บทที่ 211 ออกเดินทางต่อ
ชุดคลุมออกศึกของจั่วอี้ฟานขาดรุ่งริ่ง หวังเป่าเล่อจึงไม่ต้องออกแรงมากนักในการฉีกเศษผ้าชิ้นใหญ่จากชุดคลุม เผยให้เห็นผิวซีดเนียนของจั่วอี้ฟาน…
เขาโบกผ้าไหวๆ พลางตะโกนสุดเสียง เพื่อแสดงตัวให้เรือบินที่กำลังมุ่งตรงทางพวกเขาเห็น ในความจริงแล้ว ร่างกลมอ้วนของหวังเป่าเล่อต่างหากที่จับความสนใจกลุ่มคนบนเรือบินได้ชะงัด ไม่ใช่ผ้าจากชุดคลุมของจั่วอี้ฟานที่เขาโบกไปโบกมาในอากาศ
เรือบินนั้นมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขาในทันที ผู้ฝึกตนราวเจ็ดถึงแปดคนกระโดดออกมาจากยานอย่างรวดเร็ว โดยมีท่านรองประมุขสำนักแห่งสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์นำทัพมา ชุดคลุมสีแดงของท่านโบกสะบัดในอากาศ ขณะกระโดดออกมาจากตัวยาน รังสีที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าต้นไม้ยักษ์กระจายไปทั่วบริเวณในทันที
หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงมันได้เพียงนิดเดียว แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองหายใจลำบากขึ้น แรงกดดันค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นในกายเขาอย่างช่วยไม่ได้
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหลังท่านรองประมุขสำนัก ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมสีน้ำเงินยาวและมีหน้าตาแสนธรรมดา แต่ดวงตาของเขากลับดูราวกับมีสายฟ้าผ่าวาบอยู่ในนั้น มวลพลังทำลายล้างรุนแรงจนแทบสำลักแผ่ออกจากตัวเขา แม้จะยืนอยู่ข้างท่านรองประมุขสำนัก แต่พลังของชายผู้นี้มิได้อ่อนด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน!
ผู้ฝึกตนผู้แก่กล้าสองคนในชุดคลุมสีแดงและสีน้ำเงิน ทำให้สายลมพัดโบกและ หมู่เมฆปลิวล่อง มวลพลังกดดันของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นใน แผ่กระจายไปทั่ว ทุกสารทิศ หลังจากที่ชายสองคนนี้ลงจากยาน ก็ตามมาด้วยผู้อาวุโสสามท่าน พลังปราณของผู้อาวุโสทั้งสามนี้อัดแน่นด้วยพลังทำลายล้างไม่แพ้กัน ระดับการฝึกตนของทั้งสามอยู่ที่ขั้นรากฐานตั้งมั่น
“ข้าน้อยขอคารวะท่านรองประมุขสำนัก และท่านผู้อาวุโสขอรับ!” หัวใจของ หวังเป่าเล่อพองโตด้วยความอุ่นใจและตื้นตัน เมื่อเห็นทั้งคณะกำลังมุ่งตรงมาทางเขา ชายหนุ่มค่อยๆ วางร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงลงอย่างบรรจง ยืดตัวตรงขึ้น ทำมือคารวะ และโค้งตัวลงแสดงความเคารพ
เสื้อผ้าของหวังเป่าเล่อขาดวิ่นจนดูไม่ได้ จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงนอนหมดสติสลบไสลอยู่ที่พื้น เมื่อท่านรองประมุขสำนักและชายในชุดคลุมสีน้ำเงินเห็นสภาพของทั้งสาม ก็ตกใจเป็นอันมาก
ท่านรองประมุขสำนักก้าวเท้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ เขาคว้าข้อมือ ชายหนุ่มเพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บในทันที ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะถามเสียงเบาว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินก้าวมาข้างหน้า และวางมือลงบนหน้าผากของจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงเช่นกัน ทั้งสองตัวสั่น ก่อนเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ
“ท่านผู้อาวุโสชั้นสูง!” เมื่อเห็นว่าชายในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นั้นเป็นใคร จั่วอี้ฟาน ก็พยายามลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกอีกฝ่ายดันตัวลงให้นอนลงไปดังเดิมอย่างเบามือ ชายผู้นั้นปลอบเจ้าเยี่ยเหมิงเช่นกัน ก่อนหันมาทางหวังเป่าเล่อ
“…มันเป็นต้นไม้ยักษ์ขอรับ ระดับการฝึกตนอยู่ที่ขั้นรากฐานตั้งมั่นระดับสุดยอด…มันมีพลังสร้างภาพมายาผ่านปราณวิญญาณได้ แถมยังสามารถยับยั้งมวลพลังของพวกข้าได้ด้วย…” หวังเป่าเล่อพูดรัว รีบเล่าสิ่งที่พวกเขาทั้งสามคนเพิ่งประสบพบมาให้เหล่าผู้ช่วยชีวิตฟัง ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางที่ต้นไม้ยักษ์ในร่างมนุษย์วิ่งหนีไป
หวังเป่าเล่อได้ยินสิ่งที่จั่วอี้ฟานพูดก่อนหน้า และรู้ได้ทันทีว่าชายวัยกลางคน ในชุดคลุมสีน้ำเงินผู้นี้ คือผู้อาวุโสชั้นสูงประจำตำหนักการยุทธ์นั่นเอง!
“สหพันธรัฐไม่เคยเจอต้นไม้กลายพันธุ์ที่แปรสภาพเป็นสัตว์ปีศาจมาก่อน ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าต้นไม้ปีศาจนี้ต้องโง่เขลาเบาปัญญาเพียงใด จึงอาจหาญมาทำร้ายศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงนี้!” สีหน้าของชายในชุดสีน้ำเงินนั้นเคร่งขรึมลงทันที เมื่อได้ฟังความจากหวังเป่าเล่อ มวลพลังทำลายล้างก็แผ่ออกจากกายของเขา และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะระเบิดออกเสียให้ได้ เผยให้เห็นถึง ความโกรธที่อัดแน่นอยู่ภายในใจของท่านผู้อาวุโสชั้นสูง เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาก็หันมาพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายชัดด้วยความพึงพอใจในตัวชายหนุ่ม เขากระซิบสองสามคำกับท่านรองประมุขสำนัก ก่อนหันตัวไปตามทิศที่หวังเป่าเล่อ ชี้ไปเมื่อก่อนหน้า และรีบรุดไล่ล่าต้นไม้ยักษ์นั้นในทันที
ท่านผู้อาวุโสชั้นสูงพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังเร็วไม่พอ เขาจึงหยิบเอาธงผืนใหญ่สีดำมาพันรอบกาย ความเร็วของเขาพลันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าจากก่อนหน้า เขารีบรุดต่อไปพลางใช้พลังปราณสอดส่องไปทั่วทิศเพื่อหาตัว ต้นไม้ยักษ์
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นกับภาพตรงหน้าเป็นอันมาก จั่วอี้ฟานก็เช่นกัน แม้แต่เจ้าเยี่ยเหมิงเองที่บัดนี้ยังคงเงียบและอ่อนแอถึงขีดสุด ก็ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“พวกเจ้าทำอย่างไร ต้นไม้ยักษ์นั่นถึงหนีไปได้” ท่านรองประมุขสำนักถามด้วยความสงสัย หลังจากที่ทั้งสามดูโล่งอกแล้วว่าตนเองปลอดภัยอย่างแน่นอน
ทันทีที่ได้ยินคำถามนั้น จั่วอี้ฟานก็ก้มหน้าลง เจ้าเยี่ยเหมิงเงียบกริบ ส่วนหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนกระแอมแห้ง
“ข้าอาจจะขู่มันจนกลัวเตลิดหนีไปกระมังขอรับ ข้าบอกเจ้าต้นไม้นั่นไปว่า คณะผู้อาวุโสจากสำนักของเรากำลังมา หากไม่รีบหนีไปเสียมันคงถึงฆาตแน่นอน มันเลย…หนีไปน่ะขอรับ”
ท่านรองประมุขสำนักได้ยินคำบอกเล่าของหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสามท่านก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนชี้มาที่พวกเขา
“พวกเจ้าทั้งสามคนนี่แต่งเรื่องได้เป็นตุเป็นตะเชียว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีความลับแอบซ่อนเอาไว้แน่นอน แต่ไม่เป็นไรหรอก ยุคแห่งการฝึกตนนี้เต็มไปด้วยโอกาสมากมาย สิ่งที่เจ้าได้รับมาก็ย่อมเป็นของเจ้า หากพร้อมเมื่อใดก็บอกสำนักของเรา ได้เสมอ”
หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนียมอายเล็กน้อยจนต้องยกมือขึ้นเกาหัว ท่านรองประมุขสำนักหัวเราะออกมาอีกครั้ง สายตาที่ท่านมองพวกเขาเต็มไปด้วยการยอมรับและความพึงพอใจ ท่านหยิบเอาโอสถสามเม็ดออกจากกำไลคลังเวท และยื่นให้พวกเขาคนละเม็ด
โอสถนั้นเป็นสีม่วงและกักเก็บอยู่ในอำพัน ภายในมีกลุ่มควันหมุนวนอยู่ ดูก็รู้ว่าไม่ใช่โอสถดาษดื่นทั่วไป แม้พวกเขาจะไม่ใช่ศิษย์จากตำหนักหลอมโอสถ ก็บอกได้ ไม่ยากว่าสิ่งที่ตนเองกำลังถืออยู่นี้ คงมีพลังบำรุงร่างกายที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะจัดการเรื่องนี้ต่อจากเจ้าเอง ไม่ว่าต้นไม้ยักษ์นี้จะมาจากไหนก็ไม่สำคัญ เราจะจัดการทำลายผู้ใด ก็ตาม ที่อาจหาญทำร้ายศิษย์แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซาก!
“พวกเจ้าทั้งสามทำผลงานได้ดีเยี่ยม เมื่อพวกเจ้ากลับมาจากการเข้าร่วมแผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐแล้ว ทางสำนักจะตบรางวัลให้อย่างแน่นอน!” ท่านรองประมุขสำนักยิ้มบาง ก่อนเอ่ยปากสองสามประโยค สั่งการให้ผู้ฝึกตน ขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ยืนอยู่ข้างหลัง พาพวกเขาทั้งสามไปส่งถึงนครหลวงของสหพันธรัฐ
“จงรับประทานยานี้ระหว่างทางเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ รักษากายของตนให้หายดีเสียก่อนเริ่มเข้าร่วมปฏิบัติการเล่า ข้าจะรอต้อนรับความสำเร็จของพวกเจ้าในฐานะพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐ!”
“ขอบพระคุณท่านรองประมุขสำนักขอรับ!” หวังเป่าเล่อพยายามควบคุมความตื่นเต้นของตน ก่อนโค้งตัวต่ำ ประสานมือคำนับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนุ่ม โชคช่วยเจ้าหรืออย่างไร จึงบรรลุระดับการฝึกตน แถมยังหนีรอดมาได้ ทั้งที่แบกสหายทั้งสองคนนี้มาด้วย ทำได้ดีมาก ถือว่าแข็งแกร่งทีเดียวเชียว” ท่านรองประมุขสำนักเอ่ยกับหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มร่างอ้วนแอบดีใจอยู่ลึกๆ ก่อนคิดว่าท่านรองประมุขสำนักนี้ ช่างมีสายตาแหลมคมและฉลาดล้ำนัก แถมยังรับรู้ถึงความยอดเยี่ยมของเขาได้อีกด้วย ก็เขานี่เองที่ทำให้ต้นไม้ยักษ์นั้นกลัวจนต้องรีบแจ้นหนีไป มันดูหมดท่าขณะรีบโกยอ้าว ทำท่าทำทางราวกับจะปัสสาวะราดตนเองเสียให้ได้
หวังเป่าเล่อทุบอกตนเองเสียงดัง ก่อนเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน “แน่นอนขอรับ พวกเราศิษย์แห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีวันถอยหนีเมื่อเกิดเหตุการณ์ คับขันขึ้น ส่วนข้า หวังเป่าเล่อ จะใช้ชีวิตอยู่และสิ้นชีพไปในฐานะศิษย์แห่ง สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!”
ผู้อื่นที่ได้ยินคำกล่าวนี้ต่างทำสีหน้าประหลาด พวกเขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อไม่เคยพลาดโอกาสอวดอ้างสรรพคุณตนเองเลยสักครั้ง แต่ท่านรองประมุขสำนักกลับ ชื่นชอบในคำกล่าวของชายหนุ่ม เขาระเบิดหัวเราะเสียงดัง ยิ่งรู้จักหวังเป่าเล่อมากเท่าใด ก็ยิ่งพึงพอใจในตัวชายหนุ่มมากเท่านั้น ท่านรองประมุขสำนักอยู่คุยกับพวกเขาต่ออีกสักพัก ก่อนจัดแจงให้ผู้ฝึกตนที่เหลือแยกย้ายออกไปตรวจตราบริเวณโดยรอบ
หวังเป่าเล่อและสหายขึ้นเรือบินของสำนัก เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังนครหลวงของสหพันธรัฐทันที ภายใต้ความดูแลของผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นสองคน เมื่อปลอดภัยอยู่บนยานพร้อมผู้คุ้มกันแล้ว ทั้งสามจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
สหายทั้งสามมองหน้ากันไปมา พวกเขารู้สึกได้ในทันทีว่าสายตาที่มองกันนั้นเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อจั่วอี้ฟานกับเจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อ ประกายประหลาดใจฉายชัดอยู่ในแววตาของทั้งสอง ราวกับกำลังมองอะไรที่ผิดแผกไปจากเดิม แต่ก็ เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่เอ่อล้นมากกว่าแต่ก่อน
ทั้งสองไม่ได้ซักถามหวังเป่าเล่อว่าต่อกรกับต้นไม้ยักษ์ได้อย่างไร และใช้ท่าไม้ตายอะไรหลังจากที่พวกเขาสลบไปแล้ว เพราะนั่นถือเป็นการล่วงเกินความลับของ ชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเองก็มิได้เปิดปากถามกระบวนท่าการโจมตีของทั้งสองเช่นกัน ทั้งสามเข้าใจกันโดยไม่ต้องเปิดปากพูด ทำเพียงยิ้มให้กันและกันเท่านั้น
รอยยิ้มของจั่วอี้ฟานนั้นเทียบไม่ได้เลยกับเจ้าเยี่ยเหมิง เดิมทีใบหน้าของแม่นาง ก็สวยหยาดเยิ้มอยู่แล้ว แต่เมื่อนางยิ้ม ความงามนั้นยิ่งยากจะหาผู้ใดเทียบเทียม ราวกับดอกไม้แรกแย้มนับร้อยที่กำลังคลี่กลีบเบ่งบาน
หวังเป่าเล่อมอง กะพริบตาปริบๆ ก่อนชี้ไปที่หน้าของเจ้าเยี่ยเหมิง
“เจ้าเยี่ยเหมิง เจ้ามีอะไรติดหน้าน่ะ”
“อะไรหรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงงุนงงไปชั่งครู่ นางยกมือขึ้นแตะไปที่ใบหน้าของตนเอง เพราะนึกว่ามีเศษดินติดอยู่
“ความงาม” หวังเป่าเล่อกระแอม และพูดออกมาแบบเนียนๆ
จั่วอี้ฟานที่นั่งอยู่ข้างเจ้าเยี่ยเหมิงเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยิน ผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลออกไป ลอบส่งยิ้มมาทางพวกเขาทั้งสาม เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ผู้ฝึกตนคนหนึ่งมองมาที่หวังเป่าเล่ออย่างครุ่นคิด สีหน้าราวกับกำลังจ้องมองเทพเจ้าอย่างไรอย่างนั้น
เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ทันได้ตั้งตัว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะน้อยๆ ออกมาเมื่อได้ยิน วาจาเกี้ยวพาราสีของหวังเป่าเล่อเหนือความคาดหมาย แม้ปกตินางจะวางตัวสง่า และสงบอยู่เสมอ แต่ก็ตกหลุมพรางเข้าจนได้
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าการหยอกของเขาได้ผล ก็อดไม่ได้ที่จะพออกพอใจอยู่ภายใน เขาศึกษามุกนี้มาตั้งแต่หกขวบและใช้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มรู้สึกราวกับตนเองบินได้ เขาสะบัดแขนหนึ่งทีก่อนพูดว่า “เอาล่ะ เหตุการณ์นี้ก็ปิดฉากลงแล้ว ต่อไปเราจะต้องไปเยือนนครหลวงแห่งสหพันธรัฐกัน และแสดงให้พวกนั้นเห็นว่า พวกเราเก่งกล้าสามารถเพียงใด พวกเราทุกคนต้องเป็นหนึ่งในพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐให้จงได้!”
ความมุ่งมั่นเด่นชัดขึ้นมาในดวงตาจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามจ้องมอง แอ่งแผ่นดินเค่อหลุนห่างออกไปเรื่อยๆ สูดหายใจเข้าลึก และคุยกันอีกสักพัก ก่อนแยกย้ายกลับห้องพักของใครของมัน เพื่อรับประทานโอสถและพักผ่อนร่างกาย
แม้อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อจะไม่รุนแรงเท่าจั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิง แต่เขาเองก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อพักฟื้นเช่นกัน ชายหนุ่มกลืนโอสถสีม่วงเข้าไป ความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นภายในร่าง อวัยวะภายในเริ่มสมานบาดแผลอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
อาการบาดเจ็บภายนอกก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน…
เวลาผ่านไป ไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เรือบินของพวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่นครหลวง อย่างช้าๆ ร่างกายของทั้งสามฟื้นตัวสมบูรณ์เรียบร้อย พวกเขาออกจากห้อง อย่างกระปรี้กระเปร่าเพื่อมายืนอยู่บนดาดฟ้า และจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้าที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ…นครหลวงแห่งสหพันธรัฐนั่นเอง!