Skip to content

A World Worth Protecting 191

บทที่ 191 ถือเป็นที่สิ้นสุด!

ปืนใหญ่รูปทรงดูประหลาด สีดำสนิททั้งลำกล้อง แผ่มวลพลังออกมา ฝูงชน     ต่างตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงเมื่อได้เห็น นานมากแล้วที่ไม่มีคนคิดค้นสมบัติเวทขึ้นเองในการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท!

การคิดค้นสมบัติเวทนั้นเป็นเรื่องท้าทายมากเนื่องจากไม่มีสิ่งใดใช้อ้างอิงได้ มีเพียงไม่กี่คนที่จะมั่นใจในตนเอง กล้านำสมบัติเวทที่คิดค้นขึ้นเองมาใช้ในการทดสอบ

สมบัติเวทชิ้นน้อยใหญ่ที่นำออกมาใช้ประเมินการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท   ก่อนหน้านี้นั้น มีแต่สมบัติเวทที่มีชื่ออยู่ในม้วนรายชื่อสมบัติเวท ระดับความยากของแต่ละชิ้นนั้นมีระบุในม้วนรายชื่อ เหล่าฝูงชนที่มาชมการทดสอบต่างรอฟังคำถามจากเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนัก คำถามของพวกเขานั้นถือว่าเป็นช่วงสำคัญมากของการทดสอบ เนื่องจากเหล่าผู้ชมก็ได้รับความรู้มากมายไปด้วย

หากโชคดีไปกว่านั้น อาจจะได้เห็นผู้เข้ารับการทดสอบหลอมสมบัติเวทให้ดูสดๆ ซึ่งพวกเขาก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นไปอีก แต่สมบัติเวทที่หวังเป่าเล่อนำมาใช้ประเมินกลับเป็นผลงานที่เขาคิดค้นขึ้นเอง คุณภาพของสมบัติเวทชิ้นนั้นดูเหนือไปอีกขึ้น

“ผลงานที่คิดค้นขึ้นเองอย่างนั้นหรือ อะไรกัน…ถ้าจำไม่ผิด สิบปีมานี้ ไม่เคยมีใครนำผลงานที่คิดขึ้นใหม่มาใช้ในการประเมินเลย!”

“ปืนใหญ่…หวังเป่าเล่อผู้ทรงพลัง ชื่อแปลกจริง แต่ดูแล้วเป็นสมบัติเวทที่น่าสะพรึงกลัวทีเดียว!”

ขณะฝูงชนกำลังถกกันอย่างร้อนแรงและคาดเดากันไปต่างๆ นานา หลินเทียนหาวและศิษย์คนอื่นๆ ก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบต่างมองไปยังสมบัติเวทของหวังเป่าเล่อ ความเย็นยะเยือกเข้าเกาะกุมหัวใจหลินเทียนหาว ในหัวเริ่มมีความคิดผุดอื้ออึงเต็มไปหมด

ไม่ใช่เขี้ยวมังกรอย่างนั้นหรือ! หลินเทียนหาวกัดฟันแน่นด้วยความเกลียดชัง    เริ่มหายใจผิดจังหวะ จ้องมองปืนใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ในใจเริ่มตื่นกลัวขึ้นมา

หวังเป่าเล่อพอใจปืนใหญ่เป่าเล่อมากเมื่อเห็นสายตาของทุกคนจ้องมา เขาหยุดผยองใจ กุมกำปั้นเคารพเจ้าตำหนัก ก่อนจะดันปืนใหญ่เป่าเล่อไปหน้าตนเอง

เจ้าตำหนักและสี่รองเจ้าตำหนักที่ยืนอยู่ข้างหลังต่างมองด้วยความตั้งใจ ก่อนจะหันไปจ้องหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์ มีปราณวิญญาณแผ่รอบกายเจ้าตำหนักอาวุธเวทเมื่อเขาเดินเข้าไปตรวจประเมินปืนใหญ่เป่าเล่อ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง    แต่ในใจมีความรู้สึกมากมายวนเวียนอยู่

เจ้าตำหนักนั้นมากไปด้วยความรู้เรื่องอาวุธเวท เพียงแค่มองคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าสมบัติเวทชิ้นนี้มีคุณภาพไม่ธรรมดา น่าประทับใจยิ่งนัก หากเป็นโอกาสอื่น เขาคง    ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย มองดูก็รู้ได้ว่าสมบัติเวทชิ้นนี้อยู่เหนือระดับสาม มีคุณภาพสูสีสมบัติเวทระดับสี่ ล้ำหน้าสมบัติเวทอื่นๆ ในการทดสอบนี้ไปมาก

แม้แต่ขวดดวงดารายังเทียบเคียงไม่ได้ เนื่องจากสมบัติเวทของหวังเป่าเล่อนั้นเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และอักขราจารึกที่สลับซับซ้อน อีกทั้งปืนใหญ่เป่าเล่อนี้…ยังเกิดจากการหลอมสมบัติเวทหลายชิ้นเข้าด้วยกันอีกด้วย

คุณภาพของปืนใหญ่จึงพุ่งสูงขึ้นไปอีก แต่เขาก็ไม่สามารถตัดสินได้อย่างง่ายดาย ยิ่งเพราะหวังเป่าเล่อเป็นผู้หลอมสมบัติเวทชิ้นนี้แล้วด้วย

การสอบได้ตำแหน่งองครักษ์อาวุธเวทอันดับหนึ่งในแต่ละปีนั้น นอกจากจะได้รับอำนาจสูงสุดในฝ่ายที่ตัวเองสังกัดแล้ว ยังช่วยกรุยทางสู่การเป็นรองเจ้าตำหนักในอนาคตอีกด้วย…เจ้าหวังเป่าเล่อสนิทชิดเชื้อกับเฉินอวี่ถง ทั้งสองยังอยู่ภายใต้        การสนับสนุนของซุนอี้เฟิง ส่วนซุนอี้เฟิงนั้นกำลังแข่งขันแย่งตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงกับผู้อาวุโสลี่… เจ้าตำหนักอาวุธเวทหรี่ตาลง เขาและซุนอี้เฟิงนั้นอยู่คนละฝ่ายกัน     จะบอกว่าเขาเข้าพวกกับผู้อาวุโสลี่ก็คงไม่ผิดนัก

หากผู้อาวุโสลี่ได้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูง เจ้าตำหนักคงจะได้รับประโยชน์มากมาย แต่ถ้าซุนอี้เฟิงมีอำนาจมากขึ้น ยิ่งเฉินอวี่ถง ศิษย์ของซุนอี้เฟิงกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นรองเจ้าตำหนักแล้ว ก็ถือเป็นภัยคุกคามไม่น้อยสำหรับเขา

เจ้าตำหนักให้หวังเป่าเล่อเป็นองครักษ์อาวุธเวทก็ได้ แต่จะยอมให้เขาซึ่งอยู่ในการดูแลของซุนอี้เฟิง เป็นองครักษ์อาวุธเวทอันดับหนึ่งไม่ได้!

ยิ่งเป็นเจ้าหวังเป่าเล่อแล้วยิ่งไม่ได้ใหญ่ ผลประเมินการทดสอบองครักษ์อาวุธเวทของเขาเหนือชั้นผู้อื่นไปมาก ผลงานที่ผ่านมาก็เป็นแบบอย่างที่ดีต่อศิษย์ ถ้าได้เป็นองครักษ์อาวุธเวทชั้นแนวหน้า…เมื่อระดับการฝึกตนและความรู้ด้านอาวุธเวทของ   เจ้านั่นถึงขั้น ด้วยความสำเร็จมากมายเพียงนี้ เขาจะต้องได้เลื่อนขั้นเป็น               รองเจ้าตำหนักแน่! ภาพอนาคตเบื้องหน้าฉายขึ้นในดวงตาชายวัยกลางคนชุดม่วง     จนฉายแสงวาบ เขาตั้งใจจะกดหวังเป่าเล่อเอาไว้

เจ้าตำหนักมีอำนาจทำเช่นนั้นได้ แม้ผู้คนจะสงสัยว่ามีอะไรแปลกๆ ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้ อย่างไรเสีย ตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงก็ยังว่างอยู่

ด้วยตำแหน่งเจ้าตำหนัก อำนาจในมือของเขานั้นช่างล้นเหลือ แม้จะมีใครออกมาแย้งอะไรในอนาคต อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ต้องผ่านไป ไม่สามารถจัดการอะไรได้อีก

พอตัดสินใจได้ เจ้าตำหนักก็ดึงปราณวิญญาณที่ส่งเข้าไปตรวจสอบปืนใหญ่กลับคืนสู่ร่าง ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม จากนั้นก็ส่งปืนใหญ่ให้รองเจ้าตำหนัก

สี่รองเจ้าตำหนักผลัดกันตรวจสอบปืนใหญ่ พวกเขาต่างตื่นตะลึงและประหลาดใจ เริ่มถกกันอย่างเร่าร้อนกับเจ้าตำหนักที่กำลังมองไปทางหวังเป่าเล่อ

“สมบัติเวทชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เจ้าคิดค้นขึ้นเอง จึงไม่มีคำถามใดต้องถาม หวังเป่าเล่อ จงหลอมสมบัติเวทชิ้นนี้ขึ้นมาอีกครั้ง”

หวังเป่าเล่อคอยสังเกตท่าทีของเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนัก แต่ก็ไม่สามารถประเมินอะไรได้เลย พอได้ยินคำสั่ง เขาก็ยังคงสงสัยว่าเหล่าผู้ประเมินนั้นคิดเห็นกับสมบัติเวทของเขาอย่างไร

แต่คำสั่งนี้ก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น หวังเป่าเล่อพยักหน้ารับก่อนจะปรับลมหายใจของตน เขาหยิบศิลาวิญญาณออกมา มุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่   การหลอมสมบัติเวท ชายหนุ่มเตรียมการไว้เผื่อแล้ว จึงเริ่มลงมือสลักศิลา           อย่างรวดเร็ว สองชั่วโมงผ่านไป หวังเป่าเล่อหลอมสมบัติเวทชิ้นแล้วชิ้นเล่าท่ามกลางสายตาของฝูงชนที่จับจ้องและเสียงร้องตื่นตะลึงเป็นช่วงๆ ของพวกเขา

ในที่สุด เขาก็ประกอบสมบัติเวทเข้าด้วยกัน เกิดเป็นปืนใหญ่เป่าเล่อลำที่สอง!

หวังเป่าเล่อวางปืนใหญ่ที่เพิ่งหลอมเสร็จสดๆ ร้อนๆ ลงพื้นเสียงดัง เขาเงยหน้ามองเจ้าตำหนักและรองเจ้าตำหนัก ฝูงชนต่างอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง เจ้าตำหนักจ้องมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงต่ำ

“เจ้าผ่านการทดสอบองครักษ์อาวุธเวท ส่วนลำดับของเจ้านั้นจะประกาศหลังจากสิ้นสุดการทดสอบ”

ได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะถอยออกไปด้วยความตื่นเต้น เขามั่นใจมากว่าตนจะต้องได้ที่หนึ่งในการประเมินนี้

หลินเทียนหาวหน้าเสียไปในขณะนั้น เขากำหมัดแน่น ในใจเต็มไปด้วย         ความอิจฉาและขมขื่น ชายหนุ่มยืนมองด้วยแววตาฉงนใจ

ผู้เข้ารับการทดสอบคนอื่นๆ ผลัดกันเสนอสมบัติเวทให้เจ้าตำหนักและ           รองเจ้าตำหนักตรวจสอบทีละคน ในที่สุดก็มาถึงช่วงสุดท้ายของการทดสอบ      องครักษ์อาวุธเวท ช่วงที่สำคัญที่สุดในการทดสอบนี้ ทุกคนต่างมองเจ้าตำหนักเป็นตาเดียวระหว่างรอฟังผลการประเมิน

หวังเป่าเล่อ หลินเทียนหาว และผู้เข้ารับการทดสอบคนอื่นๆ ต่างมองไปทางเดียวกันด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะมั่นใจว่าตนมีโอกาสสูง แต่เขาก็อดกลัวว่าตำแหน่งที่เขาหวังจะหลุดลอยออกไปได้

เจ้าตำหนักพูดเสียงเบากับสี่เจ้าตำหนักขณะที่ทุกคนจ้องมองมาอย่างคร่ำเคร่ง   ฝูงชนไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่ก็เห็นรองเจ้าตำหนักที่อาวุโสที่สุดมีท่าทีโกรธขึ้งขึ้นมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่เจ้าตำหนักพูด เขาดูทุกข์ใจไม่น้อย รองเจ้าตำหนักอีกสาม    เริ่มบ่นพึมพำขณะเจ้าตำหนักมองมา ไม่นาน พวกเขาก็พยักหน้า เหมือนว่าจะได้      มติเป็นเอกฉันท์แล้ว

รองเจ้าตำหนักผู้อาวุโสที่สุดสะบัดแขนเสื้อและเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา “ข้าขอสงวนไม่ให้ความเห็นใดๆ กับอันดับนี้!” พูดจบ เขาก็มองมาทางหวังเป่าเล่อ ส่งสายตา    ราวกับอยากจะขอโทษ ก่อนจะหันกลับออกไป

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ฝูงชนตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อใจเต้นรัว รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป สายตาของชายผู้อาวุโสที่มองมานั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด     ดูหมดหนทางอื่นใด

หวังเป่าเล่อขนลุกขึ้นมา

เกิดอะไรขึ้น หวังเป่าเล่อเริ่มหวั่นเกรง เจ้าตำหนักประกาศอันดับด้วยเสียงดังก้องไปทั่วพื้นที่

“ตำหนักอาวุธเวทตัดสินแล้วว่า ผู้ที่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบครั้งนี้คือหลินเทียนหาว!”

“จบการทดสอบเพียงเท่านี้!” เจ้าตำหนักกล่าวอย่างเรียบเฉย ไม่หันไปมองทางหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย พูดจบเขาก็หันกลับออกไป ฝูงชนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง      ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์เสียงดัง

“ที่หนึ่งเป็นของหลินเทียนหาวอย่างนั้นหรอ”

“นี่มันไม่ถูกต้อง สมบัติเวทของหวังเป่าเล่อเป็นสิ่งที่คิดค้นขึ้นเอง ต้องดีกว่าอยู่แล้ว!”

ขณะที่ฝูงชนถกเถียงกันอย่างร้อนแรง หลินเทียนหาวก็ตัวสั่นเทิ้ม นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและความปรีดา เขาเลิกหวังไปแล้วแต่กลับได้ที่หนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับมีกระแสสายฟ้าแล่นผ่านทั่วร่าง ผุดคิดขึ้นว่าบิดาของตนคงจะให้         การช่วยเหลือ

ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! หลินเทียนหาวใจชื้นขึ้น ความสุขจุกเต็มอก เขาก้าวไปข้างหน้าและกุมหมัดขึ้น ก่อนจะตะโกนเสียงดัง

“ขอบพระคุณท่านเจ้าตำหนัก!”

หลังจากกล่าวขอบคุณเสร็จ หลินเทียนหาวก็เหลือบมองหวังเป่าเล่อ เห็นหน้าหม่นหมองของอีกฝ่ายก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น เกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด เขาเมินหลินเทียนหาวที่กำลังดีใจ  ราวลิงโลด หันไปจ้องเจ้าตำหนักตาไม่กะพริบ นัยน์ตาของเขาฉายแววเย็นชา         หากเป็นผู้อื่นคงจะยอมรับคำตัดสินของเจ้าตำหนักด้วยความเจ็บแค้น หรือไม่ก็พยายามหาทางออกอื่นในภายหลัง แต่หวังเป่าเล่อนั้น ถึงแม้ปกติจะดูยิ้มแย้ม     แจ่มใสเสมอ แต่เนื้อแท้เขาไม่ได้เป็นคนใจเย็นขนาดนั้น

แม้จะพยายามสร้างความดีความชอบ สร้างเครือข่ายเพื่อนฝูงมากมายก็ไม่ได้ช่วยอะไร ชายหนุ่มจ้องตาเขม็ง ใบหน้าดูราวกับอยากจะบอกว่า ‘ถึงจะเป็นเจ้าตำหนัก          ข้าก็ไม่สน’ เขาก้าวไปด้านหน้าและพูดขึ้นเสียงดัง

“การตัดสินของเจ้าตำหนักนั้นไม่ยุติธรรม!” พูดจบ เขาก็หันมาประสานมือคารวะฝูงชน

“เหล่าสหายแห่งตำแหน่งอาวุธเวท พวกเราต่างรักวัตถุเวทและชื่นชอบการคิดค้นหลอมวัตถุเวทไม่ต่างกัน พวกเราต่างทุ่มเวลา ลงแรงกายเหนือคณานับ ใช้เงินที่สามารถนำไปซื้อโอสถเสริมระดับพลังปราณไปกับวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ พวกเราทุ่มเวลาที่ศิษย์ตำหนักอื่นใช้ฝึกตนไปกับการศึกษาพัฒนาสมบัติเวทใหม่ๆ พวกเราต่างมุมานะ อดทน บากบั่น ทุ่มทุกสิ่งอย่างที่เรามี แต่สมบัติเวทที่ข้าอุตส่าห์คิดค้นมาได้กลับถูก   เจ้าตำหนักมองว่าเป็นของไร้ค่า หวังเป่าเล่อผู้นี้จะไม่ยอมหยุด ข้ายอมตายเสียดีกว่าหากไม่ได้คำอธิบายใดๆ ในวันนี้!”

วาจาของหวังเป่าเล่อดังก้องไปถึงฝูงชน เริ่มมีเสียงอื้ออึงดังขึ้น ไม่นานก็เกิดการถกเถียงใหญ่โต

ใบหน้าของเจ้าตำหนักคร่ำเครียดขึ้น เขาอาจจะประเมินหวังเป่าเล่อต่ำเกินไป คิดเพียงว่าชายหนุ่มคงจะโวยวายว่าตนไม่ยอมรับผลการประเมิน แต่หวังเป่าเล่อ    กลับคุมสถานการณ์ได้ดีกว่านั้น ชายหนุ่มประท้วงความอยุติธรรมนี้ไปพร้อมๆ        กับจุดประเด็นให้ฝูงชนคุกรุ่น เจ้าตำหนักไม่สามารถกลับออกไปได้หากไม่จัดการอะไรสักอย่างกับเหตุการณ์นี้

ตำแหน่งเจ้าตำหนักที่ได้มานั้นบ่งบอกอยู่แล้วว่าเขาไม่ใช่คนเขลา เป็นเรื่องธรรมดาที่ชายวัยกลางคนจะมีข้อแก้ต่างสำหรับอธิบายสิ่งที่เขาตัดสินใจทำไป         เจ้าตำหนักเอียงหน้าและพูดขึ้นอย่างใจเย็น

“ไม่มีเกณฑ์ใดที่จะสามารถใช้ประเมินหลักอักขราจารึกและโครงสร้างของสมบัติเวทที่คิดค้นขึ้นเองชิ้นนี้ อีกทั้งเวลาที่ใช้ประเมินก็น้อยเกินไป สมบัติเวทชิ้นนี้อาจจะเป็น  ของชั้นยอด หรืออาจจะเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องยากที่จะประเมิน!

“ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าตำหนัก คำตัดสินของข้าถือเป็นที่สิ้นสุด ข้าสามารถให้เจ้าผ่านการประเมินองครักษ์อาวุธเวทได้ แต่ในส่วนของอันดับนั้น ข้าคิดว่าขวดดวงดาราของหลินเทียนหาวมีคุณภาพสมบูรณ์แบบและเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ข้าจึงให้อันดับหนึ่งแก่เขา!

“หวังเป่าเล่อ สมบัติเวทที่เจ้าหลอมขึ้นนั้นจะได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติมในภายหลัง หากตำหนักอาวุธเวทประเมินแล้วว่าไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เจ้าสามารถยื่นขอรับการประเมินใหม่กับข้าได้ในภายหลัง”

หลายคนคิดว่าคำอธิบายของเจ้าตำหนักฟังดูมีเหตุผล บรรดาฝูงเริ่ม           กระซิบกระซาบถกประเด็นกันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงแตกออกเป็นสองฝั่ง

หวังเป่าเล่อโกรธจัดเมื่อได้ยินที่เจ้าตำหนักพูด วาจาของชายวัยกลางคนแฝงไปด้วยการวางอำนาจ การทดสอบที่เขาพูดถึงเองก็อาจกินเวลาหลายวัน หลายเดือน หรืออาจจะหลายปี บอกไม่ได้เลยว่าจะใช้เวลานานเท่าใด

“คำตัดสินของท่านถือเป็นที่สิ้นสุดอย่างนั้นหรือ ได้ เช่นนั้นข้าจะหาคนมาทดสอบมันเดี๋ยวนี้เพื่อให้ได้คำตัดสินที่ถือเป็นที่สิ้นสุดจริงๆ! คำตัดสินที่ทุกคนจะให้การยอมรับ!” หวังเป่าเล่อหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาฉายแววเย็นยะเยือก           เขาหันหลังกลับและออกวิ่งขณะที่กล่าวเช่นนั้น ท่ามกลางสายตาจับจ้องจากฝูงชน ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยัง…

กลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!