Skip to content

A World Worth Protecting 243

บทที่ 243 สหพันธรัฐปั่นป่วน

ปีที่ 41 ของยุคกำเนิดวิญญาณ คงเป็นปีที่ถูกกำหนดมาให้เต็มไปด้วย           ความวุ่นวาย

ในปีนี้ อาณานิคมบนดวงจันทร์ได้พบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ ที่ทำให้ทั้งสหพันธรัฐต้องสั่นคลอน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดข่าวเรื่องนี้ได้ เนื่องจากดวงจันทร์เต็มไปด้วยฐานที่มั่นมากมายของหลายขุมอำนาจ นอกจากฐานที่มั่นของขุมอำนาจหลักแล้ว บนดวงจันทร์ยังมีเขตอาณานิคมของขุมอำนาจย่อยมากมาย

สื่อหลายแขนงของสหพันธรัฐเริ่มถ่ายทอดสดเหตุการณ์หายนะที่เกิดขึ้นใน      เขตจันทราเวท ความหวาดกลัวแตกตื่นลามไปทั่วสหพันธรัฐ ทฤษฎีสมคบคิดมากมายเริ่มแพร่สะพัดไปตามฝูงชน

“หายนะบนดวงจันทร์! สวรรค์โปรดเมตตา ต้องเป็นมนุษย์ต่างดาวจาก        กระบี่สำริดเขียวโบราณแน่ๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นในครั้งนี้!”

“ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่าการปวารณาเป็นผู้ฝึกตนนั้นไม่ใช่เรื่องดี ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องมีเหตุการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น การฝึกพลังปราณนั้นเป็นศาสตร์ของเทพเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เดินดินอย่างเราควรริอ่านทำ!”

“อย่าพูดจาเหลวไหลไป เดี๋ยวสหพันธรัฐก็คงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์    ได้เองนั่นละ!”

ขณะที่ทั้งสหพันธรัฐกำลังโกลาหล บิดามารดาของหวังเป่าเล่อก็กระวนกระวายจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ทั้งสองก็ทำอะไรไม่ได้ โชคดีที่บิดาของหลิวต้าวปินและท่านเจ้าเมืองปักษาเพลิงมักมาเยี่ยมเยียนเสมอ ทั้งสองใช้แหล่งข่าวของตนเองให้เป็นประโยชน์ เพื่อหาข้อมูลมายืนยันกับบิดามารดาของหวังเป่าเล่อได้ว่าชายหนุ่มไม่ได้รับอันตรายอันใด

คู่สามีภรรยาชราเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์มากขึ้น และเข้าใจว่าหวังเป่าเล่ออาจไม่ได้รับอันตรายอย่างที่ตนคิด มีเหตุขัดข้องเกิดขึ้นบนดวงจันทร์ที่ทำให้ทุกคนถูกกักบริเวณอยู่ในเขตจันทราเวท และสหพันธรัฐกำลังเดินหน้าช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง

ในเวลาเดียวกันนั้น คณะของผู้นำสหพันธรัฐและสมาชิกจากขุมอำนาจหลักทั้งหลาย ก็กำลังเคลื่อนพลไปที่ดวงจันทร์ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักศึกษา         เต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ร่วมคณะครั้งนี้ด้วย

แม้แต่ท่านผู้อาวุโสยังต้องเข้าร่วมปฏิบัติการช่วยเหลือด้วยตนเอง ผู้มีอำนาจสูงสุดในขุมอำนาจอื่นคงนิ่งนอนใจไม่ได้ ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันบนดวงจันทร์…เป็นเรื่องน่าเป็นห่วงสำหรับใครหลายคน พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรไม่ชอบมา พากลเกิดขึ้น!

ระหว่างทางไปดวงจันทร์นั้น คณะกู้ภัยจากสหพันธรัฐก็ได้รับข้อความรายงานสถานการณ์ จากผู้นำของหลายขุมอำนาจที่อยู่ประจำฐานที่มั่นบนดวงจันทร์ พวกเขาพบว่า…ภายในเขตจันทราเวทมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในปรากฏตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีเนตรโลหิต และสายฟ้าสีแดงเข้มที่ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในผู้นั้นลงในที่สุด!

ข่าวใหม่นี้ทำให้สถานการณ์ทวีความเลวร้ายขึ้นไปอีก!

เมื่อถึงฐานที่มั่นบนดวงจันทร์เรียบร้อยแล้ว คณะช่วยเหลือราวร้อยคนก็รวมตัวกันในทันที เจ็ดในสิบของคณะนั้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน หลังจากที่รวบรวมหลักฐานเรียบร้อยแล้ว ข้อสรุปก็แจ่มชัดขึ้น

“เมื่อต้นไม้นั้นพัฒนาพลังปราณขึ้นแล้ว มันจึงกลืนกินผู้ฝึกตนและซ่อนเร้นอยู่ใน    กายเขา จนแทรกตัวเข้าไปในเขตจันทราเวทได้สำเร็จ!

“การสืบสวนของเราพบว่ามีต้นไม้กลายพันธุ์แบบนี้อยู่สองตนเป็นอย่างน้อย         ต้นไม้เหล่านี้มีพลังปราณอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นใน ดูเหมือนพวกมันกำลังห้ำหั่นกันเองอยู่!

“ส่วนแรงจูงใจ…ไม่มีข้อมูล!

“พวกมันควบคุมวงแหวนปราณให้กลายเป็นผนึกต่อต้านได้อย่างไรนั้น…          ไม่มีข้อมูลเช่นกัน!

หลักฐานแจ่มแจ้งขึ้นเบื้องหน้าทุกคน ไม่มีใครพูดความสงสัยของตนออกมา      แต่หลายคนในคณะช่วยเหลือก็อดตั้งข้อสังเกตไม่ได้…ว่าอาจมีคนในสหพันธรัฐคอยให้การช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกเหล่านี้อยู่!

สีหน้าของผู้นำสหพันธรัฐต้วนมู่ฉือเคร่งเครียด เขาไม่ได้ตัดสินใจในทันที แต่หันไปหาชายชราข้างกายเพื่อขอความคิดเห็น ชายชราผู้นั้นคือผู้อาวุโสสูงสุดแห่ง     สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐคนก่อนนั่นเอง!

ผู้อาวุโสหรี่ตาลง แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา ก่อนเอ่ยปากพูดด้วยเสียงต่ำ “ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร เราก็ต้องทำลายวงแหวนปราณและเดินหน้าช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ในเขตจันทราเวททันที!”

ความคิดของเขาตรงกับสิ่งที่ต้วนมู่ฉือคิดเอาไว้อยู่แล้ว หลังจากที่ทั้งสองตัดสินใจเรียบร้อย และผู้นำจากขุมอำนาจอื่นก็เห็นพ้องต้องกัน ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นราวร้อยกว่าคนก็เดินทางออกจากฐานที่มั่น เพื่อเริ่มทำลายวงแหวนปราณให้สิ้นในทันที!

ต้วนมู่ฉือถึงกับปลุกพลังเสี้ยวหนึ่งของอาวุธเทพออกมาช่วยทำลายวงแหวนปราณ     ในวินาทีนั้น เสียงกึกก้องกัมปนาทดังสะเทือนไปทั่วฟ้า แม้แต่ดวงจันทร์ก็พลัน        สั่นสะท้าน ทว่า…วงแหวนปราณของเขตจันทราเวทนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งยังถูกวิญญาณร้ายที่เตรียมตัวมาอย่างดีแทรกแซงอีก คณะช่วยเหลือไม่ทราบเลยว่าพวกมันมีอิทธิฤทธิ์มากน้อยเพียงใด ปฏิบัติการทำลายวงแหวนปราณจึงเดินหน้าไป         อย่างเชื่องช้า และไม่มีทีที่ว่าจะทลายลงมาเร็วๆ นี้!

ทางเดียวที่เหลืออยู่คือ ใช้อาวุธเทพทำลายมันเสีย แต่พลังอำนาจจากอาวุธเทพจะไปปลุกราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี ที่กำลังหลับใหลในเขตจันทราเวทให้ตื่นขึ้นมา หายนะจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกจนจินตนาการไม่ได้ มันจึงกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ไม่มีใครอยากเลือก เว้นแต่จะเข้าตาจนจริงๆ

ขณะที่ภายนอกกำลังพยายามทำลายวงแหวนปราณกันอยู่นั้น พื้นดินที่ศิษย์จากสี่สำนักศึกษาเต๋าเคยยืนอยู่พลันปกคลุมไปด้วยหมอกหนา เวลาผ่านไปเนิ่นนานจนหมอกค่อยๆ ลอยจากไป แอ่งกระทะกว้างใหญ่ก็ปรากฏต่อสายตาอีกครั้ง พื้นที่นั้นกลับร้างผู้คนเสียแล้ว ศิษย์หลายร้อยคนจากสี่สำนักศึกษาเต๋าอันตรธานหายไปเรียบร้อยแล้ว

หมอกเวทเคลื่อนย้ายทิ้งไว้ให้เห็นเพียงผืนดินแห้งแล้งและพืชพันธุ์เหี่ยวเฉา        ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก ราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนั้นมาก่อน โพรงนับไม่ถ้วนที่แมลงจันทราขุดเอาไว้ก็หายไปเช่นกัน

หากมีใครสังเกตเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ คงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงกับความแปลกประหลาดเหนือจินตนาการ และคงอดคิดไม่ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นแอ่งกระทะที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วน ศิษย์หลายร้อยคนจากสี่สำนักศึกษาเต๋า และฉากการต่อสู้กับแมลงจันทรา เป็นเพียงภาพลวงตา

สภาพอากาศแปลกประหลาดทำให้ดวงจันทร์เต็มไปด้วยอันตราย อันตรายที่     คืบคลานเข้ามาโดยไม่รู้สึกตัว

สานุศิษย์จากสี่สำนักศึกษาเต๋า ถูกหมอกเวทเคลื่อนย้ายพาไปยังที่ต่างๆ ใน     เขตจันทราเวท คนที่โชคดีก็จะไปโผล่ที่ด้านสว่างของดวงจันทร์ ส่วนคนที่โชคร้ายนั้น…จะถูกส่งไปยังที่ที่อันตรายกว่า คือบริเวณต้องห้ามของด้านมืดบนดวงจันทร์นั่นเอง

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด ชายหนุ่มรู้สึกสายตาพร่ามัวหลังจากที่หมอกเวทเคลื่อนย้ายปกคลุมตัวเขา เมื่อกลับมามองเห็นปกติอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่ในที่      ที่ไม่คุ้นเคยอีกต่อไปแล้ว

ทันทีที่โผล่มายังสถานที่ใหม่ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังปราณของตนเองเต็มที่ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นปล่อยกระบวนท่าระเบิดกำเนิดดวงดารา และเริ่มสำรวจพื้นที่รอบตัวอย่างระแวดระวัง

หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่บนผืนดินรกร้างแห้งแล้งอีกต่อไปแล้ว พื้นที่เขายืนอยู่เป็น    ดินโคลนสีน้ำตาล มองเห็นภูเขาขนาดย่อมหลายลูกจากระยะไกล หากไม่มีผนึก     ลายไม้อยู่บนท้องฟ้าสีดำสนิท หวังเป่าเล่อคงเชื่อว่าตนเองกลับไปยังพื้นโลกอีกครั้ง

หลังจากที่สำรวจจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายอยู่ใกล้ตัว ชายหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เหตุการณ์ที่เขาได้พบเจอมาตั้งแต่เข้ามายังเขตจันทราเวท ช่างแสนแปลกประหลาดน่ากลัวจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

ข้าอยู่ด้านมืดหรือด้านสว่างของดวงจันทร์กันแน่ หวังเป่าเล่อนึกสงสัย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว และหายตระหนกเมื่อเห็นดาวเคราะห์สีฟ้าสดใสบนท้องฟ้า ดวงดาวที่เขาเรียกว่าบ้าน เขารู้สึกว่าตนเองยังพอมีโชคอยู่บ้างที่     ไม่ถูกส่งไปที่ด้านมืดของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นด้านที่จะมองไม่เห็นโลกมนุษย์บนท้องฟ้า

ด้านมืดของดวงจันทร์เป็นด้านที่มองไม่เห็นโลก เพราะการอุบัติของพลังปราณ    มีผลต่อวงโคจรดาวเคราะห์ จากที่เขาเคยอ่านมา ด้านมืดของดวงจันทร์เป็นด้านที่อันตรายมาก หากผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้หลงเข้าไปยังส่วนลึกของด้านมืด คงไม่มีทางรอดชีวิตกลับออกมาอย่างแน่นอน

หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีกครั้งเมื่อมั่นใจว่าตนเองปลอดภัย     เขาเอามือนวดหน้าผาก รู้สึกว่าตัวเองจะอับโชคเหลือเกินตั้งแต่เข้าเขตจันทราเวทมา เขาถูกฉีหลิงแย่งเศษชิ้นส่วนไปหลายชิ้น แถมยังเจอต้นไม้ยักษ์อีกครั้งด้วย

แม้ต้นไม้ยักษ์นั้นจะถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่เขตจันทราเวทที่เขาอยู่ก็ดันมาถูกผนึกเอาไว้จนออกไปไหนไม่ได้อีก

หรือข้าจะถูกลิขิตมาให้อยู่แต่บนโลกจริงๆ เพราะเหตุนี้ดวงของข้าถึงได้กุดทันทีที่ออกจากโลกมา หวังเป่าเล่อตบพุงตนเองอย่างเป็นทุกข์ ความกังวลในดวงตาไม่ได้   จางหายไปหลังจากพูดติดตลกกับตนเอง

โดยปกติแล้วหวังเป่าเล่อมักมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ แต่การมองโลกในแง่ดีของเขาก็เป็นเพียงวิธีจัดการความเครียดวิธีหนึ่งของชายหนุ่มเท่านั้น เขารู้ดีว่าเขตจันทราเวทเต็มไปด้วยอันตรายที่อาจถึงชีวิต หากอยากอยู่รอดปลอดภัยให้ได้ตลอดรอดฝั่ง       เขาต้องรีบบรรลุปราณสู่ขั้นรากฐานตั้งมั่นโดยเร็วที่สุด!

คนอื่นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง…หวังเป่าเล่อนิ่งลง ดวงตาเป็นประกายวาบด้วยความมุ่งมั่น

หากบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นสำเร็จ เขาก็คงมั่นใจไปได้เปลาะหนึ่งว่าตนเองจะปลอดภัย!

ข้าต้องหาเศษชิ้นส่วนให้เจอโดยเร็วที่สุด! หวังเป่าเล่อตัดสินใจแน่วแน่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบกาย ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยพลังสูบจากเมล็ดดูดกลืนออกเต็มที่         เมื่อเมล็ดตื่นตัวถึงขีดสุด ชายหนุ่มก็เริ่มจดจ่อกับกระแสพลังปราณที่แปรปรวนรอบตัว

เขาพุ่งตรงไปข้างหน้า วิ่งตัดเขตจันทราเวทขณะตรวจหากระแสปราณไปด้วย    แต่ก็ไม่ลืมระวังตัวจากภัยร้ายตลอดเวลา

การค้นหาของเขาใช้เวลาไม่นานนัก สองชั่วโมงผ่านไป หวังเป่าเล่อยังไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังปราณอ่อนๆ อ่อนมากเสียจนอาจมองข้ามไปได้โดยไม่รู้สึกตัว หากไม่ได้มีพลังของเมล็ดดูดกลืนและประสาทสัมผัสอันแหลมคมอยู่ในครอบครอง

ด้วยความดีใจ หวังเป่าเล่อเปลี่ยนทิศไปยังพิกัดที่จับกระแสปราณได้ในทันที

หลังจากที่มุ่งหน้าตามประสาทสัมผัสและค้นหาได้สักพัก หวังเป่าเล่อก็เจอพืชเฉาๆ ต้นหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกระบองเพชรหนามเม่น ชายหนุ่มก้มลงมองต้นไม้เหี่ยวแห้งต้นนั้นด้วยความประหลาดใจ

มีกระบองเพชรหนามเม่นบนดวงจันทร์ด้วยหรือ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงต้นตอของพลังปราณ พลังนั้นบางเบามากและอยู่ภายใต้กระบองเพชรหนามเม่นต้นนี้        กระแสปราณนั้นอ่อนมากจนผู้ที่ใช้เพียงวิชาค้ำจุนปราณคงไม่ทันจับสังเกตได้

หวังเป่าเล่อคว้ากระบองเพชรหนามเม่นอย่างดีใจ แต่ทันทีที่เขายื่นมือออกไป ปากขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนต้นกระบองเพชรนั้น มันยื่นออกมาที่มือหวังเป่าเล่อและกัดเข้าไปเต็มๆ!

กัดได้ด้วยหรือ หวังเป่าเล่อมองเขม็ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!