Skip to content

A World Worth Protecting 270

A world worth protecting

บทที่ 270 ข้ากลับมาแล้ว

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าและรวดเร็วในคราวเดียวกัน เวลาผ่านไปนานเท่าใด    ไม่ทราบได้ แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แม่นางน้อยก็อันตรธาน     ไปเสียแล้ว สิ่งแรกที่เขาเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาก็คือเพดานถ้ำ

หวังเป่าเล่อใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อเรียกสติ ก่อนที่ม่านตาของชายหนุ่มจะเริ่มเข้าที่ เขาลุกขึ้นนั่งและมองสำรวจไปรอบกายอย่างระแวดระวัง นัยน์ตาพลันเบิกโพลงมองทิวทัศน์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยความตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ที่นี่มัน…หวังเป่าเล่อสับสนงงงวยไปหมด เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อมองจ้องไปยังทิวทัศน์อันแสนงดงามที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ภาพร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเรือนหมื่นและแท่นบูชาสามชั้นที่พวกเขาสักการะบูชาอยู่นั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว้าวุ่นใจ

โดยเฉพาะแท่นบูชาและเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้น ล้วนจุดประกายความเหลือเชื่อขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจำแท่นบูชานั้นได้ทันที มันคือแท่นเดียวกันกับที่ปรากฏในภาพนิมิตของเขาเมื่อคราวที่หลอมรวมกับหม้อหลอมเล็กสามขานั่นเอง

ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน…สายตาของหวังเป่าเล่อฉายแววสับสน เขาจำเหตุการณ์หลังจากหนีเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายเข้าไปในเขตหวงห้ามไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเขาจำได้อย่างแม่นยำว่าเขาใกล้จะสิ้นใจเต็มทน สัญญาณชีวิตของเขาก็อ่อนลงราวกับเปลวเทียนท่ามกลางสายลมกระหน่ำ

เขารู้สึกถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหา ถึงมฤตยูที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง     หม้อหลอมเล็กสามขาของเขาก็ถูกแย่งชิงเอาไป รากฐานตั้งมั่นก็ถูกทำลายจนสิ้น    แถมยังบาดเจ็บเจียนตาย มิหนำซ้ำยังถูกไล่ต้อนโดยผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นมากมายที่หมายชีวิตเขา ไม่ว่าเขาจะสังหารคนเหล่านั้นไปสักกี่มากน้อย ก็ไม่คิดว่าจะรอดพ้นความตายไปได้

ความทรงจำของเขาสิ้นสุดลงแค่ตอนที่ย่างกรายเข้าสู่เขตหวงห้ามเท่านั้น หลังจากนั้นดูเหมือนว่าเขาจะผล็อยหลับไปลึกและยาวนาน จนเมื่อฟื้นคืนสติขึ้นมา  อีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว

ระหว่างที่สับสนงุนงงอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้มลงมองที่หน้าอกของตนเอง ก่อนจะพบหน้ากากนิลวางสงบนิ่งอยู่ เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย อาการบาดเจ็บของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง อีกทั้งยังไม่เคยรู้สึกถึงพลังที่ล้นปริ่มอยู่ในร่างกายขณะนี้มาก่อน

เมื่อรู้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาของเขาทอประกายแวววาว        ด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาเริ่มสำรวจร่างกายตนเองและก็ต้องตกตะลึงราวกับถูกสายฟ้าฟาดทันที

เขาพบว่ารากฐานการฝึกตนที่ถูกทำลายไปแล้วกลับกำเนิดขึ้นมาใหม่ เส้นปราณของเขาก็หายดีเป็นปกติ แถมในบริเวณจุดตันเถียนที่เคยว่างเปล่าเพราะถูกหญิงชราฉกชิงหม้อหลอมเล็กสามขาไปนั้น…บัดนี้กลับมีดอกบัวสีเขียวเข้ามาแทนที่!

ดอกบัวสีเขียวมีขนาดเท่าฝ่ามือของเขา ยามมันโบกพลิ้วก็จะปล่อยพลังชีวิตและปราณวิญญาณปริมาณมหาศาลให้ไหลบ่าเข้าท่วมทั้งร่างกายของหวังเป่าเล่อ        ชายหนุ่มหยุดหายใจไปฉับพลัน ในชั่วขณะนั้นเขาหลงใหลได้ปลื้มไปกับความรู้สึกแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ราวกับว่าเขามีพลังพอที่สามารถดึงเอาพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ และหมู่ดาวลงมาจากท้องฟ้าได้กระนั้น!

เขารู้ดีว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ของจริง ทว่าเขาก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าปราณวิญญาณในกายเขามากล้นกว่าเมื่อคราวที่เขาหลอมรากฐานตั้งมั่นด้วยหม้อหลอมเล็กสามขาถึงกว่าสิบเท่า!

หวังเป่าเล่อเข้มแข็งขึ้นได้ราวกับปาฏิหาริย์ เขารู้สึกเหมือนอยู่ในฝันและรู้สึกคุ้นเคยกับดอกบัวสีเขียวชอบกล…ดูเหมือนว่ามันจะเป็นดอกบัวที่มีร่างเงาจำนวนมากมาสักการะบูชา ดอกเดียวกับที่เขาเห็นในภาพนิมิตเมื่อคราวที่หลอมร่างเข้ากับ     หม้อหลอมเล็กสามขา!

เขาไม่อาจเปรียบเทียบความรู้สึกที่เขามีตอนนี้กับสิ่งอื่นใดได้ เขารู้ดีว่า           หากดอกบัวสีเขียวในร่างกายเขาเป็นดอกเดียวกับที่เขาเห็นในภาพนิมิตแล้ว…       หม้อหลอมเล็กสามขาที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ย่อมไม่อาจเทียบชั้นได้เลย

ดอกบัวนี้เข้ามาอยู่ในกายข้าได้อย่างไรกัน…ใจหวังเป่าเล่อตอนนี้เอ่อท้นไปด้วยความตื่นเต้นกระวนกระวาย เขาไม่เพียงแต่ได้รับพลังที่สูญเสียไปกลับมาเท่านั้น หลังจากที่ได้สูญเสียสิ่งมีค่าไปแล้ว บัดนี้หวังเป่าเล่อกลับพบบางสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่า      เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่เขามีนั้นเกินเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้

หวังเป่าเล่อเริ่มใจเต้นโครมคราม ชายหนุ่มตรวจสอบร่างกายดูอีกครั้งพลางสำรวจสิ่งรอบกายไปด้วย ในที่สุด สายตาทั้งคู่ของเขาก็มาจับจ้องอยู่ที่หน้ากากนิล หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกว่าตนเองได้พบคำตอบของคำถามเข้าแล้ว

“เจ้าเป็นคนช่วยข้าเอาไว้ใช่หรือไม่ แม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อถามเสียงแผ่วเบา เขาหยิบหน้ากากนิลขึ้นมาแต่หน้ากากไม่ได้ตอบสนองอะไร หลังจากนั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นยืน เขาวางหน้ากากลงตรงหน้าและโค้งคำนับลงต่ำด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง!

“แม่นางน้อย ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้า หวังเป่าเล่อ จะไม่มีวันลืมบุญคุณนี้เลย!”

หน้ากากนิลส่องประกายแวววาวขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะตอบรับการคำนับ      อย่างนอบน้อมของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจ้องมองการตอบสนองของหน้ากากนิลจนกระทั่งจางหายไป ความเงียบกลับเข้าปกคลุมโดยรอบอีกครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อเก็บหน้ากากนิลเข้าที่อย่างระมัดระวังก่อนจะเงยหน้าขึ้น

เขารู้สึกได้ถึงพลังชีวิตและปราณวิญญาณมหาศาลที่แพร่กระจายออกมาจากดอกบัวสีเขียวที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกับเมล็ดดูดกลืนในจุดตันเถียนของเขา ทั้งยังรู้สึกได้ถึงระดับการฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นและคลื่นพลังวิญญาณที่ทรงพลังและน่ากลัวกว่าแต่ก่อน

จิตสังหารอันรุนแรงระเบิดขึ้นภายในใจหวังเป่าเล่อ เขาหรี่ตาลง ดวงตาทั้งคู่ฉายแววเยือกเย็นชวนขนลุก

“สำนักรุ่งสางจักรพิภพ ตระกูลนภาห้าสมัย…ในเมื่อข้า หวังเป่าเล่อ ยังไม่ถึง     แก่ความตาย ความแค้นที่ข้ามีต่อพวกเจ้าจะต้องได้รับการชำระสะสาง!” น้ำเสียงพึมพำของเขาเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง เสียงนั้นสะท้อนอยู่เบาๆ ภายในถ้ำ หวังเป่าเล่อลองทดสอบพลังของดอกบัวสีเขียวในจุดตันเถียนของเขา เขาอยากจะรู้ว่าพลังของระดับการฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นที่เขาได้รับมาใหม่นั้นจะทรงพลานุภาพถึงเพียงใด

ความคิดนั้นผุดขึ้นก่อนจะรวมเข้ากับดอกบัวสีเขียว ขณะที่ดอกบัวเริ่มหมุนวนนั้นเอง จู่ๆ ผืนแผ่นดินก็ส่งเสียงครั่นครืนสั่นสะเทือน มวลพลังรุนแรงเหลือเชื่อทะลักล้นออกมาจากรอยแยกบนแผ่นดินอย่างฉับพลัน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อก็ยังอดกลัวไม่ได้

มวลพลังนั้นรุนแรงเสียจนแค่การปลดปล่อยออกมาเพียงอึดใจยังสั่นคลอน       ทั้งสวรรค์ปฐพีได้ สรรพชีวิตที่ดำรงอยู่ในเขตจันทราเวทรู้สึกสั่นไหวไปถึงวิญญาณ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเจ้าของปราณวิญญาณอันรุนแรงนี้หลับใหลมานานแสนนาน และการระเบิดของพลังวิญญาณนี้เป็นสัญญาณว่ามันได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีหรือ หวังเป่าเล่อดึงสติตนเองกลับมาโดยสัญชาตญาณ เมื่อรู้ตัวว่ากำลังจมดิ่งเข้าไปในมนตร์สะกดของดอกบัวสีเขียว ทันทีที่เขาดึงสติตนเองกลับออกมาได้ พลังวิญญาณอันรุนแรงนั้นก็อันตรธานไป สัญญาณพลังที่ถูกปลุกขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็มลายหายไปด้วย ราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรีกลับสู่สภาวะจำศีลอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกเอะใจ เขาเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่าสิ่งมีชีวิตเดียวในเขตจันทราเวทที่มีพลังวิญญาณน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ได้จะต้องเป็นซากศพโบราณขนาดยักษ์ที่หลับใหลอยู่เท่านั้น เขาไม่ได้พิสูจน์ว่าความคิดนี้ถูกหรือไม่ แต่ก็รู้สึกได้ว่าดอกบัว       สีเขียวในกายเขากับซากศพโบราณนั้นต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง

หวังเป่าเล่อเงียบงันไปชั่วครู่ เขาไม่แน่ใจว่าการที่ตนเองปลุกซากศพโบราณขึ้นมาด้วยพลังของดอกบัวสีเขียวนั้นจะทำให้เกิดสิ่งใดขึ้นต่อไป เขาไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถควบคุมซากศพนั้นได้หากมันตื่นขึ้นมาจริงๆ

ความไม่แน่ใจทำให้เขาตัดสินใจพักการปลุกศพเอาไว้ก่อน เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะมองไปยังทางออกของถ้ำ เขากระโจนออกไปและเห็นหมอกบางๆ ด้านนอกพร้อมกับเงาเลือนรางของวิญญาณจันทราและเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

เมื่อวิญญาณจันทราและเผ่าพันธุ์อมตะราตรีเห็นหวังเป่าเล่อก็ต่างพากันก้มหัวคำนับให้เขา…

หวังเป่าเล่อถึงกับชะงัก นัยน์ตาของเขาส่องประกาย เขาพยายามจะออกคำสั่งควบคุมอสูรเหล่านั้น แต่หลังจากทดลองไปหลายครั้งก็พบว่า แม้พวกมันจะก้มศีรษะให้เขา แต่ก็ไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของเขาเลยแม้แต่น้อย

หวังเป่าเล่อเพ่งพินิจดูหมอกรอบตัวเขาอย่างเงียบขรึม ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าหมอกเหล่านี้แตกต่างจากหมอกเวทเคลื่อนย้ายทั่วไป แต่ก็รู้สึกได้ว่าพื้นฐานของมันทั้งคู่      ไม่ต่างกัน เขารู้สึกได้แม้กระทั่งกระแสหมอกเวทเคลื่อนย้ายที่เจือจางอยู่ภายใน     กลุ่มหมอกนี้

ชายหนุ่มละสายตาจากหมอกตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองยังจุดๆ หนึ่งที่ห่างออกไป ตำแหน่งนั้นต้องเป็นจุดที่เขาจากมาเป็นแน่ เขาไม่อาจจะยับยั้งความเยือกเย็นที่ปรากฏอยู่ในแววตาของตนได้

ก่อนหน้านี้ในช่วงชีวิตอันแสนสั้น เขาสังหารคนไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น             แต่ประสบการณ์ในเขตจันทราเวทครั้งนี้ช่างน่าจดจำนัก ความรู้สึกสิ้นหวังที่เขา     ต้องเผชิญ ความโศกเศร้าที่เขาต้องผจญ และการถูกไล่ต้อนจนเฉียดตาย ประสบการณ์ทั้งหมดก่อให้เกิดความเกรี้ยวกราดเกินจะควบคุมขึ้นในใจ              ความต้องการที่จะเข่นฆ่า ความกระหายเลือดอันรุนแรงเดือดพล่านอยู่ภายในใจเขา หากเขาไม่ได้ปลดปล่อยเขาจะต้องเสียสติเป็นแน่

จากการประเมินของหวังเป่าเล่อ ดอกบัวสีเขียวเป็นวัตถุที่ทรงพลังอย่างมากทีเดียว แต่ทว่าไม่ว่าพลังของมันจะมากมายเพียงใด ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อ   ก็อยู่เพียงแค่ขั้นรากฐานตั้งมั่น เขายังต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อจะแข็งแกร่งขึ้นอีก อาจยังไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาเอง หากจะบุ่มบ่ามเข้าประมือกับผู้ฝึกตนขั้นกำเนิด    แก่นในตอนนี้ เพราะว่ายิ่งระดับการฝึกตนสูงขึ้นเพียงใด ช่องว่างระหว่างแต่ละระดับก็แตกต่างกันมากตามไปด้วย

แค่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นเป็นดอกบัวสีเขียว  ไม่ได้หมายความว่าหวังเป่าเล่อจะกลายเป็นคนไร้เหตุผลไปด้วย เขาครุ่นคิดพลางสำรวจกลุ่มหมอกที่รายล้อมเขาอยู่   อีกครั้ง ก่อนที่แววตาจะทอประกายวาบ

ข้าได้ศึกษาประคำหมอกเวทเคลื่อนย้ายมาระยะหนึ่งแล้ว ยังมีสิ่งที่อยากทดสอบอยู่อีกบ้าง หากข้าทำสำเร็จ…จะไม่มีใครหน้าไหนในเขตจันทราเวทแห่งนี้ที่จะหยุดข้าจากการล้างแค้นได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและข่มเอาความโกรธแค้นไว้ในใจ เขาเดินเข้าไปหากลุ่มหมอกนั้นแล้วพลิกฝ่ามือขึ้น ประคำจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเริ่มศึกษาหมอกเวทเคลื่อนย้ายต่อไป

ระดับการฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นไม่เพียงแต่ให้พลังการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อเท่านั้น ทว่ายังช่วยเพิ่มพูนสติปัญญาของเขาอีกด้วย ทำให้เขาสามารถควบคุมและหลอมอักขราจารึกกับวัตถุเวทได้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น บริเวณนี้อุดมไปด้วยหมอกเวทเคลื่อนย้ายมากมายเหลือเกิน ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังค้นพบอีกด้วยว่าดอกบัว    สีเขียวในกายของเขาช่วยให้หมอกเวทเคลื่อนย้ายทำอะไรเขาไม่ได้อีกต่อไป

หวังเป่าเล่อศึกษาหมอกเวทเคลื่อนย้ายไปได้อย่างรวดเร็วและลึกซึ้งยิ่งขึ้น    หลายวันถัดมา ชายหนุ่มก็หลอมประคำหมอกเวทเคลื่อนย้ายได้สำเร็จและเริ่มเดินทางออกจากเขตหวงห้าม ความรู้สึกกระหายการต่อสู้ปะทุขึ้นในใจเขา จิตสังหารของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ชั้นฟ้า!

ข้ากลับมาแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!