บทที่ 192 เสียงกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส
กลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!
สิทธิพิเศษที่มีเพียงองครักษ์อาวุธเวทที่สามารถตีได้ หวังเป่าเล่อได้เป็น องครักษ์อาวุธแล้ว เขาจึงได้สิทธิ์นั้นเช่นกัน
ที่จำกัดให้เพียงองครักษ์อาวุธเวทตีได้นั้นเป็นเพราะว่าไม้ตีสามารถหลอมได้เฉพาะ ณ จุดนั้น อีกทั้งไม้ตียังเป็นสมบัติเวทระดับสามอีกด้วย
หวังเป่าเล่อสามารถหลอมได้สำเร็จแน่นอน!
ฝูงชนมองหวังเป่าเล่อวิ่งไปยังกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป นัยน์ตาทุกคู่เบิกโพลงด้วยความตื่นตกใจ
“กลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส! เจ้าหวังเป่าเล่อมั่นใจขนาดนั้นเลยหรือ”
“องครักษ์อาวุธเวทแต่ละคนมีโอกาสแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะตีกลองนั่น เขาทุ่มสุดตัวเลย!”
“หลายปีแล้วที่ไม่มีใครตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!”
เหล่าผู้เข้ารับการทดสอบตกตะลึงไป ฝูงชนเริ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์ตรงหน้า อย่างเร่าร้อน หลินเทียนหาวอ้าปากค้าง เริ่มกังวลใจขึ้นมา ลึกๆ แล้วชายหนุ่มรู้ดีว่าสมบัติเวทของหวังเป่าเล่อนั้นดีกว่าของตน
เขาแปลกใจมากที่เห็นเจ้าตำหนักไม่ออกอาการใดๆ
เจ้าตำหนักอาวุธเวทสงบนิ่งอย่างที่เห็น เขาไม่ได้ทุกข์ร้อนใดๆ ที่หวังเป่าเล่อวิ่งแจ้นไปยังกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส กลับแอบดูหมิ่นในใจเสียด้วยซ้ำ
โง่เสียจริง ถึงหวังเป่าเล่อจะตีกลองได้ ก็เรียกมาได้แค่ผู้อาวุโส สี่ผู้อาวุโสแห่งตำหนักอาวุธเวทนั้นเหมือนจะสนิทสนมกัน แต่จริงๆ แล้วกำลังแก่งแย่งตำแหน่ง ผู้อาวุโสชั้นสูงกันอยู่ จะต้องมีคนใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์แน่
ยกเว้นเสียแต่จะเรียกผู้อาวุโสชั้นสูงมาได้ น่าเสียดาย ตอนนี้ตำหนักอาวุธเวท ไม่มีผู้อาวุโสชั้นสูง! เจ้าตำหนักยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง มองหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปยังกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโสอย่างไม่ทุกข์ร้อน
หวังเป่าเล่อเดือดดาลอยู่ภายใน เขามั่นใจว่าเจ้าตำหนักประสงค์ร้ายกับตน หมดเวลาทำตัวมีมารยาทด้วย มีทางเลือกสำหรับชายหนุ่มสองทาง จะกลับออกไปโดยสูญเสียอันดับหนึ่ง หรือ…เรียกผู้มีอำนาจมาตัดสินเด็ดขาด ผู้ที่สามารถเปลี่ยนผลการตัดสินโดยที่เจ้าตำหนักไม่สามารถโต้แย้งได้!
หวังเป่าเล่อหยุดยืนอยู่หน้ากลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโสท่ามกลางสายตาฝูงชน เขาสูดหายใจลึก กัดฟันแน่น และยกมือขวาวางบนกลอง
เกิดเสียงดังขึ้น กลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโสแผ่รังสีกดดันออกมาทันทีที่มนต์คลายออก วัตถุดิบสำหรับการหลอมไม้กลองลอยออกมาจากตัวกลอง หมุนคว้างอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
ประกอบไปด้วยศิลาวิญญาณ แผ่นหยกอธิบายวิธีการหลอมและอักขระที่ใช้สลัก รวมถึงวัสดุอื่นๆ อีกจำนวนมาก
นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกาย เขาเอื้อมไปหยิบแผ่นหยก จากนั้นก็แผ่ ปราณวิญญาณใส่แผ่นหยก ทำให้วิธีการหลอมปรากฏขึ้นในหัวเขาทันที ชายหนุ่มกวาดมือรับเอาศิลาวิญญาณมา แล้วเริ่มลงมือสลักตัวอักขระลงไป
ไม้ตีกลองนี้เป็นสมบัติเวทที่ใช้อักขราจารึกหนึ่งแสนตัว จึงท้าทายทีเดียวที่จะหลอมขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อ สองมือสลักขวักไขว่ หัวก็คิดคำนวณหลักอักขราจารึก เขาสลักอักขระตัวแล้วตัวเล่าลงศิลาวิญญาณอย่างว่องไว
กระแสคาถาเวทและปราณวิญญาณล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อ ทั้งสองคลื่น สอดประสานกันราวกับแสงสว่างและความมืด ตัวอักขระโปร่งใสกะพริบแสงก่อนจะผสานรวมกับศิลาวิญญาณ
ทั่วทั้งพื้นที่นิ่งงันกับภาพตรงหน้า เสียงพูดคุยเริ่มเบาลง หลายคนเริ่มเขียนเล่าเหตุการณ์บนเครือข่ายวิญญาณ
“หวังเป่าเล่อกำลังหลอมไม้ตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!”
“มายอดเขากลางด่วน! มีเรื่องใหญ่ หวังเป่าเล่อกับเจ้าตำหนักเกิดบาดหมางกัน ตอนนี้หวังเป่าเล่อคิดจะตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!”
ข่าวแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวไฟป่า ใครได้ทราบก็ทำใจเชื่อได้ยาก เฉินอวี่ถงที่กำลังดูแลเรื่องจัดการเรื่องต่างๆ ในฝ่ายปกครองสำนักได้ทราบข่าวเป็น คนแรกๆ เขาตกใจมาก รีบรุดไปยังยอดเขากลางทันที
สานุศิษย์จำนวนมากต่างรีบมุ่งหน้าไปยอดเขากลางจากทั่วทั้งสี่ทิศของ ตำหนักอาวุธเวท ไม่นานพวกเขาก็มาถึงยอดเขากลาง เห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ หน้ากลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส ชายหนุ่มสลักตัวอักขระเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นฟ้า พลันเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
หวังเป่าเล่อตั้งใจจะใช้กระบวนเวทเพลิงปะทุเพื่อหลอมรวมวัสดุให้เป็นไม้กลองโดยตรง!
บรรดาศิษย์ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เสียงร้องตื่นตะลึงและเสียงถอนหายใจด้วยความอิจฉาดังขึ้นระงม
“เพลิงปะทุ! กระบวนเวทที่ทางสำนักให้หวังเป่าเล่อเป็นรางวัลก่อนหน้านี้!”
“ไม่เพียงแต่เป็นกระบวนเวทพลังสังหาร แต่ยังเป็นกระบวนเวทที่เหมาะสำหรับนักหลอมอาวุธเวทอีกด้วย กระบวนเวทนี้ช่วยให้สามารถหลอมวัตถุเวทขึ้นได้โดย ไม่ต้องใช้เตาหลอมด้วยซ้ำ!”
“สวรรค์ ช่างเลิศล้ำสุดๆ!”
กระบวนการหลอมเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีจุดติดขัดใดๆ เป็นกระบวนการหลอมที่สมบูรณ์แบบ ไร้ข้อผิดพลาด ภาพการหลอมไม้ตีกลองตรงหน้าดูราวกับงานแสดงศิลปะก็ไม่ปาน!
ฝูงชนนิ่งงัน จ้องมองภาพเบื้องหน้า นัยน์ตาของหลินเทียนหาวมีไฟริษยาลุกโชติช่วง เริ่มหายใจไม่เป็นจังหวะ เจ้าตำหนักหรี่ตาลงเล็กน้อย แต่ก็ยังมีท่าทีสงบนิ่งเหมือนเดิม
ขณะที่ผู้คนกระซิบกระซาบถกประเด็นกัน ศิษย์มากมายก็รีบรุดมาร่วมสังเกตการณ์ หนึ่งชั่วโมงผ่านไป หวังเป่าเล่อโบกมือขวา เปลวเพลิงในมือพวยพุ่งกระจายออกและหายไปในทันที ไม้ตีกลองสีเขียวปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
มีไม้เลื้อยสีแดงเข้มพันรอบไม้ตีกลอง แต่ก็พลันหายไปอย่างรวดเร็ว สมบัติเวทเพิ่งหลอมเสร็จใหม่ๆ ยังคุกรุ่นจากเพลิงที่ใช้หลอมอยู่ หวังเป่าเล่อไม่สนความร้อนนั่น กระบวนเวทเพลิงปะทุช่วยให้เขาทนต่ออุณหภูมิสูงได้มากขึ้น ชายหนุ่มยกมือขวา จับไม้ตีกลอง หันมามองเจ้าตำหนักด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเลื่อนสายตากลับ จับไม้ตีมั่น จากนั้นก็ฟาดลงไปบนกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส!
ตึง!
ฝูงชนที่เฝ้ามองเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นต่างเฝ้ารอช่วงเวลานี้อยู่แล้ว เมื่อกลองลั่น เสียงดังสนั่น พวกเขาก็สั่นสะท้านไปถึงทรวง เสียงผู้คนพูดจาจอกแจกจอแจหายไปทันใด แทนที่ด้วยเสียงก้องของกลองดังสะท้อนในหูทุกคน
เสียงดังสะท้อนไปทั่วยอดเขากลาง กระจายออกไปทั่วตำหนักอาวุธเวท ก้องกังวานขึ้นไปถึงสวรรค์!
เสียงกลองนั้นราวกับมีความโกรธแค้นของหวังเป่าเล่อปนอยู่ เหมือนดังว่า ชายหนุ่มทุ่มความโกรธทั้งหมดลงไปกับการตีครั้งนี้ เสียงดังลั่นเขย่าตำหนักอาวุธเวท ศิษย์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรต่างตกใจสุดขีดเมื่อได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้น!”
“เสียงอะไรกัน!”
ผู้คนต่างวิ่งกรูออกมาถามไถ่หาต้นตอในทันใด ได้ทราบว่าหวังเป่าเล่อตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโส ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงกลองครั้งที่สองก็ดังขึ้น!
ตึง!
เสียงราวสายฟ้าฟาดดังขึ้นกว่าครั้งแรก ก้องกังวานไปทั่วทุกพื้นที่ ร่างหวังเป่าเล่อสั่นคลอน ลมหายใจเริ่มถี่รัว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงไม่เคยมีใครตีกลองศึกอัญเชิญ ผู้อาวุโสได้เกินห้าครั้ง ส่วนใหญ่มักจะตีได้สามครั้ง
การตีกลองศึกอัญเชิญผู้อาวุโสนั้นต้องผ่านการหลอมไม้ตีกลองระดับสมบัติเวทสุดหฤโหด แต่นั่นก็ไม่ใช่ความยากที่แท้จริง ตามหลักแล้ว หากหลอมไม้ตีกลองสำเร็จ จะตีกลองกี่ครั้งก็ได้ แต่ในความเป็นจริง จำนวนครั้งที่สามารถตีได้นั้นขึ้นอยู่กับ ความทนทานของร่างกาย!
หลังจากตีกลองครั้งแรก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนอันรุนแรงจาก ไม้ตีขึ้นมายังร่างกาย ทำให้ภายในกายเขาสั่นไหวไปทั่ว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือน อวัยวะภายในร่างกายปะทะกันไปมา ข้อต่อทั่วร่างส่งเสียงดังกึกๆ เขาดูทรมานกับ พิษที่แล่นทั่วร่างระหว่างที่ตัวยังสั่นไม่หยุด
แรงสะท้อนครั้งที่สองนั้นหนักหน่วงยิ่งขึ้น พิษที่แล่นทั่วร่างพยายามทะลุผ่านรูขุมขนออกมา
การสั่นไหวรุนแรงนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตน แต่ความเจ็บปวดที่ต้องทนนั้นก็มากเช่นเดียวกัน แรงสะท้อนนั้นทวีคูณความสาหัสขึ้นทุกครั้งที่ตี หลายคนไม่สามารถทนความเจ็บปวดนี้ได้ไหว
หวังเป่าเล่อตีกลองครั้งที่สาม ร่างกายชายหนุ่มสั่นไหวรุนแรง จุดสีดำปรากฏขึ้นต่อสายตา พละกำลังสูญสลายไปหมด แรงสั่นที่ได้รับนั้นเกิดขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะรับได้ไหว
ตีสามครั้งจะเป็นการเรียกผู้อาวุโส แต่แค่นั้นไม่พอ ถึงข้าจะตีห้าครั้งเพื่อเรียก ผู้อาวุโสชั้นสูง ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงของตำหนัก อาวุธเวทยังว่างอยู่ ข้าทำได้เพียงตีกลองต่อไปเพื่อเรียกผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าขึ้นไปอีกมา! หวังเป่าเล่อหอบหายใจหนัก ครางเสียงต่ำ ก่อนจะออกแรงทั้งหมดตีกลองครั้งที่สี่!
ตึง!
กลองรบสั่นสะท้าน ไม้กลองเกือบจะหลุดจากมือ ร่างหวังเป่าเล่อบิดงอพิสดารขณะที่ตัวสั่น หน้าของเขาซีดเผือด แรงสั่นที่ได้รับนั้นทวีคูณความรุนแรงหลายเท่า ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าภายในโดนพายุหมุนถล่มทำลายกระดูก เส้นปราณ และเลือดเนื้อ หวังเป่าเล่อแทบจะยืนไม่อยู่ จะล้มอยู่รอมร่อ
ฝูงชนถึงกับหยุดหายใจ พวกเขาต่างตื่นตะลึงกับภาพตรงหน้าเกินจะบรรยาย
“สี่ครั้งแล้ว ตีอีกครั้งก็จะเท่ากับสถิติสูงสุดที่มีคนทำได้ นั่นก็คือ…ห้าครั้ง!”
หลินเทียนหาวสูดหายใจรับความกังวลเข้าปอด ใบหน้าของเจ้าตำหนักและ รองเจ้าตำหนักดูตื่นตกใจต่างกันออกไป เจ้าตำหนักขมวดคิ้ว นัยน์ตาแฝง ความประหลาดใจ
แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อมาถึงขีดจำกัดแล้ว แขนของเขาสั่นไหว จับไม้ตีกลองแทบไม่อยู่
ถึงขีดจำกัดแล้วอย่างนั้นหรือ คนที่ตีได้ห้าครั้งนั้นทำได้อย่างไรกัน…ข้าไม่ยอมแพ้เขาหรอก หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น นัยน์ตาเรืองแสงวาบ เมล็ดดูดกลืนพลันตื่นตัวขึ้น ปล่อยแรงดึงดูดควบคุมร่างหวังเป่าเล่อให้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มือจับกำไม้ตีกลองแน่น ฟาดลงไปยังตัวกลองอย่างแรง เขาตีได้อีกครั้งหนึ่ง!
ร่างกายของเขาตอนนี้เหมือนดังหุ่นเชิดที่มีแรงดึงดูดจากเมล็ดดูดกลืนคอยชักใยอยู่ ตึง เสียงตีกลองครั้งที่ห้าดังขึ้น แรงดึงดูดกระตุกร่างของเขาอีกครั้งราวกับมีเชือกที่มองไม่เห็นฉุดไว้ ภาพเบื้องหน้าที่ชายหนุ่มเห็นนั้นพร่าเลือนไปหมด หัวหมุนเกือบจะหมดสติไป แรงดึงกระตุกร่างหวังเป่าเล่อให้ตีกลองครั้งที่หกจนได้!
เสียงกลองก้องกังวานไปถึงสรวงสวรรค์ ฝูงชนต่างตะลึงงันไปกันหมด เกิดเสียงครืนครันดังขึ้นในหัวของหลินเทียนหาว เขาหน้าซีดเผือด สะดุดเดินถอยหลังไป
เจ้าตำหนักไม่เคยมีสีหน้าเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน