บทที่ 261 คนคุ้นหน้า…
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเฉินหุยหนีไปพร้อมกับร่างโชกเลือด ก่อนหน้านี้เขาสัมผัส ได้ว่ามีคนแอบตามมา แต่ไม่ว่าจะใช้ยุงบินหาอย่างไรก็หาตัวไม่พบ
ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงหญิงสาวในอาภรณ์ขาวที่ตนเองเจอตอนได้หม้อหลอมเล็กมาครอง หญิงสาวผู้นั้นเก่งกาจด้านการอำพรางตัว แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจรู้สึกถึงนางได้แม้แต่น้อยก่อนจะเข้าไปในถ้ำรอยแยก
หลังจากคิดวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็มั่นใจว่าทั้งสองคือคนเดียวกัน หญิงสาว ผู้นั้นมีกลยุทธ์แปลกพิสดาร อีกทั้งสมบัติเวทของนางยังน่าหวาดกลัวยิ่งนัก หากเขาปล่อยให้นางไล่ตามอย่างใกล้ชิด ก็เหมือนกับห้อยกระบี่ไว้บนหัวและเอาหนามแหลมมาจ่อลำคอไว้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงพยายามล่อลวงนางออกมา แต่ผ่านไปหลายวัน ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามอย่างไรก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง จนกระทั่งเขาได้รับบาดเจ็บมากจนเกินจะทนไหว อีกทั้งยังมาเจอเข้ากับเหล่าบุตรหลานเสนาบดี หวังเป่าเล่อเลยฉวยโอกาสนี้ลองล่อลวงนางอีกครั้ง
เขาใช้ประโยชน์จากการโจมตีของเหล่าบุตรหลานเสนาบดีเพื่อทำให้ตนเองดู อ่อนแรงลง อีกทั้งยังคอยสั่งสมอาการบาดเจ็บมาเรื่อยๆ จนดูเหมือนจะสิ้นท่าในที่สุด การตบตาของหวังเป่าเล่อดูสมจริงมากจนสามารถลวงนางออกมาได้สำเร็จ เขาตั้งใจจะฆ่านางทิ้งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว แต่นางมีกลยุทธ์ไม่ธรรมดา ประกอบกับอาการบาดเจ็บที่สั่งสมอยู่ในร่างกายของตัวเอง หวังเป่าเล่อจึงทำได้เพียงตัดแขนนางทิ้งไปหนึ่งข้างเท่านั้น
แต่เขาเองก็ต้องรับผลกระทบที่ตามมาเช่นกัน แรงสะท้อนจากอาวุธเวทระดับเจ็ดทำให้อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อทรุดหนักขึ้นไปอีก แต่ชายหนุ่มก็สามารถระงับมันไว้ได้อีกครั้ง จากนี้หากหวังเป่าเล่องดใช้อาวุธเวทไปสักพัก ก็คงจะช่วยให้อาการบาดเจ็บของเขาไม่ปะทุกลับขึ้นมาอีกได้
ลำคอที่เคยบีบรัดคลายตัวลงทันใด หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาหันกลับมาเห็นหลี่ซิ่วยืนอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก จึงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ
“พี่หลี่ เป็นเช่นไรบ้าง วางแผนขโมยของของคนอื่นอยู่เหมือนกันหรือ”
หลี่ซิ่วเสียวสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อที่มองมา เขาเห็นทุกอย่างกับตา ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีอันหนักหน่วงของหวังเป่าเล่อ สภาพศพอันดูไม่ได้ของหลานชายเจ้าเมืองฟ้าสวรรค์ รวมทั้งแผนล่อลวงและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของหวังเป่าเล่อ ภาพที่เกิดขึ้นล้วนทำให้เขาขอบคุณตนเองที่นึกลังเลใจก่อนหน้านี้
ตอนนี้เขามองเห็นหวังเป่าเล่อได้ทะลุปรุโปร่ง ภายนอกแม้ดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่แท้จริงแล้วร้ายกาจยิ่งนัก เขาสามารถสังหารผู้คนทิ้งได้โดยไม่รู้สึกอะไร หากตั้งใจจะฆ่าใครแล้วก็จะลงมือโดยไม่ลังเล
จากบุคลิกแสร้งยิ้มต่อหน้าแต่ซ่อนมีดไว้ลับหลัง เขารู้ดีว่าคนอย่างหวังเป่าเล่อ ไม่เหมาะสมกับสี่ยอดสำนักเต๋า แต่เหมาะกับสำนักรุ่งสางจักรพิภพมากกว่า…
หลี่ซิ่วพยายามควบคุมร่างกายที่สั่นเทิ้มของตัวเองภายใต้รอยยิ้มและสายตา ที่หวังเป่าเล่อส่งมา เขาหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วนใจ รีบหยิบโอสถจาก กระเป๋าคลังเวทมาวางไว้บนพื้น ก่อนจะทุบอกเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นเสียงดัง
“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้าเข้าใจข้าผิดไปแล้ว หลี่ซิ่วผู้นี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น ข้ายึดถือ หลักคุณธรรมและยึดมั่นในความถูกต้อง ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อ…ส่งโอสถให้เจ้าอย่างไรเล่า ศิษย์น้องเป่าเล่อ”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขณะมองหลี่ซิ่ว
“เหตุใดข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย”
ได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้น หลี่ซิ่วก็แทบจะหลั่งน้ำตา หัวใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้ ในหัวพยายามคิดหาข้อแก้ตัว ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว เขาจึงรีบเปิดปากพูด
“พี่ใหญ่เป่าเล่อ ท่านยังโสดใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร แต่ข้ามีพี่สาวรูปโฉมงามสะคราญ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือทรวดทรง ก็ต่างโดดเด่นดังที่ท่านเฝ้าใฝ่หา ตอนนี้นางทำงานอยู่ที่อาณานิคมดาวอังคาร ผู้คนทั้งสหพันธรัฐต่างรู้จักนางดี ข้ามองว่า ท่านเป็นสุภาพบุรุษสุดอ่อนโยนตั้งแต่แรกเห็น จึงคิดว่าท่านอาจจะมาเป็นพี่เขยของข้าได้ในภายภาคหน้า!”
นี่มันเรื่องอะไรกัน หวังเป่าเล่องุนงง
“ท่านพี่เขย! ข้ามีธุระต้องไปสะสาง ข้าไปก่อนนะขอรับ ท่านพี่เขย!” หลี่ซิ่วทุบอกเสียงดัง จบประโยคแล้วเขาก็รีบหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อมองไล่หลังหลี่ซิ่ว ไม่ได้คิดจะตามไป ชายหนุ่มเอาแต่จ้องแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะก้มลงหยิบโอสถบนพื้นขึ้นมา เขาสะกดอารมณ์ต่างๆ เอาไว้ รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดของหลี่ซิ่ว
เขาเดินทางต่อลึกเข้าไปในป่าด้านมืดของดวงจันทร์ ผู้คนที่พุ่งเข้ามาจู่โจมมีจำนวนลดลง ซากศพต่างๆ ที่ชายหนุ่มสังหารทิ้งไว้ทั่วบริเวณคงจะทำให้คนอื่นๆ หวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้พักหายใจเสียที
แต่พอเขาเริ่มค้นหาสถานที่สำหรับเก็บตัวเพื่อบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น ก็เจอกับปัญหาเข้าอีกครั้ง มีคนกลุ่มใหม่ตามแหล่งกำเนิดปราณวิญญาณมาเจอหวังเป่าเล่ออีกจนได้
พวกเขาคือกลุ่มคนที่หวังเป่าเล่อไม่อยากเจอที่สุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“หวังเป่าเล่อ…” เฉินอวี่ถงหัวเราะอย่างขมขื่นหลังจากเดินออกมาจากป่า ข้างๆ เขาเป็นเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ประมาณสิบสองคน หลี่อี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ฉีหลิงผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจหาเศษชิ้นส่วนเองก็อยู่ในหมู่ศิษย์เหล่านั้น นางมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง
ตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดปราณวิญญาณนี้ แต่พอเข้ามาใกล้ จึงได้รู้ว่าคนผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อนั่นเอง พวกเขาได้แต่หัวเราะให้กันอย่างขมขื่น
เฉินอวี่ถงรู้ดีว่าในวิกฤตการณ์เช่นนี้มักจะเกิดการเข้าใจผิดกันได้โดยง่าย ยิ่งเขาเป็นเพื่อนสนิทกับหวังเป่าเล่อด้วยแล้ว ยิ่งต้องระวังไม่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจตนผิด
ชายหนุ่มจึงก้าวไปด้านหน้า ระวังไม่เข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อจนเกินไป เขาเปิดกระเป๋าคลังเวทหยิบโอสถมาวางไว้บนพื้น
“เป่าเล่อ ข้าจะไม่พูดอะไรมาก ตอนนี้ไม่เหมาะหากมีผู้ใดเข้าใกล้เจ้า ข้าขออวยพร ให้เจ้าโชคดีกับการมุ่งหน้าบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นต่อไป” เฉินอวี่ถงมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาจริงใจพร้อมกับประสานมือคำนับ
ศิษย์คนอื่นๆ ก็หยิบเอาโอสถออกมาวางให้ชายหนุ่มเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
หวังเป่าเล่อรู้สึกตื้นตันใจเมื่อเห็นท่าทีของเหล่าศิษย์ร่วมสำนัก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากการกระทำของเฉินอวี่ถง เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายและหยิบเอาโอสถขึ้นมา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเดินจากไปนั้น นัยน์ตาของหลี่อี้ก็พลันทอประกาย เหมือนว่านางคิดการอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนที่นางจะทันได้ทำอะไร เฉินอวี่ถงก็หันมาจ้องนางตาเขียวเสียก่อน
หลี่อี้เห็นดังนั้นก็นิ่งเงียบก้มหัวลงไปดังเดิม
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้หันกลับมามอง แต่เขาก็เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนผ่านสายตาของเหล่ายุง ชายหนุ่มทำตาขวางแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาหยิบเศษชิ้นส่วนที่ได้จากการสังหารผู้ฝึกตนทั้งหลายออกมา หวังเป่าเล่อต้องใช้เองเพียงแค่ยี่สิบชิ้น จึงโยนส่วนที่ไม่ได้ใช้กลับไปให้เฉินอวี่ถง
“ศิษย์พี่เฉิน ยังมีศพนอนเกลื่อนอยู่มากมาย บางคนมีเศษชิ้นส่วนติดตัวอยู่ แต่ข้าไม่มีเวลาเก็บกลับมา เพราะฉะนั้นโปรดรับไว้เถิด ขอบคุณมากขอรับสำหรับ ความช่วยเหลือ ข้าขอตัวก่อน!” พูดจบเขาก็หันหลังกลับ ทะยานหายลึกเข้าไปในป่า
หลังจากหวังเป่าเล่อกลับออกมา ทิ้งเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไว้เบื้องหลังแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของเขตจันทราเวท เวลาล่วงเลยผ่านไป อาการบาดเจ็บของเขาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะระงับไว้ไม่อยู่ แม้ว่าจะได้ดื่มโอสถแล้วก็ช่วยทุเลาอาการได้เพียงแค่ชั่วครู่ ชายหนุ่มต้องรีบหาสถานที่ปลีกวิเวกโดยพลัน หากเขาระงับอาการบาดเจ็บไว้ไม่ได้ สถานการณ์จะต้องเลวร้ายมากขึ้นเป็นแน่
หลังจากกัดฟันทนอยู่หนึ่งวันเต็ม หวังเป่าเล่อก็ปล่อยยุงบินออกไปทั่ว ให้มั่นใจว่าไม่มีใครตามมาอีกแน่นอนแล้ว เขาก็หยุดอยู่ ณ พื้นที่ตรงยอดเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มขุดถ้ำลึกบริเวณนั้น ก่อนจะเข้าไปอยู่ข้างใน จากนั้นก็กลบดินปิดผนึกถ้ำเอาไว้อย่างแน่นหนา
เขาปล่อยยุงออกไปข้างนอก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก หวังเป่าเล่อรีบหยิบเตาหลอมเล็กสามขาขึ้นมา แล้วมองเตาหลอมในมือด้วยดวงตา ลุกโชติช่วง
หม้อหลอมเล็กสามขาเป็นวัตถุโบราณ ภายนอกแลดูเก่าคร่ำครึ มีอักขระที่อ่านไม่ออกกับรูปอสูรดุร้ายสลักอยู่ทั่วไปหมด ทำให้เตาหลอมเล็กใบนี้ดูโดดเด่นเป็นสง่าขึ้นมา
ข้าจะใช้สิ่งนี้เพื่อบรรลุระดับรากฐานตั้งมั่นให้จงได้! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก ดื่มโอสถอีกอึกใหญ่ลงคอไปอย่างรวดเร็ว โอสถช่วยระงับอาการเจ็บปวดไว้ได้อีกครั้ง เขาเรียกผนึกฝ่ามือขึ้นมา แล้วปล่อยปราณวิญญาณเข้าล้อมรอบเตาหลอมเล็ก ตามขั้นตอนแรกของการบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นซึ่งก็คือ การหลอมรวมวิญญาณ!
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่หวังเป่าเล่อเริ่มขั้นตอนการหลอมรากฐานตั้งมั่น ถัดจากถ้ำที่ชายหนุ่มอยู่ไปไกลหลายพันกิโลเมตร เฉินหุยจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็กำลังมุ่งไปข้างหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด นางสูญเสียแขนไปหนึ่งข้าง สภาพสะบักสะบอมยิ่งนัก สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนคือนัยน์ตาคลุ้มคลั่งที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
หากเปรียบความเกลียดชังนี้เป็นดั่งทะเลเพลิง ป่านนี้ฟ้าดินคงจะโดนแผดเผาเป็นเถ้าธุลีไปหมดแล้ว
หวังเป่าเล่อ! เฉินหุยกัดฟันแน่น ในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น นางเดินหน้าต่อไปเพื่อหาที่พักฟื้นตัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลดังขึ้นในหู
“หุยเอ๋อร์ ใครทำร้ายเจ้าจนมีสภาพเช่นนี้”
ได้ยินเสียงพูดนั้น เฉินหุยก็ตื่นตะลึงไป นางหันกลับมาพบหญิงชราคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ใบหน้าของหญิงชราผู้นั้นเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น นางยืนค้ำไม้เท้าส่งยิ้มให้เฉินหุยอยู่
“ท่านอาจารย์!”
เฉินหุยแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง นางรู้ดีว่าอาจารย์ของนางเป็นหนึ่งใน ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ทั้งยังบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้วอีกต่างหาก ปกติผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจะไม่สามารถเข้ามาในเขตจันทราเวทได้ อีกทั้งตอนนี้ ทั่วทั้งเขตจันทราเวทก็ถูกต้นไม้ยักษ์ปิดผนึกเอาไว้อีก
นางคิดว่าผนึกอาจจะถูกคลายออกแล้ว แต่ครั้นเงยหน้าขึ้นมองก็ยังพบว่าหลังคาไม้บนท้องฟ้ายังมีสภาพสมบูรณ์เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“มีบางเรื่องที่ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าเหล่าศิษย์ เพราะกลัวว่าพวกเจ้าจะเก็บความลับนี้ไว้ไม่ได้…” หญิงชราเอ่ยอย่างอบอุ่น นางสัมผัสได้ว่าเฉินหุยกำลังสับสน จึงส่งยิ้มให้พร้อมกับลูบหัวเฉินหุย
“ครั้งนี้ สำนักรุ่งสางจักรพิภพได้รับความช่วยเหลือจากสหายแห่งเต๋า ทำให้เราสามารถทะลวงวงแหวนปราณเข้ามาได้ ตระกูลนภาห้าสมัยเองก็ทำเช่นเดียวกัน แต่พวกเขาคอยให้ความช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตบางจำพวกอยู่!
“ส่วนผนึกหลังคาไม้นี้…เป็นฝีมือของพวกเราสองสำนักสร้างขึ้นมาเอง
“ข้าพอจะรู้มาคร่าวๆ แล้ว เรื่องที่เจ้าถูกชิงวัตถุเวทสมบูรณ์แบบไป รอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะชิงมันกลับมาให้เจ้าเอง”