Skip to content

A World Worth Protecting 210

บทที่ 210 ต้องใช่เขาแน่ๆ

ต้นไม้ใหญ่ในร่างมนุษย์จะไม่เชื่อสัญชาตญาณตัวเองก็ได้ แต่เขาไม่กล้าพอ         ที่จะเสี่ยง ขณะที่เขาตัวแข็งทื่อด้วยความกลัวและยังไม่ทันได้ตัดสินใจ จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าและส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เขาไม่ได้ถอยหนีหากแต่พุ่งตรงเข้ามาหาชายชุดดำด้วยแววตา    ที่เยือกเย็นและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร เด็กหนุ่มส่งเสียงคำรามที่ดังลั่นราวกับฟ้าผ่าออกมา เสียงคำรามนั้นดังก้องสะท้อนจนแผ่นดินสะเทือน และยังก่อให้เกิด           พายุสายฟ้าตามมาอีกด้วย

“เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้…”

เมื่อถ้อยคำเหล่านั้นออกมาจากปากเขา พายุสายฟ้าก็ยิ่งโหมแรงขึ้น             เสียงกัมปนาทอันเลื่อนลั่นนั้นเปลี่ยนแปลงทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ เมฆก่อตัวกัน    อย่างรวดเร็วเป็นรูปทรงของมือขนาดยักษ์ความยาวราวสิบกิโลเมตรบนท้องฟ้า!

มือนั้นบดบังสรวงสวรรค์และทอดเงาอันมหึมาลงมาปกคลุมผืนดินอันกว้างใหญ่เอาไว้ หากมองจากไกลๆ มือยักษ์นั้นช่างดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ผืนแผ่นดินที่เงา      ตกกระทบนั้นไม่เพียงแต่มืดมิดลงในบัดดลเท่านั้น ทว่าดูเหมือนกับว่าถูกสูบเอา     พลังชีวิตไปจนหมด ดูผิวเผินราวกับว่าผืนดินโดยรอบได้แห้งตายไปแล้วกระนั้น!

ร่างของบุรุษชุดดำสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาเองก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่นจนควบคุมไม่ได้ ความกลัวแบบที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนก่อตัวขึ้นในร่างกาย เขามองขึ้นไปยังฝ่ามือขนาดยักษ์บนท้องฟ้า ก่อนลดสายตามาจ้องมองหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้     ดูมั่นอกมั่นใจยิ่ง ชายหนุ่มในขณะนี้ดูไม่เหมือนคนที่กำลังพยายามทำใจดีสู้เสือ        แต่อย่างใด เขาดูมั่นใจมากว่าเขาจะสามารถทำลายต้นไม้ยักษ์ได้อย่างแน่นอน

ความมั่นใจนี้ยิ่งทำให้มวลพลังของมือยักษ์ที่ลอยคว้างอยู่เหนือท้องฟ้านั้นรุนแรงขึ้นไปอีก มือนั้นพุ่งตบลงมาบนพื้นอย่างฉับพลัน ดูราวกับจะกวาดเอาทุกสิ่งให้พินาศไปจนสิ้น!

เมื่อเห็นดังนั้น บุรุษชุดดำก็เกือบจะสิ้นสติ

ข้าเคยได้ยินว่าผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หรืออดีตผู้นำสหพันธรัฐเคยขึ้นไปเหยียบบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ…แล้วนำทารกชายกลับมาคนหนึ่ง…

ทารกคนนั้นไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขมนุษย์โลก แต่เดินทางมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล…หรือว่าทารกคนนั้นก็คือ เขาคนนี้! เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายชุดดำก็แทบจะคลั่ง เขาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง ยิ่งเขาครุ่นคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าสิ่งที่ตนเองคิดไม่ผิดแน่นอน

ใช่เลย เด็กอีกสองคนนั่น เจ้าหนุ่มนักรบสงครามจากตระกูลนภาห้าสมัยกับ     แม่นางมนุษย์กลายพันธุ์ พวกนั้นมีแววบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในได้ด้วยซ้ำ…คนที่มีพรสวรรค์ขนาดนั้นยอมใช้การโจมตีขั้นสุดท้ายเพื่อจะปกป้องชายอ้วนผู้นี้…ดูก็รู้ว่า    ทั้งคู่ต้องเป็นข้ารับใช้ส่วนตัว ที่มีหน้าที่ปกป้องเขาเอาไว้อย่างแน่นอน!

เมื่อได้ข้อสรุป ชายชุดดำก็ไม่อาจยืนนิ่งอยู่ได้อีกต่อไป เขาจึงรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาคิดได้เพียงอย่างเดียวคือตำหนิความโง่เขลาของตนเองที่ไม่คิดได้เร็วกว่านี้ ความคิดเรื่องการสังหารหวังเป่าเล่อและพรรคพวก         ไม่หลงเหลืออยู่ในจิตใจอีกต่อไป

เขารู้ว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อชักจะน่ากลัวเกินไปเสียแล้ว และยังรู้อีกด้วยว่าหากเขาทำร้ายหวังเป่าเล่อแม้แต่ปลายเล็บ ทั้งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อาจจะตอบโต้      อย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านอดีตผู้นำสหพันธรัฐ เขาจะต้องโกรธเกรี้ยวเป็นที่สุดอย่างแน่นอน

ในหัวของชายชุดดำคิดแค่ว่า ชาติกำเนิดของหวังเล่อเกี่ยวพันลึกซึ้งกับ          กระบี่สำริดเขียวโบราณแน่นอน ความคิดแค่นั้นก็ทำให้เขาหมดกำลังใจจะต่อสู้       จนถึงกับต้องวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว

หากเป็นก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อคงดีใจเป็นล้นพ้นที่ชายชุดดำตัดสินใจถอยหนี แต่ตอนนี้ชายหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ เขาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ชายชุดดำจะต้องถอยหนีและเขาจะไม่ยอมให้เหยื่อหนีไปได้

ความมั่นใจของเขาตอนนี้สูงเสียดฟ้า เขาคิดว่าแม่นางน้อยในหน้ากากจะต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่แท้ พลังของเคล็ดวิชาช่างรุนแรงเกินจินตนาการ

ความศรัทธาและความมั่นใจอันแรงกล้าทำให้เขาหัวเราะขึ้นฟ้าด้วยเสียงอันดังลั่น แววตาเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา

“คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ

“ข้าจะบอกอะไรให้อย่างนะ หากว่าข้าใช้ท่าไม้ตายเมื่อใดละก็ ไม่มีใครเอาชนะข้าได้แน่นอน!

“เจ้าจะคุกเข่าและเรียกข้าว่าท่านบิดาก็ได้ แต่ข้าก็จะไม่ออมมือให้หรอกนะ อย่างไรเสียเจ้าก็ไม่มีทางลอยนวลไปได้!” หวังเป่าเล่อคำราม เขาวิ่งตาม                ชายวัยกลางคนไปติดๆ อย่างบ้าคลั่ง พลางร้องตะโกนไปด้วย

“จง!” ชายหนุ่มร่ายเคล็ดวิชาต่อไป แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากมือยักษ์บนท้องฟ้ายิ่งเพิ่มสูงขึ้น

“น้อมตน!” ดวงดาวสั่นไหว ราวกับว่าทั้งสวรรค์และโลกกำลังร้องโหยหวน หรือภูเขาไฟกำลังจะปะทุก็ไม่ปาน

“สู่เส้นทาง!” ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ หวังเป่าเล่อแทบจะคลุ้มคลั่งด้วยความยินดีปรีดา เขาตะโกนคำต่อๆ ไปออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง ทันใดนั้นเอง ดวงอาทิตย์ปักกระบี่    ก็เริ่มสั่นไหวและเอียงเอน!

พลังปราณที่รุนแรงราวกับสามารถจะทำลายล้างสรรพชีวิตบนโลกแผ่ออกมาจากสรวงสวรรค์ พุ่งเป้าไปที่ชายชุดดำทันที

เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นขับให้ชายชุดดำเสียสติไปในที่สุด เขาส่งเสียงกรีดร้องความเคียดแค้นบ้าคลั่ง

“อย่า!” ต้นไม้ยักษ์คำราม เขาจะต้องหนีให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเริ่มทุบอกตนเองอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งกระอักเอาโลหิตสีเขียวออกมาเต็มปาก ดูเหมือนว่า          ความเจ็บปวดจะทำให้เขาวิ่งได้เร็วขึ้น เขาเร่งความเร็วจนบัดนี้เห็นเป็นเพียงร่างเงาสายฟ้าฟาด

ในใจหวังเป่าเล่อตอนนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มพุ่งตรงไปข้างหน้า    อย่างไร้ซึ่งความกลัวเกรง และเร่งความเร็วขึ้นทุกที เขาวิ่งตามชายชุดดำไปอย่าง      ไม่ลดละและกำลังจะตะโกนสามคำสุดท้าย

แต่เมื่อนั้นเอง…

สุ้มเสียงตื่นตระหนกของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นในศีรษะเขาเสียก่อน

“หยุดไล่กวดเขาได้แล้ว!”

“แม่นางน้อย อย่าหยุดข้าเลย วันนี้ ข้า หวังเป่าเล่อ จะฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่และแสดงให้เขาเห็นว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด!” หวังเป่าเล่อตอบนางไปด้วยความมั่นใจ จากนั้นเขาจึงตะโกน

“แห่งเต๋า!”

มือยักษ์จากฟากฟ้ายิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีก เสียงครืนครันนั้นดังชัดขึ้นเรื่อยๆ      ชายชุดดำยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย ความบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาทั้งคู่     ของเขา เขากระอักเอาเลือดออกมาอีกก่อนจะใช้กระบวนเวทเร่งฝีเท้าขึ้นอีก

หวังเป่าเล่อเชิดหน้าอย่างภูมิใจ ชายหนุ่มรุดหน้ารุกไล่ต่อไปไม่หยุดยั้ง เขากำลังจะตะโกนคำสุดท้ายออกมา แต่แม่นางน้อยเห็นว่าเขากำลังได้ใจเกินไป ทำให้นางยิ่งตื่นกลัวมากกว่าเดิม นางตะโกนเข้าไปในศีรษะหวังเป่าเล่อโดยตรง

“หวังเป่าเล่อ เจ้าคนโง่! เจ้าไล่มันไปได้แล้ว ยังจะไล่ตามมันไปหรือ เคล็ดวิชานี้เป็นเพียงของปลอม เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ! ข้าให้เจ้าไปเพื่อใช้ข่มขู่ศัตรู แท้จริงมันไม่ได้มีพลังใดๆ ทั้งนั้น…

“ข้าไม่บอกความจริงกับเจ้า เพราะกลัวเจ้ารู้ว่าเป็นของปลอมแล้วจะแสดงได้     ไม่สมบทบาท แต่ใครจะไปนึกว่าเจ้าจะไปวิ่งไล่มันอย่างนั้น…เมื่อเจ้าเอ่ยเคล็ดวิชา  ครบทั้งหมด ทุกอย่างจะหายไป แล้วศัตรูก็จะวิ่งกลับมาและตบหน้าเจ้าจนตาย        ในคราเดียว!” สุ้มเสียงของแม่นางน้อยมีทั้งความวิตกกังวลและความโกรธเคือง      ราวกับว่านางไม่อาจจะหาถ้อยคำมาดุด่าการกระทำของหวังเป่าเล่อได้เพียงพอ

ถ้อยคำของนางสะท้อนอยู่ในศีรษะหวังเป่าเล่อราวกับสายฟ้าฟาด นัยน์ตาเขาเบิกโพลง เขาหยุดวิ่งทันที มัดกล้ามเนื้อในลำคอเหมือนจะกระตุก เนื้อตัวฉ่ำไขมันของเขาก็สั่นไหวเบาๆ ความลังเลใจทำให้ความตื่นตระหนกกลับมาเกาะกุมใจเขาอีกครั้ง เขาถามกลับอย่างรวดเร็ว “เจ้าแน่ใจหรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ เคล็ดวิชาเป็นของปลอม เจ้าคนโง่บรมโง่!” แม่นางน้อยฉุนเฉียวจนสุดจะบรรยาย ดูราวกับว่าไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้แล้วในขณะนั้น

หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขายืนค้างอยู่กับที่ ยั้งปากไม่ให้ตะโกนคำสุดท้ายออกไป มือยักษ์ค่อยๆ ลดความเร็วลง ชายชุดดำผู้กำลังวิ่งหนีตอนแรกก็ดีใจ แต่อดเอะใจไม่ได้ เขาหันหลังกลับมาแอบมองดูขณะที่ฝีเท้ายังไม่ลดความเร็วลง

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นต้นไม้ยักษ์ในร่างคนจ้องมองกลับมา ร่างกายเขาก็สั่นเทา แอบร่ำไห้อยู่ในใจ แต่ชายหนุ่มพลิกสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เขากัดฟันและจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย ทำให้ดูราวกับว่าเขาตั้งท่าจะวิ่งไล่กวดอีกครั้ง หวังเป่าเล่ออ้าปากกว้างราวกับจะตะโกนออกมา ก่อนจะกดเอาพลังปราณเอาไว้ แล้วบังคับให้ตัวเองกระอักเอาโลหิตออกมาแทน หวังเป่าเล่อแกล้งทำเป็นว่าเขาไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายออกมา แม้ว่าจะพยายามเท่าใดก็ตาม

“ข้าจะใช้ทุกอย่างที่ข้ามี! แม้ว่าข้าจะต้องจ่ายราคาแสนแพงเพื่อจะตะโกนถ้อยคำสุดท้ายออกมา ข้าก็จะทำ ข้าจะทุ่มพลังทั้งหมดที่มี…มาตายไปพร้อมกันเสียดีๆ!”

หวังเป่าเล่อออกแรงจนหน้าแดงก่ำ ท่าทางพยายามตะเกียกตะกายและความสั่นไหวจากภายในทั้งหมดผสานรวมกันเป็นการแสดงที่จริงจังและสมจริง แม้ว่าตัว           หวังเป่าเล่อเองจะไม่เชื่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย

แต่ถึงกระนั้น พลังของเคล็ดวิชาก็สมจริงเสียเหลือเกิน ชายชุดดำเห็นท่าทาง       บ้าดีเดือดของหวังเป่าเล่อแล้วก็ถึงกับต้องสูดลมหายใจ เขาวิ่งหนีเร็วขึ้นไปอีก

เขาเสียสติไปแล้วจริงๆ!

ชายชุดดำเร่งฝีเท้าหนีเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็หายลับเส้นขอบฟ้าไป หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดการแสดงในทันที เขากดเอาความรู้สึกเขินอายและความกลัวเอาไว้ในใจ พลางตะโกนอย่างแค้นเคืองและแกล้งทำเป็นหอบไอไปพร้อมๆ กัน ชายหนุ่มค่อยๆ วิ่งช้าลง แสร้งทำเป็นว่าวิ่งไม่ไหวอีกต่อไป จนกระทั่งหยุดนิ่งในที่สุด

ขณะนั้นเองที่ความกลัวกลับเข้ามาเกาะกุมจิตใจเขาอีกครั้ง เมื่อนึกภาพตัวเองเพิ่งวิ่งไล่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับสุดยอดอย่างไม่ลดละ แล้วก็อดที่จะเหงื่อแตกไม่ได้

“แม่นางน้อย ได้โปรดอย่าล้อข้าเล่นแบบนี้อีกเลย เจ้าเกือบจะส่งข้าไปตายแล้วเชียว!” หวังเป่าเล่อประท้วงเสียงเบา เขากลัวจนแทบจะสิ้นสติ

“ใครจะไปคิดว่าเจ้าจะเชื่อหมดหัวใจเล่า เชื่อข้าก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่เจ้าจะหน้ามืด  ตามัวมากเกินไปแล้ว!” แม่นางน้อยพ่นลมออกมาทางจมูกก่อนจะเลิกสนใจ         หวังเป่าเล่อไปโดยปริยาย

หวังเป่าเล่อได้เพียงแต่ยิ้มแหยๆ เมื่อถูกแม่นางน้อยดุเข้า แต่เมื่อคิดถึงการแสดงของตัวเองก่อนหน้า เขาก็อดภาคภูมิใจไม่ได้ เขาคิดว่าเขาเล่นได้เป็นธรรมชาติ      มากทีเดียว

“เจ้าต้นไม้ ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีไป กล้ามาหาเรื่องข้าอย่างนั้นหรือ ขนาดข้า     ยังกลัวตัวเองเลย ตอนที่ใช้เคล็ดวิชานั่น!” หวังเป่าเล่อทั้งภูมิใจทั้งกระดากอาย       เขายังคงตะโกนไล่หลังต่ออีกเล็กน้อยเพื่อให้การแสดงดูสมจริงขึ้น ก่อนจะวิ่งกลับไปหาจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเร่งรีบ แล้วหอบร่างของทั้งสองคนวิ่งหนีไปใน     ทิศทางตรงข้าม เขาเริ่มต้นวิ่งเหยาะๆ ก่อนจะค่อยเพิ่มความเร็ว แล้วค่อยเร่งฝีเท้าราวกับกำลังหนีตาย ราวกับกลัวว่าชายชุดดำจะจับพิรุธได้และกลับมาสังหารพวกเขาเสีย

เวลาผ่านไป หวังเป่าเล่อยังคงวิ่งอยู่ ความวิตกกังวลและความกลัวในใจเขาไม่ได้หายไปไหน จนกระทั่งเมื่อผ่านไปราวสิบห้านาทีและเรือบินประทับตราสัญลักษณ์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เจ็ดแปดลำปรากฏขึ้น เขาจึงค่อยคลายใจ

“ข้าอยู่นี่! ข้าอยู่ตรงนี้!” หวังเป่าเล่อดีใจจนแทบสิ้นสติ เขากำลังจะฉีกอาภรณ์ของเจ้าเยี่ยเหมิงออกโบกเรียกเรือบินเหล่านั้น ก่อนจะรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมนัก      จึงกอดร่างเจ้าเยี่ยเหมิงแน่นขึ้น เพื่อคลายแขนอีกข้างที่กอดจั่วอี้ฟานอยู่ ก่อนจะฉีกเอาชายอาภรณ์ของจั่วอี้ฟานขึ้นมาโบกไปมาในอากาศแทน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!