Skip to content

A World Worth Protecting 205

บทที่ 205 กลายเป็นหัวหน้ากลุ่ม

หวังเป่าเล่อรู้ที่มาของเมล็ดดูดกลืนดี มันเกิดมาจากเคล็ดวิชาฝึกตนที่แม่นางน้อยในหน้ากากนิลสอนให้ เขาเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ…

ส่วนสายฟ้าสีดำนั้น แม้จะเป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้พบ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันดี ภาพเมื่อตอนแม่นางน้อยในหน้ากากนิลปล่อยสายฟ้าฟาดใส่ชายหนุ่มขณะที่กำลังฝึกขั้นสรีระทองคำ สายฟ้าเมื่อตอนนั้นเหมือนกันกับสายฟ้าสีดำไม่มีผิด

ให้ตายเถอะ…คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สบถออกมา ไม่ว่าจะขบคิดอย่างไร       ทุกสิ่งอย่างก็ดูจะเชื่อมโยงกับแม่นางน้อยในหน้ากากนิล เขาทำอะไรไม่ได้               ได้แต่หงุดหงิดอยู่ในใจ

หลังจากหวังเป่าเล่อวิเคราะห์ประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาเคยประสบมาทั้งชีวิต      ก็ได้ข้อสรุปถึงที่มาของทะเลสีม่วง

หรือว่านั่นจะเป็นลำแสงสีม่วงที่พยายามกลืนกินข้าที่หมู่บ้านลมปราณวิญญาณ

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับบรรดาสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเหล่านี้ดี เขาเดือดดาลเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้จะไปลงที่ใด ทำได้แต่พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่รังไหมเบื้องหน้าแทน

พอเริ่มสงบใจลงได้ แรงสูบก็ทวีคูณพลังมากขึ้นจากพลังทั้งสามที่ทับซ้อนกันในร่างกายเขา รังไหมที่เจ้าเยี่ยเหมิงหลับไหลอยู่เริ่มแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว ภายใน   ครู่เดียวปราณวิญญาณก็ถูกออกจนหมด รังไหมแห้งเหี่ยวตายไป

ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าระดับพลังปราณในตัวเพิ่มขึ้นสูงมากในช่วงเวลาสั้นๆ เกือบจะบรรลุไประดับลมหายใจเที่ยงแท้ขั้นที่ห้า เมล็ดดูดกลืน สายฟ้าสีดำ และทะเลสีม่วง ต่างปล่อยปราณวิญญาณที่พวกมันดูดกลืนออกมาให้ร่างกายหวังเป่าเล่อส่วนหนึ่ง

พอสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณ หวังเป่าเล่อก็เริ่มอารมณ์เย็นขึ้น ก่อนจะพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “อย่างน้อยพวกเจ้าก็พอจะคิดได้บ้าง…”

แม้ว่าจะยังหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีเวลาคิดถึงที่มาของพลังทั้งสาม   อย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มรีบแหวกรังไหมของเจ้าเยี่ยเหมิงออก รังไหมเปิดออกพร้อม     ส่งเสียงแตกกรอบ หวังเป่าเล่อคว้าแขนของเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมกับดึงนางออกมาจากรังไหม

ชุดยาวบางแนบสนิทกับร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงจนดูเหมือนชุดรัดรูป เผยให้เห็น   ส่วนโค้งเว้าสวยงามของนาง หวังเป่าเล่อมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นตกใจ

ปกติเห็นไม่ค่อยชัด แต่จริงๆ แล้วเจ้าเยี่ยเหมิงก็หุ่นดีไม่เบา…

เจ้าเยี่ยเหมิงยังไม่โดนสติสัมปชัญญะของต้นไม้ยักษ์เข้าครอบงำเต็มร้อย      ร่างกายของนางจึงสั่นกระตุกหลังจากหวังเป่าเล่อช่วยออกมา นางกำลังจะลืมตาตื่น หวังเป่าเล่อระแวงในทันที คิดในหัวว่าหากเจ้าเยี่ยเหมิงโดนแทรกซึมสำเร็จก็จะเท่ากับว่าเขาได้ช่วยศัตรูออกมา เขารีบยกมือขวาเรียกเอากระบี่เหาะเหินออกมา ขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงกำลังจะฟื้น ชายหนุ่มก็ฟันเข้าที่แขนขวาของนาง

ความเจ็บปวดที่เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับทำให้นางฟื้นจากการหลับไหลได้เร็วขึ้น     ดวงตาของนางเบิกโพล่งในทันใด หลังจากลืมตาตื่น นางก็มองไปยังหวังเป่าเล่อ     ก่อนจะสูดหายใจลึก ใบหน้าซีดเผือดแต่ไม่ได้ตื่นตระหนกหวาดกลัวแต่อย่างใด      นางมองไปรอบๆ ก่อนจะก้มมองแผลที่แขนของตนเอง จากนั้นก็หันไปมอง           หวังเป่าเล่อ

“นี่เป็นหลักฐานว่าข้ายังไม่ได้โดนแทรกซึมใช่หรือไม่” เจ้าเยี่ยเหมิงรีบหยิบเอาแผ่นหยกสื่อสารขึ้นมาและติดต่อไปยังสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทันที

หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากเห็นว่าแผลของเจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้ฟื้นตัวได้เอง เขารู้สึกแปลกเล็กน้อยเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น

“ข้าจะไปช่วยจั่วอี้ฟาน!” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วรีบหันหน้ามองหาจั่วอี้ฟาน เจ้าเยี่ยเหมิงพบว่านางยังคงส่งข้อความเสียงไม่ได้เช่นเดิม นางรวบรวมพลังทั้งหมดลุกขึ้นยืนและช่วยหวังเป่าเล่อตามหาอีกแรง ไม่นาน ทั้งสองก็พบรังไหมที่ห่อหุ้มร่างของจั่วอี้ฟานอยู่

มองผ่านผิวรังไหมโปร่งใสเข้าไปก็พบจั่วอี้ฟานที่กำลังมีสีหน้าตื่นกลัว เส้นเลือด    สีเขียวปูดโปนไปทั่วใบหน้าราวกับมีกิ่งไม้เล็กๆ งอกขึ้นในนั้น

ทั้งสองตื่นตกใจกับภาพที่ได้เห็น หวังเป่าเล่อเริ่มกังวลใจหนัก ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงยืนแข็งทื่อไป หวังเป่าเล่อเข้าไปกอดรังไหมที่ห่อหุ้มจั่วอี้ฟานแน่น ก่อนจะร้องคำรามขึ้นเสียงดัง

ทันใดนั้นแรงสูบพลังแรงกล้าก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ ไม่นาน    รังไหมที่หุ้มร่างจั่วอี้ฟางอยู่ก็เหี่ยวแห้ง พอได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตาคู่งามของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เบิกโต นางมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

หากเป็นสถานการณ์อื่น หวังเป่าเล่อคงจะโอ้อวดความสามารถตนอย่างโอหัง    แต่เขาไม่มีอารมณ์ทำเช่นนั้น เมื่อรังไหมที่หุ้มจั่วอี้ฟานแห้งเหี่ยวลง เขาก็รีบแหวก     รังไหมออก ดึงเอาจั่วอี้ฟานออกมาอย่างรวดเร็ว

พอร่างจั่วอี้ฟานตกกระแทกพื้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็รีบชักเอากระบี่เหาะเหินออกมาฟันเข้าที่ต้นขาของจั่วอี้ฟานตัดหน้าหวังเป่าเล่อ

เลือดสดพวยพุ่งออกมาจากบาดแผล แต่ไม่ได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็วเหมือนเหล่าผู้ฝึกตนที่โดนแทรกซึม ทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก จั่วอี้ฟานฟื้นขึ้นจากความเจ็บปวดที่ได้รับ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพเบื้องดูพร่ามัวแต่ไม่นานก็แจ่มชัดขึ้น      เขาเห็นหวังเป่าเล่อกับเจ้าเยี่ยเหมิง รวมกับสิ่งอื่นๆ รอบกายพลางหายใจหอบ

“พวกเจ้า…ที่นี่คือที่ใดกัน…”

“พวกเราน่าจะอยู่ในต้นไม้ยักษ์ที่จับพวกเรามา พลังผนึกยังลงเหลืออยู่            ส่งข้อความเสียงออกไปไม่ได้ หากไม่ได้หวังเป่าเล่อ พวกเราคงตายไปแล้ว และโดนเจ้าต้นไม้ยักษ์เข้าแทรกซึมกลายเป็นหุ่นเชิดกันไปอีกคน!” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดหายใจลึกเพื่อให้ใจเย็นลงขณะพูด

“ไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องนี้กัน พวกเราต้องรีบหาทางออกให้เร็วที่สุด!” หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ พยายามหาทางออก ได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด จั่วอี้ฟานก็เก็บคำถามไว้   ในใจ ทำตามที่เขาพูด เจ้าเยี่ยเหมิงก็เดินตามไปไม่ห่าง

ทั้งสองไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากได้รับการช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ และอยู่ท่ามกลางสถานที่อันแปลกและอันตรายเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะดูแน่วแน่เด็ดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของหวังเป่าเล่อทำให้ทั้งสองยอมทำตามที่หวังเป่าเล่อบอก แม้จะเหนื่อยล้า แต่พวกเขาก็ยังกัดฟันให้ความร่วมมือ ทั้งสามเริ่มตามหาทางออกในโพรงต้นไม้ที่เต็มไปด้วยรังไหม

ไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาอย่างไร ทั่วทั้งพื้นที่ก็ปิดสนิท ไร้ซึ่งทางออก แม้จะลองทำลายกำแพงต้นไม้ก็ไม่สำเร็จ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง จั่วอี้ฟานก็มองหวังเป่าเล่อด้วย   แววตาหมดหวัง

“เป่าเล่อ ไม่มีทางออกไปจากที่นี่เลย…”

เจ้าเยี่ยเหมิงนิ่งเงียบ แม้จะไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไป แต่นางก็มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาหมดหวังไม่ต่างกัน

หวังเป่าเล่อไม่ทันรู้ตัวเลยว่าตอนนี้เขากลายเป็นหัวหน้ากลุ่มไปแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงและจั่วอี้ฟานมองชายหนุ่มที่กำลังเดินไปรอบๆ อย่างหงุดหงิดใจ หวังเป่าเล่อยกกระบี่ขึ้นแทงกำแพงต้นไม้

เกิดเสียงดังขึ้น กระบี่สะท้อนเด้งกลับอย่างแรง หวังเป่าเล่อเริ่มท้อแท้เมื่อเห็นว่ากำแพงต้นไม้ไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ แม้แต่น้อย ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขณะที่ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองมาตั้งแต่ต้นว่าทำไม   ต้นไม้ยักษ์ถึงไม่รู้สึกตัวเลยว่าพวกเขาหนีออกมาจากรังไหมได้แล้ว อีกทั้งตัวเขายังได้ดูดซึมพลังปราณไปมากมาย

หวังเป่าเล่อหาคำตอบไม่ได้ คิดว่าอาจจะเกิดบางอย่างผิดปกติกับต้นไม้ยักษ์     มันจึงนิ่งสงบไป หรือไม่ก็เพราะพลังประหลาดในกายของเขาไปรบกวนสติสัมปชัญญะของต้นไม้ยักษ์เข้าเสียแล้ว

หรือไม่ก็เป็นเพราะทั้งสองเหตุผลรวมกัน เขาคิดว่ารออยู่ในนี้คงจะปลอดภัยกว่า แต่ว่าก็อาจจะมีภัยอันตรายเกิดขึ้นได้เช่นกัน ต้นไม้ยักษ์นั้นสามารถปลอม        ข้อความเสียงได้ หากจะรอให้ทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไหวตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาก็คงจะกินเวลานานเกินไป

อีกทั้งภัยอันตรายยังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ให้รออยู่เฉยๆ ก็ไม่ใช่นิสัยของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มผู้ขึ้นด้วยแววตาดุดัน “อี้ฟาน เยี่ยเหมิง คุ้มกันข้าด้วย!”

พูดจบ เขาก็พุ่งออกไปกอดรากไม้ที่เหมือนดังกำแพงไว้แน่น ก่อนจะตะโกนขึ้น “ดูดกลืน!”

สิ้นคำ เมล็ดดูดกลืน สายฟ้าสีดำ และทะเลสีม่วงในกายเขาก็สำแดงฤทธิ์ แรงสูบมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของชายหนุ่ม พุ่งเข้าไปยังกำแพงต้นไม้       กระจายออกไปทั่วโพรงต้นไม้ ดูดกลืนทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ไม่มีทางออกอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำเหมือนว่าที่นี่คือ รังไหมขนาดยักษ์ ถ้าดูดกลืนทุกสิ่งไปหมดคงจะทำให้กำแพงต้นไม้แห้งเหี่ยวและแตกออก ข้าไม่เชื่อ  หรอกว่าข้าจะหนีออกไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อทุ่มพลังทั้งหมดไป!

ทันทีที่พลังในกายของหวังเป่าเล่อปล่อยแรงสูบ รากไม้ที่เขากอดอยู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นปราณวิญญาณเข้มข้นจากทุกทิศทางพวยพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อโดยพร้อมเพรียงกัน

ปราณวิญญาณมีปริมาณมากล้น อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิต เมื่อปราณวิญญาณทะลักเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ เมล็ดดูดกลืน สายฟ้าดำ และทะเลสีม่วง         ต่างตื่นเต้นดีใจ ราวกับว่าพวกมันอดอยากมาเป็นเวลานาน รีบกลืนกินปราณวิญญาณอย่างตะกละตะกลามทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!