บทที่ 208 ลองดูสักครั้ง
หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าการใช้เคล็ดวิชานั้น จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินและทำลาย ทุกสรรพชีวิตตามที่แม่นางน้อยบอกได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วมันเป็นพลังที่ฟังดูแปลกประหลาดยิ่ง แถมยังไม่น่าจะเป็นจริงอีกด้วย
แต่เขากลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกเอ่อล้นขึ้นมาภายในกายเขา เมื่อเขาได้ยิน ราวกับว่าในเคล็ดวิชามีความหมายบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคสุดท้ายช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง อันแรงกล้า
หากเป็นเวลาและสถานที่อื่น หวังเป่าเล่อคงเลิกคิดวิตกและหาทางพิสูจน์พลัง ที่แท้จริงของเคล็ดวิชานั้นเสียก่อน เมื่อยืนยันได้แล้วว่าเป็นความจริง เขาจึงค่อยลองใช้พลังดู ทว่าตอนนี้ พวกเขากำลังติดอยู่ในโพรงไม้ยักษ์และเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่ถูกต้นไม้ใหญ่แทรกซึมนับร้อยที่หมายชีวิต ขณะที่ใคร่ครวญความหมายของ เคล็ดวิชาอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ยังต้องคอยปลดปล่อยกระบวนเวทต่อสู้ไปด้วย เขาไม่มีเวลาไปกว่านี้แล้ว
ลองดูสักครั้งก็แล้วกัน! หวังเป่าเล่อเหวี่ยงหมัดออกไป เขาโบกมือเพียงครั้งเดียว ก็เกิดทะเลอัสนีและมหาสมุทรอัคคีขึ้นมาแทบจะในคราเดียวกัน ผู้ฝึกตนนับสิบ ถูกกวาดหายไปในพริบตา นัยน์ตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพลางตั้งท่าจะใช้เคล็ดวิชานั้นอีกครั้ง
ทว่าตอนนั้นเอง!
หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกได้ถึงปราณโลหิตที่เขาไม่รู้จักขยายตัวขึ้นด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยว!
ปราณโลหิตนั้นช่างมีพลังรุนแรงเสียจนก่อตัวเป็นพายุหมุนปราณโลหิตที่อาละวาดไปทั่วบริเวณ พายุหมุนนั้นปลดปล่อยแรงกดดันที่รุนแรงและกระหายเลือด ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมโดยรอบต่างก็เริ่มตัวสั่นและหยุดชะงัก
ราวกับว่านักรบไร้พ่ายผู้น่าสะพรึงกลัวได้ตื่นจากการหลับใหลเสียแล้ว!
แม้กระทั่งโพรงไม้ยักษ์ก็เริ่มสั่นคลอน สัญญาณแห่งความเสื่อมสลายเริ่มปรากฏขึ้นบนผนังโพรงทั้งสี่ ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นตุบๆ อย่างรัวเร็ว ลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นเมื่อหันหลังกลับไปมอง ด้านหลังเขาข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิง ร่างของจั่วอี้ฟาน ผู้ซึ่งบาดเจ็บเจียนตาย…กำลังลอยสูงขึ้นจากพื้น!
เขาไม่ได้ยืนขึ้น แต่กำลังลอยอยู่เหนือพื้น แสงสีแดงกล้าส่องออกมาจากดวงตาของเขา ร่างกายของเขาเปล่งรัศมีแห่งความรุนแรงและกระหายเลือดที่รุนแรง จนกระทั่งชวนให้เห็นภาพกองภูเขาซากศพและมหาสมุทรโลหิต แรงกดดันจากปราณโลหิตที่อธิบายไม่ถูกทะลักล้นออกมาจากตัวเขาเป็นระลอก
เกิดอะไรขึ้นกันนี่! หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขาเกือบจะร้องตะโกนเคล็ดวิชาออกไปอีกครั้งแล้ว เพราะหารู้ไม่ว่าจั่วอี้ฟานยังคงมีไพ่ตายหลงเหลืออยู่
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างแปลกไปในตัวจั่วอี้ฟาน ขณะที่หวังเป่าเล่อยืนมองอยู่นั่นเอง จั่วอี้ฟานก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายของเขาไหวเอนไปข้างบนอย่างรวดเร็วและ พุ่งทะยานไปข้างหน้าทั้งๆ ที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้านั้น มือขวาเขาก็ยกขึ้นมากำรอบคอตนเองเอาไว้ ก่อนจะเริ่มกระชากอย่างรุนแรง…
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจอย่างตื่นตระหนกเมื่อเขาเห็นจั่วอี้ฟานดึงเอากระบี่โลหิตสีชาดออกมาจากคอของตนเอง!
ขอบของกระบี่นั้นทำมาจากโลหิต ส่วนที่เหลือทำมาจากกระดูก สีหน้าของจั่วอี้ฟานแสดงความเจ็บปวดและดุร้ายขณะที่ดึงกระบี่ออกมา เขาไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย ดูราวกับว่าได้กลายเป็นปีศาจไปเสียแล้ว ก่อนที่จะโถมตัวไปข้างหน้า!
ชายหนุ่มรวดเร็วราวกับสายฟ้า เขาพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมก่อนจะแกว่งกระบี่ผ่าอากาศไปในทิศทางนั้น เมื่อกระบี่ฟันโดนผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึม ร่างพวกนั้น ก็สั่นสะท้าน ก่อนจะแตกกระจายกลายเป็นกองเลือดในพริบตา…
การสังหารนั้นดูราวกับว่าช่วยปลุกความกระหายเลือดในตัวจั่วอี้ฟาน เขาเคลื่อนที่เร็วขึ้นอีกจนดูเหมือนเป็นภาพเงาสีโลหิตที่พร่าเลือน แม่น้ำโลหิตไหลบ่าตามเขาไปทุกที่
ภายในไม่ถึงสิบสองลมหายใจ เขาสังหารผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมไปแล้วนับสิบ ผู้ฝึกตนที่กลายเป็นกองเลือดนั้นไม่อาจจะฟื้นคืนสภาพกลับมาได้อีก!
รัศมีความกระหายเลือดจากจั่วอี้ฟานยิ่งรุนแรงขึ้น และกลิ่นกายปีศาจจากตัวเขาก็รุนแรงขึ้นตามกัน!
ไม่ใช่ว่าจั่วอี้ฟานกำลังควบคุมกระบี่ กระบี่ต่างหากที่กำลังควบคุมเขา! หวังเป่าเล่อสังเกตได้ ทันใดนั้น โพรงไม้ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและมีเสียงตะโกน อย่างเกลียดชังดังสะท้อนไปทั่ว
เหมือนกับมีสายฟ้าหลายเส้นฟาดลงมาในจุดเดียว ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านก่อนกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ เช่นเดียวกับเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อเสียงนั้น จางหายไป ชายวัยกลางคนในชุดดำปรากฏตัวขึ้นจากกำแพง ไกลออกไปอีกด้านของโพรงต้นไม้!
ดูแวบแรกชายผู้นั้นเหมือนมนุษย์ แต่ใบหน้าของเขากลับแตกระแหงเหมือนกับลายไม้ นัยน์ตาของเขาเยือกเย็นแต่แฝงไว้ด้วยแววของความโหดเหี้ยม เมื่อเขาปรากฏตัว มวลพลังของระดับการฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นก็พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา มวลพลังนี้รุนแรงกว่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นทุกคนที่หวังเป่าเล่อเคยพบพาน
“ขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับสุดยอด เขาอยู่ห่างจากขั้นกำเนิดแก่นในไปไม่กี่ก้าวเท่านั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงของนางฟังดูสงบ เมื่อนางพูดจบ ในดวงตาของนางก็ไม่เหลือแววแห่งการดิ้นรนขัดขืนอีกต่อไป นางหลับตาลงอย่างยอมจำนน
แม้จะเห็นพฤติกรรมอันแปลกประหลาดของเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาซักไซ้ ขณะนี้เป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ทันทีที่ชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น รัศมีของโพรงไม้ทั้งหมดก็เริ่มปั่นป่วน ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมพลันล้มตัวลงคุกเข่า เห็นได้ชัดว่า ชายวัยกลางคนในชุดดำนั้นเป็นเจ้านายของพวกมันนั่นเอง!
เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ตัวตนที่แท้จริงของบุรุษผู้นั้นก็ชัดเจน…เขาคือร่างมนุษย์ของต้นไม้ยักษ์นั่นเอง!
ชายวัยกลางคนในชุดดำไม่ได้ชายตามองหวังเป่าเล่อหรือเจ้าเยี่ยเหมิงแต่อย่างใด สีหน้าเขาเยือกเย็นและเย่อหยิ่ง เขาก้าวขาครั้งเดียวก็ไปโผล่อยู่ต่อหน้าจั่วอี้ฟาน ด้วยแววตาขึงขังและดุดัน เขายกมือขวาขึ้นกวาดอย่างรวดเร็ว
แรงกดดันอันมหาศาลก่อตัวขึ้นในชั่วพริบตา ใบไม้จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น มีเสียงระเบิดดังสนั่นก่อนใบไม้จะเคลื่อนไหววนเป็นพายุที่รุนแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงระเบิดนั้นทำให้จั่วอี้ฟานถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ หลบหลีก กลับกระชับเอามวลไอปีศาจรอบๆ กายเข้ามาโอบล้อมตัวเองไว้แน่นหนา แม้ว่าร่างของชายหนุ่มจะสั่นเทา แต่สัญชาตญาณการต่อสู้ของเขากลับลุกโชนขึ้นมา เขาเหวี่ยงกระบี่โลหิตสีชาดในมือพุ่งเข้าไปใส่พายุหมุนในทันที!
เสียงระเบิดดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วเมื่อพายุหมุนถูกผ่าเป็นสองซีกโดยกระบี่ของจั่วอี้ฟาน แรงกระแทกแตกกระจายออกไปทั่วทุกสารทิศ โลหิตผุดเป็นฟองขึ้นจากมุมปากของจั่วอี้ฟาน ร่างกายของเขาผงะกลับไปทางหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง ความดุร้ายกระหายเลือดในแววตาดูจะอ่อนแรงลง แม้กระทั่งกระบี่โลหิตสีชาดในมือ ก็เริ่มจะสลายและไหลกลับไปรวมกับร่างกายเขา
ชายวัยกลางคนในชุดดำยืนเด่นอยู่กลางอากาศ พายุหมุนซีกหนึ่งที่ถูกตัดขาด พัดเฉี่ยวในใบหน้าเขาและทิ้งรอยแผลเอาไว้ ผิวของเขาสมานตนเองอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่อึดใจรอยแผลนั้นก็จางหายไปหมดสิ้น
นัยน์ตาเขาฉายแววประหลาดใจเมื่อจ้องมองไปทางจั่วอี้ฟาน
“ช่างโชคร้ายอะไรเช่นนี้ หากระดับการฝึกตนของเจ้าขึ้นไปถึงขั้นรากฐานตั้งมั่น เราคงประมือกันได้สูสีกว่านี้…แต่ทว่าดูเหมือนเจ้าจะเป็น…นักรบสงครามโลหิตแห่งตระกูลนภาห้าสมัยสินะ!
“ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน ตระกูลนภาห้าสมัยได้ครอบครองกระบวนเวทแปลกประหลาดที่มีผลกับทายาทร่วมรุ่นที่มาจากสายเลือดเดียวกัน คนหนึ่งจะเป็นเจ้าของร่าง ในขณะที่อีกคนจะต้องทำตัวเป็นองครักษ์ มีหน้าที่เสียสละทุกอย่าง รวมถึงเลือดเนื้อให้กับเจ้าของร่าง…หรือนักรบผู้ถูกเลือก! ข้าไม่อยากจะเชื่อว่า ตระกูลนภาห้าสมัยจะทำเช่นนี้จริงๆ…พวกเขาทั้งมั่งคั่ง มุ่งมั่น และไร้ซึ่งความปรานี สมกับที่เป็นตระกูลโบราณที่แท้จริง!
“เจ้าคงมีพี่ชายหรือน้องชายที่ตระกูลได้ฝากความหวังเอาไว้ ในขณะที่ตัวเจ้า…เป็นเพียงแค่ภาชนะเท่านั้น!”
สิ้นเสียงชายวัยกลางคน จั่วอี้ฟานผู้ซึ่งเริ่มได้สติก็หน้าถอดสี เขาถอยอีกคำรบ กระบี่โลหิตสีชาดในมือได้สลายไปและกลับเข้าไปรวมกับร่างกายของเขาจนหมดสิ้น ความโศกเศร้าสะท้อนอยู่ในแววตาของเขา เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
คลื่นอารมณ์ที่ปั่นป่วนก่อตัวขึ้นในใจหวังเป่าเล่อเมื่อเขาได้ยิน ใบหน้าเขา แข็งกร้าวและนัยน์ตาก็หรี่ลง พลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่หมู่บ้าน ลมปราณวิญญาณกับพี่ชายของจั่วอี้ฟาน จั่วอี้เซียน…
ตอนนั้น จั่วอี้เซียนข่มขู่จั่วอี้ฟานและกีดกันเขาจากการได้รับรากฐานวิญญาณเจ็ดนิ้ว
เห็นได้ชัดว่าคำตอบของสิ่งที่หวังเป่าเล่อเคยสงสัยนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะอาจจะเกี่ยวข้องกับความลับของตระกูลนภาห้าสมัยด้วย จั่วอี้เซียนอาจจะตัดสินใจอย่างที่เขาทำลงไป เพียงเพื่อจะควบคุมนักรบสงครามของตัวเองไม่ให้ กำเริบเสิบสานก็เป็นได้ เขาตั้งใจให้นักรบสงครามนั้นเข้มแข็งขึ้นแต่ยังอยู่ภายใต้ บงการของเขาโดยไม่ยอมให้เข้มแข็งกว่าตัวเขานั่นเอง!
“ใครจะไปนึกว่าจากแมลงอ่อนแอสามตัวที่ข้าจับได้ จะมีตัวหนึ่งเป็นถึง นักรบสงคราม…น่าสนใจจริงๆ” ความละโมภเด่นชัดอยู่ในแววตาของชายวัยกลางคนในชุดดำขณะที่เขาเอื้อนเอ่ยอย่างร่าเริง ร่างกายของเขาเลือนหายไปเมื่อเขาพุ่งตัวเข้าไปหาจั่วอี้ฟาน
ความเร็วของเขาเข้าขั้นผิดธรรมชาติ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ มวลพลังกดดัน ขั้นรากฐานตั้งมั่นของเขาก็ถาโถมเข้าใส่ทั้งสาม ทำให้พวกเขาไม่สามารถตั้งสติหรือใช้พลังปราณได้ และกลายเป็นคนง่อยเปลี้ยต่อหน้าพลังของชายวัยกลางคนในชุดดำผู้นี้ไปถนัดตา
บุรุษผู้นั้นเอื้อมมือขวาจะคว้าเอาจั่วอี้ฟานไป นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนด้วยความโกรธเกรี้ยว เขากำลังจะอ้าปากตะโกนเคล็ดวิชาออกมา ในวินาทีนั้นเอง… ข้างๆ ตัวเขา พลังงานที่รุนแรงเขย่าพื้นพิภพยิ่งกว่าพลังที่จั่วอี้ฟานปล่อยออกมา ก็ระเบิดขึ้น เกิดเป็นพายุหมุนแรงกดดันสั่นสะเทือนทั่วทั้งอากาศ!
พลังนั้นพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เรือนผมของเจ้าเยี่ยเหมิงสยายไปรอบทิศทาง ทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่านแม้แต่น้อย อากาศก่อตัวเป็นพายุหมุนรอบๆ ตัวนาง!
แส้จำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นและเริ่มเหวี่ยงไปทั่วทุกทิศทาง ผู้ฝึกตนที่ถูกแทรกซึมต่างสั่นไหวและล้มคว่ำลงเมื่อสัมผัสเข้ากับแส้ แม้กระทั่งโพรงต้นไม้เองก็สั่นไหว อย่างรุนแรง
นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงยิ่งกว่าเดิม เขาเคยเห็นภาพนั้นมาก่อน เมื่อครั้งที่เขาต่อสู้กับเจ้าเยี่ยเหมิง นางได้หมดสติไปตอนช่วงท้ายของการต่อสู้และก่อเหตุเช่นเดียวกันนี้ ตอนนั้นนางยังอยู่ในขั้นการฝึกตนโบราณเท่านั้น แต่มวลพลังที่นาง แผ่ออกมานั้นยังแข็งแกร่งและน่าสะพรึงกลัวยิ่ง มาบัดนี้ เมื่อนางมาถึงระดับที่สี่ของขั้นลมหายใจเที่ยงแท้และเข้าสู่สภาวะเช่นเดิม ความรุนแรงของรัศมีที่นางแผ่ออกมาย่อมต้องรุนแรงเกินจินตนาการ
แม้กระทั่งชายวัยกลางคนในชุดดำก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาถึงกับตกตะลึง
“พวกกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ! สายเลือดของพวกเจ้ามันผิดปกติ!” ชายวัยกลางคนในชุดดำไม่อาจหยั่งรู้ได้เลยว่า ในมนุษย์สามคนที่เขาจับมาได้นั้น สองคนจะมีพลังเหนือมนุษย์เยี่ยงนี้ คนหนึ่งก็เป็นนักรบสงครามอีกคนหนึ่ง ก็มีสายเลือดมนุษย์กลายพันธุ์อยู่ในตัว!
แม้แต่ชายชุดดำก็ยังไม่เชื่อสายตากับเหตุการณ์ตรงหน้า!