บทที่ 19 กระบวนท่าบิดหมุนมหาสูญ
หลังจากสามวันสี่คืนในห้องหินละลาย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าบรรดา ศิษย์น้อยใหญ่ที่เขาเจอระหว่างทางกลับไปยอดเขาอาวุธเวทต่างพากันมองเขา ไม่วางตา การทุบสถิติของเขาเป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเกาะ
อาจารย์หลายต่อหลายคนที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองก็เริ่มจับตาดูหวังเป่าเล่อเช่นกัน นี่ก็เพราะภาคการศึกษาใหม่ยังเริ่มมาไม่ถึงปีเลย แม้การบรรลุขั้นปราณของหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เร็วที่สุด แต่มันมักมาพร้อมเหตุการณ์น่าเหลือเชื่อเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ความสำเร็จของหวังเป่าเล่อยังเกิดขึ้นติดๆ กันแบบไม่เว้นวรรค จนกลายเป็นหัวข้อสนทนาในกระทู้มากมายบนเครือข่ายวิญญาณ นี่ทำให้สานุศิษย์ ทุกคนที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองไม่ว่าจะชั้นปีไหน ต่างรู้จักชื่อของหวังเป่าเล่อกันทั้งสิ้น
ระหว่างทางกลับ หวังเป่าเล่อเปิดเครือข่ายวิญญาณดู และพบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายขณะที่เขากำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าไม่น่าเลย
ข้าแค่อยากผอมเท่านั้น ทำไมดันกลายเป็นจุดสนใจของชาวบ้านไปได้ จะทำตัวเด่นเกินไปแล้ว ไม่ได้การเด็ดขาด ข้าเป็นชายผู้ที่จะกลายเป็นผู้นำสหพันธรัฐในอนาคต อย่างไรก็ต้องพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจเข้าไว้ หวังเป่าเล่อไอออกมาแห้งๆ ขณะกำลังเดินกลับ ในใจก็อดรู้สึกพอใจในผลงานการลดน้ำหนักของตนเองไม่ได้ เขาหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาดื่มอึกใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
กว่าจะลดน้ำหนักได้นี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ ชายหนุ่มย้อนนึกไปถึงเส้นทาง การฝ่าฟันไปสู่ความผอมที่ใฝ่ฝัน แล้วก็หยิบขนมขึ้นมาหนึ่งถุงพร้อมเสียงถอนหายใจ ก่อนจะกินหมดอย่างรวดเร็วเช่นเคย ด้วยเสียงดังกร้วมๆ
ข้าต้องระวังตนไว้ จะกลับมาอ้วนอีกไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นก็ต้องกลับไป ย้ำคิดย้ำทำแบบนั้นอีก หวังเป่าเล่อเตือนใจตนเอง แค่คิดถึงห้องหินละลายอันร้อนระอุใจเขาก็พาลสั่นด้วยความกลัว แต่ก็ไม่วายหยิบขนมขึ้นมาอีกถุง
ข้าจะไม่มีวันกลับไปอ้วนอีกเป็นอันขาด! เมื่อตั้งมั่นเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ใช้เวลาช่วงบ่ายทั้งหมดไปกับการกินขนม ก่อนจะตบพุงตนเองตบท้าย ดวงตาของ ชายหนุ่มเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เขาเริ่มตรึกตรองเกี่ยวกับค่าความบริสุทธิ์ของ ศิลาวิญญาณ
ทันทีที่นึกถึงเหตุการณ์ที่พลังปราณจำนวนมหาศาลถูกดูดเข้าร่างกาย ขณะที่ ศิลาวิญญาณดันขึ้นไปแตะเลข 85 หวังเป่าเล่อก็ลังเลใจ เขาค้นหาข้อมูลบนเครือข่ายวิญญาณอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง ต่อไปนี้เมื่อหลอมศิลาวิญญาณเขาจะระวังตนให้มากขึ้น เขาจะจดจ่อกับการควบคุมความเร็วของกระแสปราณที่ไหลเข้าร่างให้มากที่สุด แม้ว่าจะทำให้ผลลัพธ์ช้าขึ้นก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ แม้พัฒนาการการผลิตศิลาวิญญาณของเขาจะช้าลงนับจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้อ้วนฉุขึ้นมาอีก
หลังจากที่แก้ปัญหานี้ได้เรียบร้อย เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตำแหน่งหัวหน้าศิษย์เข้ามาใกล้เพียงเอื้อมมืออีกครั้ง ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้านี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มเดินหน้าเพิ่มผลิตศิลาวิญญาณอีกครั้ง
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างแสนสั้น หนึ่งเดินหลังจากนั้น หวังเป่าก็เจอเข้ากับก้างอีกหนึ่งชิ้นใหญ่ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ก้าวพ้นเลข 86 ไปไม่ได้เสียที
นี่เป็นปรากฏการณ์คอขวดครั้งที่สองของเขาแล้ว หวังเป่าเล่อเอาหน้ากากนิลออกมาด้วยใจหดหู่ แต่แม้จะลังเลอยู่ชั่วครู่ก็พาตนเองเข้าไปสู่มิติมายาในที่สุด ภาพตรงหน้าเขาพร่ามัว แต่ก็ยังคงมองออกว่าเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนที่คุ้นเคย
ลมกรีดร้องเสียงแหลม หวังเป่าเล่อก้มลงมองหน้ากากนิลในมือ เขาจ้องหน้ากากในมือตนอยู่สักพัก แต่ตัวหนังสือที่แสดงอยู่ก็ยังคงเป็นคำว่าโอสถปัดเป่าจาก เมื่อครั้งก่อนหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
“แปลกจริง…มันจะได้เรื่องก็ต่อเมื่อข้าคุยกับมันอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อ เกาหัวแกรก เขานึกได้ว่าในตอนนั้นหน้ากากเริ่มบอกเคล็ดลับเมื่อเขาพูดคุยพึมพำ กับตัวเอง หวังเป่าเล่อมองไปที่หน้ากากอย่างเคลือบแคลงใจ ก่อนจะกระซิบออกมาว่า “หน้ากากนิลเอ๋ย จงบอกข้าเถิด มีวิธีใดที่จะทำให้ข้าเพิ่มความบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณจากร้อยละ 85 ให้เลย 90 หรือไม่”
หลังจากที่หวังเป่าเล่อพูดออกไปเช่นนั้น ชายหนุ่มก็จ้องมองหน้ากากเขม็ง ไม่กี่วินาทีต่อมา ตัวอักษรที่เคยอยู่บนหน้ากากก็เริ่มจางลง หน้ากากทั้งอันดูมัวไป ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนคำใหม่จะเริ่มปรากฏขึ้นมาแทนที่
มีใครอยู่ในนั้นจริงๆ ด้วย! หวังเป่าเล่อตกใจ หัวใจก็พลันเต้นแรงขณะก้มลงอ่าน
กระบวนท่าบิดหมุนมหาสูญ แต่ข้อความบนหน้ากากไม่ได้จบลงแค่นั้น หวังเป่าเล่ออึ้งทันทีเมื่ออ่านทุกอย่างจบ นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่หน้ากากบอกเขาไม่ใช่ให้หาโอสถมากินอีกต่อไป แต่มันคือ เคล็ดวิชาที่คลับคล้ายว่าเป็นวิทยายุทธ์บางอย่าง
วิทยายุทธ์นั้นถือเป็นศาสตร์ที่สอนกันทั่วไปในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะที่สาขาการยุทธ์ที่มีกระบวนท่ามากมายเป็นพิเศษ และก็มีอยู่หลายตำราที่เป็นกระบวนท่าบิดหมุน ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไรเลย
นี่ทำให้หวังเป่าเล่องุนงงมากขึ้นอีก ขณะที่ลองอ่านทวนดูอีกครั้ง
ตามอักขระที่เขียนอยู่ เหตุที่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถเพิ่มค่าความบริสุทธิ์ของศิลาวิญญาณได้ ก็เพราะเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนในตัวเขา ไม่ได้หลอมรวม เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายโดยสมบูรณ์ จึงทำให้เขาควบคุมอะไรได้ยากขึ้น
การฝึกวิทยายุทธ์กระบวนท่าบิดหมุน เป็นวิธีที่จะทำให้เมล็ดหลุมดำนี้ หลอมรวมเข้ากับกายหยาบได้เร็วที่สุด
เมื่อบรรลุกระบวนท่านี้แล้ว นอกจากเขาจะมีพลังดูดมากขึ้น มันจะยังทำให้เขาสามารถย้ายเมล็ดหลุมดำนี้ ไปที่ส่วนไหนก็ได้ในร่างกายเพื่อดูดพลังรอบตัว เมื่อทำสำเร็จเขาก็จะทะยานผ่านเลข 85 ไปสู่ความสมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
ก้าวแรกของกระบวนท่านี้คือวิชาการหักนิ้วมิใช่หรือ หวังเป่าเล่อกระพริบตาปริบๆ เขาพูดถูก กระบวนท่าบิดหมุนมหาสูญนี้ไม่ได้แปลกพิสดารอะไรเลย เขายกแขนซ้ายขึ้นและลองฝึกซ้อมท่าดู
หลังจากที่ซ้อมไปได้สองสามครั้ง หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจว่าจะควบคุมมิติมายาให้สร้างคู่ต่อสู้ขึ้นมาฝึกกับเขา ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ใบหน้าของเขาพร่ามัวและระดับปราณก็อยู่ที่ขั้นปราณโลหิตเท่านั้น ชายผู้นี้วิ่งกระโจนเข้าโจมตีหวังเป่าเล่อทันทีที่ปรากฏกายออกมา
หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างขณะพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้เช่นกัน ด้วยพลังปราณขั้นผนึกกายาที่ทั้งเร็วและแรง เขาทุ่มหมัดเข้าใส่ชายผู้นั้น คู่ต่อสู้เบี่ยงหลบทิศทางหมัดของเขาไป ด้วยความไวระดับแสง หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าประชิดตัวก่อนจะจับหมีบเข้าที่อุ้งมือของ คู่ต่อสู้ เมื่อคลำไปเจอนิ้ว ชายหนุ่มก็จัดการหักมันไปด้านหลังในทันที
“ง่ายเกินไป” หวังเป่าเล่อพึมพำ
สิ้นคำนั้นลำแสงสีดำก็กะพริบวาบออกมาจากหน้ากากนิล ในเวลาเดียวกันนั้น มิติมายาทั้งหมดก็พลันบิดเบี้ยว เสียงมิติที่กำลังแตกร้าวดังมาจากทั่วทุกทิศทุกทาง
“เกิดอะไรขึ้นกันนี่!” หวังเป่าเล่อกระโดดตัวลอยด้วยความตกใจ ขณะถอยกรูดไปสังเกตการณ์อยู่ด้านหลัง เขารู้สึกว่ากระแสลมหนาวบาดลึกกรีดแทงร่างกายตนเองมากกว่าเดิม สัตว์ขั้วโลกที่เดินอยู่ไกลๆ ก็ดูเปลี่ยนไป
ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมรอบกายได้ครบ คู่ต่อสู้ที่เขาสร้างขึ้นมาก่อนหน้าก็เงยหน้าขวับขึ้น ปราณของชายผู้นั้นยังอยู่ในขั้นปราณโลหิต แต่เขาดูราวกับเป็นคนละคน ชายผู้นั้นก้าวดุ่มๆ เข้ามาหาหวังเป่าเล่อด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่าน
แม้ว่านี่จะเป็นคู่ต่อสู้คนเดียวกันกับเมื่อก่อนหน้า บรรยากาศที่เขาปล่อยออกมากลับแตกต่างกับลิบลับ หวังเป่าเล่อไม่ทันได้คิด จึงพุ่งหมัดออกไปใส่คู่ต่อสู้แบบลุ่นๆ เหมือนเดิม แต่คราวนี้…
ชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้โยกหลบแต่อย่างใด แต่กลับวาดมือมากำรอบข้อมือของหวังเป่าเล่อไว้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอาการชาประหลาดลามไปทั่วแขน
มือที่กำหมัดอยู่ของชายหนุ่มคลายออก แม้แต่พละกำลังของเขาก็ดูจะ เหือดหายไปด้วย ชายคู่ต่อสู้ใช้แรงปะทะนี้ฉวยเอานิ้วมือของหวังเป่าเล่อมา หักย้อนกลับขึ้นไปที่หลังมือ
“โอ๊ย! หยุด! หยุด! หยุด!”
ความเจ็บปวดรุนแรงกรีดแทงฉับพลันราวกับสายฟ้าฟาด ก่อนลามไปทั่วกายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มผุดเหงื่อเย็นออกมาเป็นเม็ดๆ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากร้อง โหยหวนด้วยความเจ็บกาย ร่างของเขาอ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันที เขาเดินโซเซจากการโดนหักนิ้ว
ทันทีที่หวังเป่าเล่อร้องออกมาให้หยุด คู่ต่อสู้ก็ปล่อยมือและถอยหลังไปยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่ยังคงมองมาที่หวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หวังเป่าเล่อกุมนิ้วมือตนเอง พลางหอบแฮ่กและมองไปที่คู่ต่อสู้ด้วยสายตาความกลัว เขาหันไปมองหน้ากากนิลและรู้สึกเคลือบแคลงขึ้นมาว่าต้องเป็นฝีมือของ เจ้าหน้ากากนี่แน่ เขาเคืองใจเป็นอย่างมาก
“ไอ้วิชาหักนิ้วนี่มันจะสักเท่าไหร่กันเชียว เมื่อครู่ข้าแค่ไม่ได้ตั้งตัวเท่านั้นแหละ เอาใหม่!” สิ้นสุดคำนั้น คู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่เขาในทันที แต่คราวนี้ ชายหนุ่มเตรียมพร้อมเรียบร้อย เขาไม่ได้ง้างมือออกพุ่งหมัดแต่วาดขาเตะแทน เมื่อคู่ต่อสู้เขาโยกตัวหลบ หวังเป่าเล่อก็ใช้โอกาสนี้พุ่งหมัดเข้าใส่ขมับทันที
แต่คราวนี้มีบางอย่างเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฉวยโอกาสที่คู่ต่อสู้ หลบหลีกเข้าโจมตี แต่อีกฝ่ายกลับปล่อยแรงดูดบางอย่างออกมา แรงดูดนั้นราวกับมือที่มองไม่เห็นที่กระชากชายหนุ่มให้เสียศูนย์ และเปลี่ยนทิศทางการปล่อยหมัดของเขา คู่ข้อสู้หมุนตัวกลับมาคว้านิ้วของเค้าไว้ และนิ้วก็พลันหักงอลงในฉับพลัน
ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยวาบขึ้นทั่วร่างของหวังเป่าเล่อ เขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็วให้หยุด ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้นในใจ มันมากเสียจนตัวเขาเองแทบคลั่ง
การโดนหักนิ้วนั้นเจ็บปวดเกินไป แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองที่ชอบตราหน้าผู้อื่น ว่าหน้าไม่อาย ก็ยังรู้สึกว่าวิชานี้ไร้ยางอายเสียเอง ความรู้สึกที่ไม่สามารถใช้พละกำลังของตนต่อสู้ได้ ขณะที่คู่ปรับจ้องแต่จะหาช่องหักนิ้วมือของเขา ทำให้เขาคลุ้มคลั่ง จนใกล้บ้า
“อีกรอบ!” สักพักหลังจากนั้น สีหน้าซีดราวไก่ต้มของหวังเป่าเล่อก็กลับดูดีขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ใช้มืออีกเด็ดขาด
แต่ไม่นาน นิ้วของเขาก็ตกเป็นเหยื่ออันโอชะของชายวัยกลางคนนี้อีกจนได้ ร่างของหวังเป่าเล่ออ่อนยวบลง มือของชายหนุ่มถูกชูสูงขึ้นบนฟ้า ก่อนคู่ต่อสู้จะเริ่มหักนิ้วของเขาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็เศร้าล่วงหน้าไปแล้วในใจ
“ให้ตายเถิด ทำไมต้องจองล้างจองผลาญกันขนาดนี้ ทั้งที่ข้าก็ซ่อนมืออยู่ตลอด แต่หมอนี่ก็ยังหาช่องมาหักนิ้วข้าอีกจนได้ โอ๊ย…เจ็บโว้ย!”
หวังเป่าเล่อเจ็บน้ำตาเล็ด แต่ความโกรธเกลียดในใจกลับมีมากกว่า ชายหนุ่ม ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่คุกรุ่นของตนได้ คู่ต่อสู้ของเขามีขั้นปราณแค่ระดับ ปราณโลหิตเท่านั้น แต่ตัวเขาที่อยู่ขั้นผนึกกายากลับโดนเจ้านี่ตามมาตามหักนิ้วได้ ไม่วาย ความเจ็บปวดเหลือทน ความจงเกลียดจงชัง ผสมปนเปกับอาการมือแปดด้านและอารมณ์อื่นๆ พี่พวยพุ่ง ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนตัวเองโดนโกงซึ่งๆ หน้า
“ไม่มีทางหรอกที่คนอย่างข้าจะแพ้ เอาใหม่!” หวังเป่าเล่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและพุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง…
เวลาผ่านไปภายในมิติมายา เสียงร้องโหยหวยด้วยความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นแหลมสูงและโหยหวนขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยเข้าอีกวัน เมื่อหวังเป่าเล่อออกจากมิติมายา เขาก็รู้สึกอ่อนแรงเสียแทบจะล้มลง ชายหนุ่มนอนหมดสภาพอยู่ในถ้ำที่พัก พลางมองไปที่นิ้วมือทั้งสิบนิ้วของตนด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
สวรรค์ปรานีข้าด้วย ไอ้วิชาหักนิ้วบ้านี่มันจะเกินไปแล้ว แถมยังมีแรงดูดนั่นอีก ข้ายังไม่เห็นทางที่จะหลบมันได้เลย ข้าต้องฝึกวิชานี้ให้สำเร็จให้จงได้ ช่างเป็น วิทยายุทธ์ที่ทรงพลังยิ่งนัก! หวังเป่าเล่อตระหนักแล้วว่าหน้ากากนิลที่สว่างวาบออกมาตอนนั้น ได้เปลี่ยนคู่ต่อสู้ของเขาให้กลายเป็นคนละคน และนำกระบวนท่า บิดหมุนมหาสูญมาเล่นงานเขาเข้าอย่างจัง
ไม่มีคำอธิบายอื่นอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคำอธิบายบนหน้ากาก เกี่ยวกับกระบวนท่าเริ่มต้นของวิชาบิดหมุนมหาสูญ แรงดูดนั้นเปรียบเหมือนหลุมดำที่ควบคุมให้เคลื่อนย้ายไปทั่วร่างได้ หลังจากเมล็ดได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายเนื้อโดยสมบูรณ์
หลังจากที่ได้รู้ซึ้งถึงอานุภาพของกระบวนท่าบิดหมุนมหาสูญ หวังเป่าเล่อก็ ผุดความสนใจในวิชานี้ขึ้นมาทันที เขาแน่ใจว่าวิชานี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเลข 85 ไปได้ แต่จะทำให้ทักษะการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นอีกด้วย
คิดได้เช่นนี้หวังเป่าเล่อก็หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาชนะมันให้ได้ แม้คืนนั้น เขาจะหยุดพัก ในใจของชายหนุ่มก็เอาคิดวิเคราะห์อย่างไม่หยุดหย่อน เมื่อรุ่งเช้า มาเยือน หวังเป่าเล่อก็กินขนมนิดหน่อยอย่างรวดเร็วเป็นอาหารเช้า ก่อนจะเข้า มิติมายาไปแก้มืออีกครั้ง
วันนั้นผันผ่านไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนในมิติมายา เสียงกรีดร้องด้วย ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้ลดลงเลย หากกลับเพิ่มความถี่ขึ้นเสียอีก เพราะเมื่อ หวังเป่าเล่อเริ่มชินกับความเจ็บปวด เขาก็ใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายน้อยลง ทำให้มีโอกาสโดนหักนิ้วบ่อยขึ้นตามไปด้วย
“เจ็บโว้ย!”
“พับผ่าสิ ไอ้บ้าหน้าไหนมันคิดวิชานี้ขึ้นมากัน”
“นิ้วข้าจะหักแล้ว…”
แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นคนหมกมุ่นกับเป้าหมายขนาดไหน ก็ไม่อาจต้านทานขีดจำกัดของร่างกายตนเองได้ อีกเพียงนิดเดียวชายหนุ่มก็ใกล้จะเป็นบ้า เขาทำแม้กระทั่งพาลไปโทษธรรมชาติที่สร้างมนุษย์มาให้มีนิ้ว
หวังเป่าเล่อพยายามคิดหาทางออก เขาต่อรองกับหน้ากากโดยการพึมพำกับตนเอง เพื่อขอคู่ต่อสู้รุ่นน้องอีกคนมาให้ซ้อมมือ หลังจากที่ต่อสู้กับคู่ต่อสู้รุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว เจ้าคู่ต่อสู้รุ่นน้องนี้กลายเป็นเครื่องระบายความโกรธของหวังเป่าเล่อ
ทุกครั้งที่ชายหนุ่มโดนหักนิ้ว เขาจะเรียกคู่ต่อสู้รุ่นน้องออกมาดวล ด้วยการหักนิ้วรุ่นน้องนั้นให้หายแค้นและหายโมโห เมื่อมีที่ให้ระบายดังนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็มีกำลังใจฝึกต่อไปได้
อีกหนึ่งเดือนเวียนผ่าน หวังเป่าเล่อตกอยู่ในสภาพจำยอม เมื่อเริ่มรู้สึกได้ว่าคู่ต่อสู้รุ่นน้องนี้อ่อนแอเสียจนไม่คณามือ แถมยังแข็งทื่อสิ้นดี หวังเป่าเล่อไม่สามารถ ลดความแค้นในจิตใจหรือพัฒนาฝีมือขึ้นได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น คู่เจ้าซ้อมรุ่นน้องนี้ กลับไม่ปล่อยเสียงร้องออกมาสักแอะ แต่กลับจ้องหน้าเขาอย่างไร้อารมณ์ไม่ว่านิ้ว ของตนจะถูกบิดเสียแทบหลุด
หวังเป่าเล่อรู้สึกไร้ความสะใจสิ้นดี กระนั้นเขาก็ยังตกผลึกเอาเคล็ดลับและประสบการณ์จากการต่อสู้กับคู่ต่อสู้รุ่นพี่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ ชายหนุ่ม แทบทนไม่ไหวที่จะทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เขารู้สึก
ภาพของชมรมการต่อสู้ก็พลันผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที