บทที่ 236 ปกรณัม
“ในโลกตะวันออกโบราณ ฉางเอ๋อโลดแล่นบนดวงจันทร์ กระต่ายหยกบดโอสถ และอู๋กังโค่นต้นหอมหมื่นลี้ที่เยียวยาตนเองได้ ปกรณัมจากดินแดนตะวันออกเหล่านี้บอกเราว่าบนดวงจันทร์มีเรื่องราวของต้นหอมหมื่นลี้ กระต่ายหยก และฉางเอ๋อ ซุกซ่อนอยู่” น้ำเสียงของท่านประมุขสำนักแฝงไปด้วยอำนาจลึกลับ ทำให้ผู้ที่ได้ยิน จดจ่อตั้งใจฟัง
“ขณะที่ปกรณัมอินเดียโบราณระบุเอาไว้ว่า พระจันทร์เป็นเทพเจ้าสี่กร กรหนึ่งถือคฑา กรหนึ่งถือหม้อน้ำอมฤต กรหนึ่งถือดอกบัว ส่วนกรสุดท้ายนั้นมีตราประทานพรสลักอยู่
“ที่น่าสนใจคือ ในปกรณัมกรีกโบราณ ดวงจันทร์นั้นมีหน้าตาแตกต่างออกไป ดวงจันทร์สำหรับชาวกรีกคือเทพีอาร์ทิมิส เทพธิดาแห่งดวงจันทร์ น้องสาวคนเล็กที่สุดของอะพอลโล เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ เทพีอาร์ทิมิสยังเป็นผู้คุ้มครองหญิงสาว ที่ยังไม่ออกเรือน และตัวนางเองก็ไม่ออกครองเรือนกับชายใดจนสิ้นชีวิต ในตำนานฉบับนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่เศร้าจับใจ หากพวกเจ้าคนใดสนใจ สามารถไปศึกษาเพิ่มเติมได้ที่หอตำราสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
“ตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์นั้นมีมากมาย จากหลากหลายประเทศในโบราณกาล มนุษยชาติได้ทำการพิสูจน์ตำนานแห่งดวงจันทร์นี้เรียบร้อยแล้ว เมื่อเราไป เหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก ทุกคนรู้ว่าบนดวงจันทร์นั้น ไม่มีทั้งเทพเจ้าหนุ่ม หรือเทพธิดาสาว หรือแม้กระทั่งกระต่ายหยก และฉางเอ๋อ…
“แต่ก็ยังมีหลายสิ่งนักที่เราไม่อาจหาคำตอบได้ อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญประจวบเหมาะ หรือการจุติของสิ่งใหม่ๆ ก็เป็นได้ เรื่องน่าพิศวงดังกล่าวก็เช่น ร่างไร้วิญญาณยักษ์ที่หลับใหลอยู่บนดวงจันทร์ โครงสร้างของดวงจันทร์ที่แสนลึกลับ หรือกิ่งไม้ตายซากที่ฝังอยู่บนแผ่นดินของดวงจันทร์ เหล่านักสำรวจค้นพบเรื่อง แปลกประหลาดเหล่านี้เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนมนุษยชาติเดินทางไปถึงดวงจันทร์ เป็นครั้งแรก…”
เสียงของท่านประมุขสำนักดังกังวาน พาให้หวังเป่าเล่อและเหล่าสหายร่วมสำนักตกอยู่ในห้วงความคิดของตน พวกเขาเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์มาบ้าง แต่ตอนนั้นเองที่พวกเขาเริ่มร้อยเรียงพวกมันเข้าด้วยกัน
“อย่างไรก็ตาม เรื่องราวพวกนี้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว เมื่อกระบี่สำริดเขียวโบราณเดินทางมาถึงระบบสุริยะของเรา เศษซากของมันตกกระจายไปทั่วจักรวาล บางชิ้นก็ตกลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์ที่เราคุ้นเคย ดวงจันทร์ในวันนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน อีกต่อไปแล้ว คงมีหลายคนที่เคยได้ยินเรื่องนี้ตามข่าวอยู่บ้าง!
“ในตอนนี้ บนดวงจันทร์ไม่ได้มีแค่พืชพันธุ์เท่านั้น หากแต่ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ด้วย!”
เรือบินอวกาศดูเหมือนท่องไปอย่างเชื่องช้า ผ่านดวงดาวมากมายในจักรภพ แต่ความจริงแล้วมันพุ่งแหวกสภาวะสุญญากาศไปด้วยความเร็วสูง ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากโลกเพื่อมุ่งหน้าไปยังดวงจันทร์ แต่ดูเหมือนทุกคนบนเรือบินอวกาศจะไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ทุกคนมัวแต่ใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ท่านประมุขสำนักเล่า เรื่องเล่าที่ทำให้พวกเขาลืมแม้กระทั่งเวลาที่กำลังเดินไปข้างหน้า
คำเกริ่นนำของท่านประมุขสำนักเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ขบคิด ทำให้พวกเขาเข้าใจเขตจันทราเวทมากขึ้น
“อาจเคยมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดวงจันทร์มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ได้อันตรธานไปด้วยเหตุผลบางอย่าง เศษเสี้ยวของดาบและพลังปราณที่โอบล้อมดวงจันทร์เอาไว้ เปรียบเสมือนเครื่องชุบชีวิตที่ทำให้สิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ที่หายไป กลับมามีชีวิต อีกครั้ง!” ท่านประมุขสำนักพูดด้วยน้ำเสียงสงบเย็น เมื่อกำลังจะเอ่ยถึงอันตรายในเขตจันทราเวท
“เท่าที่เราทราบในตอนนี้ สิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวบนดวงจันทร์ มีอยู่ทั้งหมดหกชนิดด้วยกัน!
“ชนิดแรกนั้นมีหลายรูปลักษณ์ และถือกำเนิดมาจากการกลายพันธุ์อันพิสดาร แต่โดยรวมแล้ว เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดแรกนี้ก็มีระดับปราณอยู่ในระดับการฝึกตนโบราณเท่านั้น ชื่อของพวกมันคือ อสูรจันทรา!
“ชนิดที่สองคือค้างคาวจันทรารัตติกาล พวกนี้ดูคล้ายค้างคาวปกติทั่วไปมาก แต่สิ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือตำแหน่งของพวกมันในห่วงโซ่ปราณ ค้างคาวเหล่านี้อันตรายกว่าอสูรจันทรา ระดับปราณของพวกมันคือ ขั้นแรกหรือขั้นที่สองของระดับลมหายใจเที่ยงแท้
“ชนิดที่สามนี้คือแมลงจันทรา หน้าตาดูคล้ายกับแมลงแห่งความตายในตำนานที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย เท่าที่เราได้รับข้อมูลมา แมลงจันทราตัวที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดถึง 3,000 เมตร ส่วนตัวที่เล็กที่สุดนั้นมีขนาด 30 เมตร แม้ระดับปราณจะอยู่เพียงขั้นที่สามหรือสี่ของระดับลมหายใจเที่ยงแท้ แต่ร่างกายของพวกมันแข็งแกร่งมาก เจ้าแมลงจันทรานี้ยังชอบอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน จึงทำให้อันตรายอย่างยิ่ง แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่น ยังต้องหลบหนีเมื่อเจอกับฝูงแมลงนี้เข้า
“ชนิดที่สี่นั้น…จงตั้งใจฟังให้ดี ชนิดที่สี่นี้มีหน้าตาแตกต่างกันออกไปทุกตัว แต่ก็จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือมีดวงตามากมายอยู่รอบกายของมัน ดวงตานี้ มีพลังเวทที่เปลี่ยนเนื้อมนุษย์ให้กลายเป็นหินได้ ยิ่งมีดวงตามากเท่าใด พลังยิ่งแก่กล้ามากเท่านั้น พลังปราณของพวกมันคือขั้นที่ห้าของระดับลมหายใจเที่ยงแท้ บางตัวก็อยู่ที่ขั้นสุดยอดของระดับลมหายใจเที่ยงแท้ ราชาอสูรของเจ้าชนิดที่สี่นี้ แข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นเลยทีเดียว!
“ชนิดที่ห้าคือวิญญาณจันทรา ส่วนชนิดที่หกมีชื่อว่าเผ่าพันธุ์อมตะราตรี… ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ต้องเจอทั้งสองชนิดนี้ แต่หากเจอเข้า ข้าแนะนำให้พวกเจ้า รีบทุบเหรียญหยกกู้ชีพโดยเร็ว จงทำตามที่ข้าบอกโดยเคร่งครัด ยิ่งพวกเจ้าทุบ เหรียญหยกช้าเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสสิ้นชีวิตมากเท่านั้น!
“นั่นก็เพราะวิญญาณจันทราตนที่อ่อนแอที่สุด ยังแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตน ขั้นรากฐานตั้งมั่นหลายคน ตนที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังปราณอยู่ที่ชั้นสุดยอดของรากฐานตั้งมั่น ส่วนเผ่าพันธุ์อมตะราตรีนั้น… ผู้ฝึกตนที่มีปราณต่ำกว่าขั้น กำเนิดแก่นในคงสิ้นชีวิตทันทีที่เจอ!”
“ร่างไร้วิญญาณยักษ์นั้นมีนามว่าราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี แต่พวกเจ้าคงไม่ได้มีโอกาสเจอ ระดับปราณของมันนั้นไม่มีผู้ใดรู้ได้ หลายปีก่อน ท่านผู้อาวุโสสูงสุดต่อสู้กับมันด้วยอาวุธเทพ พร้อมด้วยสหพันธรัฐและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในมากมาย แต่ท่านกลับพ่ายแพ้อย่างสิ้นซากจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด!” ท่านประมุขสำนักกล่าว ก่อนหยุดไปครู่หนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ย่อยข้อมูล
ทุกคนที่เตรียมตัวเข้าเขตจันทราเวทนั้นพากันตัวสั่น หายใจหอบถี่ด้วยความกลัว รวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย ข้อมูลอื่นๆ นอกเหนือจากศพยักษ์นั้นไม่มีอยู่ในบันทึก นี่จึงนับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับรู้เรื่องนี้
สักพักหนึ่ง ท่านประมุขสำนักก็เริ่มพูดอีกครั้ง
“สิ่งมีชีวิตทั้งหกชนิดนี้คือภัยร้ายที่สุดบนดวงจันทร์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรายังพัฒนาพื้นที่บนดวงจันทร์ไม่ได้เสียที คือสภาพอากาศ!
“พวกเจ้าจงจำไว้ว่า เมื่อเข้าเขตจันทราเวทแล้วพบกับอากาศแปรปรวน จงพยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดก่อนที่สภาพอากาศเลวร้ายจะตั้งเค้า สภาพอากาศนั้นอาจทำให้เกิดภาพมายาขึ้นได้ แม้ภาพเหล่านั้นจะคงอยู่ไม่นาน แต่ผลลัพธ์ของมันอาจเลวร้ายเกินกว่าจะจินตนาการไหว!
“นอกจากนี้ยังมีพายุคลื่นแม่เหล็กที่ไม่ค่อยพบบนพื้นโลก แต่พบได้ทั่วไปบน ดวงจันทร์!
“พายุเหล่านี้เหมือนหมอกเวทเคลื่อนย้าย เมื่อมีสิ่งใดหลุดเข้าไปอยู่ในพายุนั้นแล้ว จะถูกเคลื่อนย้ายไปยังส่วนอื่นของดวงจันทร์ทันที หากโชคร้าย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะหลุดเข้าไปอยู่ในด้านมืดของดวงจันทร์
“นอกจากนี้ยังมีฝนกรดพิษและลมกัดกร่อนอีกด้วย…” หวังเป่าเล่อและสานุศิษย์ฟังสิ่งที่ท่านประมุขสำนักบอกอย่างตั้งใจ และเริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อมของเขต จันทราเวทมากขึ้น
เวลาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ขณะที่ท่านประมุขสำนักบรรยายเรื่องดวงจันทร์ให้พวกเขาฟัง เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครทราบ แต่ในที่สุดเสียงนั้นก็อธิบายจนจบ และดวงจันทร์ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา!
ดวงจันทร์ที่มองจากบนโลกดูไม่ใหญ่โตนั้น แท้จริงแล้วมโหฬารนักเมื่อเข้าไปใกล้ ขณะกำลังจะลงจอดที่พื้นผิว เหล่าศิษย์ก็เห็นว่ามีอาณานิคมมากมายตั้งอยู่ทั่วไป
อาณานิคมนี้ไม่ได้เชื่อมต่อกัน หากแต่กระจายไปทั่วดวงจันทร์ โดยมีถึงหลายพันด้วยกันและเป็นของหลายขุมอำนาจของสหพันธรัฐ อาณานิคมส่วนใหญ่ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตที่แบ่งสรรเขตแดนไว้ และกระจุกตัวกันเป็นขุมอำนาจตามเส้นสมมติที่มองเห็นได้ลางๆ จากที่สูง
บริเวณที่มีอาณานิคมเก่าแก่ที่สุดนั้นกินพื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในบริเวณนั้นมีฐานที่มั่นนับร้อยตั้งอยู่ในนามของสี่สำนักศึกษาเต๋า ทางเข้าเขตจันทราเวทอยู่ในฐานที่มั่นหนึ่งในบริเวณนี้
ประตูเข้าเขตจันทราเวทนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประตู ทุกขุมอำนาจมีทางเข้าและวิธีเข้าเป็นของตนเอง ทางเข้าเหล่านั้นได้รับการคุ้มกันตรวจตราอย่างแน่นหนา เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนที่ย่างเท้าเข้าไป มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเอาตัวรอดได้
เขตจันทราเวทไม่ได้เปิดให้เข้าตลอดทั้งปี และมีบันทึกไว้อย่างละเอียดชัดเจนว่ามีผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นผู้ใดเข้าและออกบ้าง สหพันธรัฐจะตรวจสอบและจัดการให้เรียบร้อย เพื่อให้แน่ใจว่าศิษย์ระดับลมหายใจเที่ยงแท้จะไม่ถูกรบกวน ขณะเข้ารับการทดสอบ
ขณะที่กำลังลงจอดนั้น ดวงจันทร์ก็ค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นต่อหน้าทุกคน หลุมบ่อขรุขระที่เห็นจากมุมสูงนั้น ความจริงคือแอ่งกระทะขนาดยักษ์ เส้นโค้งเมื่ออยู่ในระยะประชิดกลายเป็นพื้นเรียบขนาดมหึมา!
ท่าจอดเรือบินอวกาศที่พวกเขากำลังจะลงเทียบก็ปรากฏขึ้นเช่นกัน เหล่าศิษย์เห็นว่าเรือบินจากสำนักอื่น มาถึงกันเรียบร้อยแล้ว
เรือบินอวกาศจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เข้าจอดเทียบท่าด้วยเสียงกึกก้อง แถมยังสั่นเทาหลายครั้งทำเอาฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบรรยากาศ
เมื่อฝุ่นจางหายไป หวังเป่าเล่อก็ลงจากยานพร้อมศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ชายหนุ่มมองดวงดาวบนฟ้าที่ดูแตกต่างจากที่เคยเห็นบนโลกด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท แต่พื้นผิวดวงจันทร์กลับสว่างเจิดจ้า
แม้ดวงจันทร์จะยังคงไม่มีชั้นบรรยากาศ แต่ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็ได้รับการพัฒนามากพอจะทำให้มนุษย์หายใจได้ ต่อให้ยืนอยู่บนพื้นผิวก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยิ่งเป็นผู้ฝึกตนที่ร่างกายแข็งแกร่งมีภูมิต้านทานสารอันตรายในอากาศ ยิ่งหายใจได้ไม่ยาก
แต่ความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อและคณะเดินทางไม่คุ้นชิน คือแรงที่กดทับร่างของพวกเขา ราวกับทุกคนกำลังแบกภูเขาขนาดย่อมไว้บนหลัง แรงกดทับนี้ทำให้พวกเขาหายใจหอบด้วยความเหนื่อย และเคลื่อนไหวร่างกายได้ลำบากขึ้น
แรงกดทับต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเคยชิน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ปุถุชนทั่วไปมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนักบนดวงจันทร์
หวังเป่าเล่อและพรรคพวกลงจากเรือบินเพื่อเข้าไปภายในฐานที่มั่น ก่อนจะพบเข้ากับผู้ฝึกตนนับพันคนจากอีกสามสำนักศึกษาเต๋า รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากแต่ละสำนักด้วย!
ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีอยู่สำนักละเจ็ดคนด้วยกัน เมื่อคณะจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาถึง จำนวนผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในก็มีรวมกันมากกว่าสามสิบคน เมื่อพวกเขามารวมตัวกัน ทั่วทั้งบริเวณก็อัดแน่นไปด้วยพลังรุนแรงราวพายุร้าย พวกเขาเหล่านี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของสี่สำนักศึกษาเต๋า และยังแสดงให้เห็นว่าทั้งสี่สำนักให้ความสำคัญกับการทดสอบนี้อย่างมากล้น!