าเล่อเอ๋ย ยังมีเวลาเหลืออีกสามเดือนก่อนการทดสอบหลักขององครักษ์อาวุธเวทจะมาถึง หากเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วก็อย่าพลาดโอกาสนี้เชียว แต่ไม่ต้องกดดันตัวเองเกินไปนักเล่า เพราะเมื่อปรมาจารย์ขึ้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูง ทุกอย่างก็สามารถเจรจาต่อรองได้!
เมื่อเฉินอวี่ถงบอกข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับการทดสอบอาวุธเวทเสร็จ ก็วางแหวนสื่อสารลงเพื่อจบบทสนทนา หวังเป่าเล่อยืนนิ่งภายนอกถ้ำที่พักของตน มองอนาคตข้างหน้าในแง่ดี
โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงโอกาสในการดูแลฝ่ายปกครองสำนัก หลังจากอาจารย์ของเฉินอวี่ถงขึ้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงแล้ว และเมื่อขึ้นเป็นองครักษ์อาวุธเวทได้ด้วยตนเอง หัวใจของเขาก็เต้นแรงพร้อมดวงตาเป็นประกาย
สามเดือน…ก็เพียงพอแล้ว! หลังจากคิดวางแผน หวังเป่าเล่อกลับไปยังถ้ำที่พักอย่างมุ่งมั่น ก่อนเปิดเครือข่ายวิญญาณเพื่อลงทะเบียนสำหรับการทดสอบหลักขององครักษ์อาวุธเวทซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า
หลังจากลงทะเบียนเสร็จสิ้น ชายหนุ่มจึงเดินออกจากถ้ำที่พักด้วยความตื่นเต้น ก่อนโบกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นทะเลเพลิงขนาดเล็กตรงมือของตน ก่อตัวเป็น พายุเพลิงกวาดล้างพื้นที่เป็นรัศมีเกือบหนึ่งเมตรรอบตัว
คลื่นความร้อนระอุไปทั่ว จนเกิดรอยไหม้บนพื้นดิน หวังเป่าเล่อร่าเริง ก่อนจะรู้สึกว่าปราณวิญญาณกำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว จึงพยายามอยู่ครู่หนึ่งก่อนดับทะเลเพลิงลงอย่างรวดเร็ว
หากข้าปลดปล่อยพลังทั้งหมด จะใช้เวลาอยู่ประมาณสามสิบลมหายใจเท่านั้น…ชายหนุ่มรู้สึกพอใจ แม้ว่าระยะเวลาจะไม่นานมาก ก่อนกลับถ้ำที่พักกินขนมเล่น อย่างมีความสุข
ผ่านไปสักพัก เขาลูบท้องตนเองหลังจากกินขนมหมดไปเจ็ดห่อ และเริ่มคิดถึงสมบัติเวทที่จะใช้ในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท
“ข้าคิดจะหลอมเขี้ยวมังกรในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ทั้งยังจัดเตรียมเขี้ยวอสูรจำนวนมากเอาไว้แล้ว โดยเฉพาะเขี้ยวของสัตว์อสูรระดับรากฐานตั้งมั่น แต่ว่า…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ด้วยแววตาฉายแววประหลาด ในฐานะของผู้ศึกษา เรื่องอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างดี จึงรู้ดีว่าการเป็นที่ยอมรับ จากผู้บังคับบัญชานั้น ทำให้เข้าเส้นชัยไปครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้เพื่อความสำเร็จผล จึงจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อแสดงความสามารถของตนอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดกับอาจารย์ของเฉินอวี่ถงที่จะต้อง เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงให้สำเร็จเสียก่อน ชายหนุ่มจำเป็นต้องบากบั่นด้วยตนเองและเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจะแสดงให้คนอื่นเห็นถึงความสามารถ แทนที่จะได้รับตำแหน่งองครักษ์อาวุธเวทมาอย่างง่ายๆ
ต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันในการเลื่อนขั้นของปรมาจารย์ท่านนั้น หวังเป่าเล่อยังคงสามารถต่อสู้เพื่อตำแหน่งที่ตนใฝ่ฝันได้อยู่!
แต่การหลอมสมบัติเวทเขี้ยวมังกรในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทนั้น ยังไม่เพียงพอ เขี้ยวมังกรเป็นสมบัติเวทที่ทรงพลังก็จริง แต่ต้องอาศัยความสามารถในการหลอมวัสดุอย่างสูง หนักกว่านั้นคืออักขราจารึกของมัน หากผิดพลาดแม้เพียงนิดจะเห็นได้ชัดเจนทันที และนั่นจะส่งผลต่อลำดับคะแนนในการสอบของเขา
หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนมีความคิดอันอาจหาญผุดขึ้นมาในหัว จนดวงตาเปล่งประกาย…
จริงๆ แล้ว ความคิดนี้ล่องลอยอยู่ในหัวมาตลอดตั้งแต่กลับจากป้อมปราการ และยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าความคิดนี้จะยิ่งแจ่มชัดขึ้นเท่านั้น
“ถ้าจะหลอมปืนใหญ่สวรรค์ย่อส่วนนี่ พอจะเป็นไปได้รึเปล่าหนอ” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็พูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ด้วยอยากทดลองดูสักตั้ง ในเมื่อความคิดนั้นวนเวียนในใจมาอย่างต่อเนื่อง
ถ้าข้าหลอมสมบัติเวทระดับสามปืนใหญ่สวรรค์ย่อส่วนสำเร็จล่ะก็…ข้าจะสามารถกำจัดทุกอย่างและทุกคนออกจากการทดสอบหลักขององครักษ์อาวุธเวท ได้อย่างแน่นอน แล้วอันดับหนึ่งจะตกเป็นของใครเล่าหากไม่ใช่ข้า
หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวเมื่อคิดเช่นนั้น ในหัวเห็นเพียงภาพอักขราจารึกภายในปืนใหญ่สวรรค์ รวมถึงอักขระที่ซ่อนอยู่ซึ่งปรากฏขึ้นหลังใช้ทรายอาวุธไขรหัส หวังเป่าเล่อรู้สึกฮึกเหิมขึ้นเมื่อนึกถึงอักขราจารึกเหล่านั้น
ข้า…ข้าจะหลอมปืนใหญ่สวรรค์ย่อส่วนให้จงได้!