Skip to content

A World Worth Protecting 287

A world worth protecting

บทที่ 287 กลับสู่ดาวโลก!

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางแบบใด ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจไม่ต่างกัน เพราะขามานั้น  ช่างแสนยาวนาน แต่ขากลับกลับรวดเร็วอย่างน่าพิศวง

การเดินทางไป-กลับดวงจันทร์ก็เป็นเช่นนั้น เรือบินทะยานกลับสู่พื้นโลก      อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ลงจอดบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เหล่าศิษย์ทั้งหลายไม่ว่าจะได้บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นหรือไม่ พากันทยอยลงจาก     เรือบิน พวกเขาต่างจ้องมองไปบนท้องฟ้ากว้างใหญ่และดวงอาทิตย์ปักกระบี่        ภาพที่เห็นช่างแตกต่างกับตอนที่อยู่บนดวงจันทร์ ได้ยินเสียงนกร้องเพลงเคล้าไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้ที่บานสะพรั่ง สัมผัสได้ถึงอากาศและปราณวิญญาณที่           ลอยกระทบร่าง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ได้ผ่อนคลายจิตใจโดยสมบูรณ์เสียที

แม้จะมีภารกิจมากมายรออยู่หลังจากบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจให้เวลาตนเองได้พักผ่อน ตั้งใจจะกลับไปหาครอบครัวที่นครปักษาเพลิงอีกครั้ง

การกลับเมืองเกิดครั้งนี้กลายเป็นวาระสำคัญสำหรับเจ้าเมืองนครปักษาเพลิงและเจ้าพนักงานคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ถึงกับออกนอกเมืองมารับหวังเป่าเล่อ แต่ต่างมายืนรับอยู่ที่ท่าเรือบินโดยพร้อมหน้า ต่างพูดคุยทักทายหวังเป่าเล่อเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับออกไป เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนหวังเป่าเล่อและครอบครัว

หวังเป่าเล่อสุขใจเหลือล้นเมื่อได้กลับบ้านเกิด นั่งทนฟังมารดาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ส่วนบิดาของเขานั้นนั่งเงียบเสียส่วนใหญ่ มีแทรกเข้ามาดุภรรยาบ้างเป็นครั้งคราว ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ใช้เวลาสองอาทิตย์กับครอบครัวอย่างสงบสุข

ตลอดสองอาทิตย์นั้น หวังเป่าเล่อปล่อยใจให้สงบและเริ่มศึกษาเกี่ยวกับดอกบัวสีเขียวในกายของตนอย่างลึกซึ้ง เขาค้นพบว่าดอกบัวสีเขียวนั้นช่วยเสริมระดับการฝึกตนของเขา อีกทั้งยังเสริมร่างกายให้กล้าแกร่งขึ้นไปมากทีเดียว

หวังเป่าเล่อจำได้ว่าตอนที่โดนตามไล่ล่าในเขตจันทราเวทนั้น ร่างกายของเขาฟื้นสภาพอย่างรวดเร็วทำให้เขารอดตายมาได้ บาดแผลต่างๆ ก็ฟื้นฟูอย่างเร็วไว

พลังกายของเขาได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุงจากดอกบัวสีเขียวอย่างต่อเนื่องทุกวัน ส่งผลให้พละกำลังของเขาเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับฝึกตนขั้นเดียวกัน      หากแบ่งหวังเป่าเล่อออกเป็นสองร่าง ร่างหนึ่งมีแค่พลังปราณ ส่วนอีกร่างมีแค่      พลังกาย พลังกายคงจะชนะพลังปราณเสียด้วยซ้ำ!

ดอกบัวสีเขียวกระตุ้นให้เมล็ดดูดกลืนสูบเอาพลังชีวิตมาจากสิ่งมีชีวิตโดยรอบ แล้วมันก็ค่อยแบ่งรับสารอาหารมาอีกต่อหนึ่งกระมัง… หวังเป่าเล่อรำพึงในใจ        เขาสังเกตดูบนฝักของดอกบัวสีเขียว เห็นเม็ดบัวสี่เม็ดอยู่ภายใน คิดว่าเม็ดบัวเหล่านั้นอาจจะมีประโยชน์อย่างอื่นนอกจากใช้ควบคุมราชาแห่งเผ่าพันธุ์อมตะราตรี

เขาเพิ่งจะได้รับดอกบัวสีเขียวมา จึงยังไม่สามารถบอกได้ว่าเม็ดบัวเหล่านั้นมีความสามารถอย่างไรบ้างภายในเวลาเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มลองพยายามดูดซับพลังจากเม็ดบัวดูบ้าง แต่ก็ยากลำบากยิ่งนัก

หวังเป่าเล่อไม่ได้ท้อใจ แค่มวลพลังมากมายหลั่งไหลออกมาจากแก่นรากฐานตั้งมั่นดอกบัวสีเขียวนั้น ก็ทำให้เขาตื่นเต้นมากพอแล้ว

ข้าคิดว่าเมล็ดดูดกลืนจะช่วยให้ดอกบัวสีเขียวเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ด้วยการเสริมพลังของดอกบัวสีเขียว ร่างกายของข้าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีกเช่นกัน!

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เห็นภาพอนาคตอันสดใสเบื้องหน้า ถือว่าคุ้มค่ามากกับการเสี่ยงชีวิตที่เขตจันทราเวท!

ชายหนุ่มเฝ้าศึกษาดอกบัวสีเขียวไปพร้อมๆ กับใช้เวลาสุขสันต์กับครอบครัว    เขาอยากจะอยู่ต่ออีกสักพัก แต่ก็ได้รับข้อความเสียงจากเฉินอวี่ถงแจ้งว่างานต่างๆ ของตำหนักอาวุธเวทนั้นมากล้นเกินกว่าตนจะรับมือตัวคนเดียวไหว

อีกทั้งทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เอง ก็เรียกตัวหวังเป่าเล่อกลับไปรับเคล็ดวิชาประจำขั้นรากฐานตั้งมั่นมาฝึกฝนต่ออีกด้วย

นอกจากจะได้รับข้อความเรียกตัวจากทางสำนักแล้ว…หวังเป่าเล่อก็ได้ล่วงรู้อะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องสลดใจจากทางบ้าน ชายหนุ่มพบว่าตลอดหลายวันมานี้ มารดาของตนกำลังตระเตรียมพิธีดูตัวให้…ทำเอาหวังเป่าเล่อแขยงใจยิ่งนัก

“ท่านแม่ ลูกชายของท่านเป็นถึงยอดฝีมือขั้นรากฐานตั้งมั่น มีตำแหน่งเป็นทั้งรองเจ้าตำหนักอาวุธเวทและพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐ หากลงไปเดินตามถนน คงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จักข้า ขอแค่ข้าเอ่ยปาก หญิงสาวมากมายคงจะมายืนต่อแถวรอเป็นคู่ใจข้า ถ้าตั้งแถวที่นครปักษาเพลิง หางแถวคงยาวไปถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว แต่ท่านกลับคิดว่ายังต้องจัดพิธีดูตัวหาคู่ให้ข้าอีกอย่างนั้นหรือ

“การจัดพิธีดูตัวนั้นช่างเป็นการเหยียดหยามรูปโฉมและความสามารถของข้ายิ่งนัก!”

มารดาของหวังเป่าเล่อกลอกตาไปรอบๆ ก่อนจะจ้องเขม็งไปทางลูกชายที่กำลังต่อต้าน แล้วหยิกหูของชายหนุ่มสุดแรง หลังจากถูกมารดาข่มขู่และเกรี้ยวกราดใส่ หวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะแอบหนีครอบครัวที่บีบบังคับเขา ออกจากนครปักษาเพลิงไป

หวังเป่าเล่อจบการพักผ่อนหย่อนใจไว้เพียงเท่านี้และมุ่งหน้ากลับสำนักศึกษา  เต๋าศักดิ์สิทธิ์ ข่าวแรกที่ได้รู้จากเฉินอวี่ถงคือสถานการณ์ที่เขตจันทราเวทหลังจากเขากลับออกมา

นอกจากศิษย์จากสี่ยอดสำนักเต๋าที่กลับออกมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ศิษย์จากสำนักอื่นๆ ก็ตามกลับมาด้วยเช่นกัน หลังจากพวกเขาทั้งหมดกลับไปแล้ว ปฏิบัติการชำระล้างบนดวงจันทร์ก็เริ่มต้นขึ้น

ปฏิบัติการชำระล้างที่ว่านี้คือ การล้างบางเหล่าผู้ก่อกบฎนั่นเอง!

เกิดความโกลาหลไปทั่วเขตจันทราเวท เหล่าผู้คนจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพและตระกูลนภาห้าสมัยต่างถูกกักขังไว้ภายในวงแหวนปราณ ทำให้ไม่มีใครหลบหนีไปได้แม้แต่คนเดียว ผู้ฝึกตนจากตระกูลนภาห้าสมัย ไม่ว่าจะเป็นขั้นรากฐานตั้งมั่น         ขั้นกำเนิดแก่นใน หรือแม้แต่ระดับลมหายใจเที่ยงแท้ หากมีส่วนร่วมในการก่อจลาจลครั้งนี้ ต่างถูกสังหารทิ้งแทบทุกราย ผู้ลงมือสังหารนั้นเป็นคนจากสกุลอื่นใน      ตระกูลนภาห้าสมัย

การชำระล้างครั้งนี้เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาต้องแสดงความรับผิดชอบให้ทางสหพันธรัฐเห็น ซึ่งการแสดงความรับผิดชอบที่ว่านั้น จำเป็นต้องใช้ศีรษะนับร้อยพันของคนในตระกูลตนเอง!

ตระกูลนภาห้าสมัยไม่ได้ต้องเสียสละเพียงแค่เท่านั้น แต่ยังต้องเสียดินแดนของตน   ไปถึงหนึ่งในสามด้วย กว่าสหพันธรัฐและขุมอำนาจอื่นๆ จะยอมปล่อยพวกเขาไป หากดื้อดึงจะเอาเพิ่มจากตระกูลนภาห้าสมัยมากกว่านี้ก็คงจะดูไม่งามนัก

ทางด้านสำนักรุ่งสางจักรพิภพนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า พวกเขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายในครั้งนี้ ประมุขสำนักของพวกเขาโดนนำตัวไปคุมขังเป็นเวลา     หกสิบปี โดยมีขุมอำนาจต่างๆ ในสหพันธรัฐคอยเฝ้าจับตาดูไม่ให้เขาหลบหนีออก    ไปได้

ศิษย์จำนวนหนึ่งที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้วได้รับการไว้ชีวิต ส่วนศิษย์คนอื่นๆ ที่เข้ามาในเขตจันทราเวทถูกสังหารทิ้งหมด ทั้งอาณาจักรและทรัพย์สินต่างๆ ของสำนักรุ่งสางจักรพิภพถูกยึดไปเกือบครึ่ง

ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ พวกเขาคงจะต้องเจ็บปวดกับการสูญเสียครั้งนี้ไปอีกนาน

สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพและตระกูล   นภาห้าสมัยที่มีส่วนร่วมในการก่อกบฏครั้งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการโดนพรากแก่นในรากฐานวิญญาณขั้นกำเนิดแก่นในออกจากร่างเหมือน    หญิงชรา แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก ทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่ตนก่อไว้

บทลงโทษเช่นนี้เลวร้ายกว่าการตายเสียอีก

เหตุการณ์ทั้งหมดได้รับการเผยแพร่ผ่านช่องทางต่างๆ ให้ทุกคนในสหพันธรัฐทราบโดยทั่วกัน ความนิยมของต้วนมู่ฉี ผู้นำสหพันธรัฐคนปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นในทันใด เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้พลังอำนาจในมือของเขามากล้นกว่าผู้นำคนก่อนๆ

ด้านการเมืองนั้น หลังจากตระกูลนภาห้าสมัยและสำนักรุ่งสางจักรพิภพ       เสื่อมอำนาจลง กลุ่มไตรจันทราที่มีความสัมพันธ์อันดีกับทางสหพันธรัฐก็เข้ามา        มีบทบาทมากขึ้น ส่วนสำนักสหชุมนุมสกุณานั้นยังคงเก็บตัวเงียบหลังจากจบเรื่อง

ในสายตาของคนนอกที่ไม่ได้รู้รายละเอียดเบื้องลึก การโต้ตอบของทางสหพันธรัฐต่อการก่อกบฏบนดวงจันทร์ในครั้งนี้ดูเชื่องช้าแต่เด็ดขาด พวกเขาอาจคิดว่าตระกูลนภาห้าสมัยและสำนักรุ่งสางจักรพิภพนั้นเป็นแพะรับบาปของเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ทั้งสองกลุ่มอำนาจแสดงความรับผิดชอบเป็นการใหญ่แล้ว ควรจะได้รับการยกโทษให้

กระนั้นหวังเป่าเล่อรู้ดีว่าการเจรจาและคำตัดสินสุดท้ายที่ออกมานั้นไม่ใช่สิ่งที่   จะนำมาอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ เขาเองก็ไม่อยากจะเดาไปไกล พอกล่าวลาเฉินอวี่ถงเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มจดจ่อกับเรื่องต่างๆ ที่ต้องจัดการหลังจากบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น

สิ่งแรกคือเคล็ดวิชาขั้นรากฐานตั้งมั่นที่ได้รับมาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์      มีอยู่ด้วยกันหลายเคล็ดวิชา เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนกันอย่างแพร่หลายคือ กระบวนท่าทะลวงสวรรค์

เคล็ดวิชานี้มีความเรียบง่าย ปลอดภัยสูง เหมาะกับศิษย์หลายๆ คน กระนั้น    หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้ เพราะทางสำนักให้เขาเลือกเคล็ดวิชาใดวิชาหนึ่งจากสามสุดยอดเคล็ดวิชาขั้นรากฐานตั้งมั่นของทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แทน      มีเพียงผู้ที่ใช้หลอมแก่นในรากฐานวิญญาณด้วยวัตถุเวทสมบูรณ์แบบเท่านั้นที่จะฝึกฝนได้

วิชาแรกคือกระบวนท่าพิฆาตศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้า วิชาที่สองคือกระบวนเวทประสานธาตุทั้งห้า และวิชาสุดท้าย…กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่ง!

กระบวนท่าพิฆาตศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้านั้นคิดค้นขึ้นโดยผู้อาวุโสสูงสุด มีพลานุภาพมากล้น เหมาะสำหรับศิษย์ที่ใช้วัตถุเวทสมบูรณ์แบบหลอมเป็นแก่นในรากฐานวิญญาณ กระบวนเวทประสานธาตุทั้งห้านั้นถูกค้นพบบนกระบี่สำริดโบราณ เป็นกระบวนเวทชั้นเยี่ยมที่มีพลังแกร่งกล้า สามารถใช้ควบคุมธาตุทั้งห้าเพื่อหลบหนีการโจมตีเป็นหลัก

ส่วนกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งนั้นไม่ได้ถือกำเนิดมาจากกระบี่สำริดโบราณ   แต่มาจากอุกกาบาตที่พุ่งเข้าชนโลกเมื่อสองพันปีที่แล้ว ก่อนหน้ากระบี่สำริดเขียวโบราณจะปรากฏขึ้นเสียอีก เคล็ดวิชานี้ไม่ได้ถูกค้นพบจนกระทั่งการมาถึงของ     กระบี่สำริดเขียวโบราณและปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าสู่โลก ทำให้ผู้คนค้นพบอักขระที่สลักไว้บนอุกกาบาตลูกนั้น เคล็ดวิชานี้ได้รับการสืบทอดต่อกันมาเป็น    เคล็ดวิชาลับเฉพาะของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

จากอักขราจารึกบนอุกกาบาตก่อกำเนิดเป็น…กระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่ง!

ผู้ฝึกตนที่สามารถฝึกฝนทั้งสามวิชานี้ได้จะต้องเป็นผู้ที่หลอมแก่นในรากฐานตั้งมั่น  ด้วยวัตถุเวทสมบูรณ์แบบเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นเรื่องยากในการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญ หากโชคดีอาจจะฝึกวิชาได้สำเร็จ หากโชคร้ายอาจจะคลุ้มคลั่งจนร่างระเบิดออกและเสียชีวิตลงในที่สุด

หวังเป่าเล่อชั่งใจพิจารณาทั้งสามวิชา เขาไม่ได้เลือกกระบวนท่าพิฆาตศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าและกระบวนเวทประสานธาตุทั้งห้า เพราะกระบวนท่าพิฆาตศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้านั้นเหมาะกับผู้ที่หลอมแก่นในรากฐานวิญญาณด้วยวัตถุเวทที่ทำจากโลหะ แม้แก่นในของเขาจะดูเป็นขวดโอสถก็จริง แต่แท้จริงแล้วมันคือดอกบัวสีเขียวต่างหาก…

ส่วนกระบวนเวทประสานธาตุทั้งห้านั้น หลังจากฝึกฝนแล้วจะช่วยสร้าง      ปราณวิญญาณของธาตุทั้งห้าขึ้นในร่างกาย เป็นกระบวนเวทที่พลังมากล้น แต่ถ้าหากปราณวิญญาณธาตุใดในร่างแข็งแกร่งโดดขึ้นมาเกินไป จะส่งผลเสียต่อธาตุอื่นๆ       ในร่างกายเช่นกัน

ดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงเหลือเพียงแค่ตัวเลือกเดียว นั่นก็คือเคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่ง หลังจากฝึกฝนแล้วจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายเขาได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนตัดสินใจเลือกเคล็ดวิชานี้!

เคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งประจำขั้นรากฐานตั้งมั่นแบ่งออกเป็นสี่ขั้น ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย และขั้นสมบูรณ์ เมื่อฝึกฝนไปแต่ละขั้น บนร่างของ    ผู้ฝึกจะมีสัญลักษณ์อัสนีเป็นรูปสายฟ้าปรากฏขึ้น ผู้ฝึกจะต้องดูแลรักษาสัญลักษณ์นี้ เพราะมันจะสามารถกลายเป็นอัสนีบาทฟาดฟันได้จริงๆ

หลังจากศึกษาเคล็ดวิชานี้จนเข้าใจลึกซึ้งขึ้น หวังเป่าเล่อก็คิดในใจว่า ในเมื่อตนชอบไล่เตะศัตรู ยิ่งเตะผ่าหมากยิ่งชอบเป็นพิเศษ เพราะมีการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่น   อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างมหาศาล เขาจึงตัดสินใจว่าจะจารึกสัญลักษณ์อัสนีชิ้นแรก  ไว้บนขาขวา

อย่างนี้ก็จะมีสายฟ้าฟาดออกมาทุกครั้งที่ข้าเตะใครเข้าสักคน ถึงอีกฝ่ายจะปัดป้องการโจมตีกายภาพได้ ก็ยังต้องโดนสายฟ้าฟาดใส่ พวกศัตรูจะต้องไม่คาดคิดเป็นแน่ เยี่ยมยอดไปเลย! หวังเป่าเล่อสุขใจยิ่งนักเมื่อคิดได้เช่นนั้น ขณะที่เขากำลังฝึกฝน  เคล็ดวิชาอยู่ จู่ๆ ก็คิดถึงแม่นางน้อยในหน้ากากนิลขึ้นมา ดวงตาของชายหนุ่มลุก   โชติช่วงขึ้น

แม่นางน้อยสอนเคล็ดวิชากลืนปราณมหาสูญให้ตอนข้าอยู่ในระดับการฝึกตนโบราณ…ก่อนบรรลุมาขั้นรากฐานตั้งมั่นก็สอนวิชาบีบอัดให้…ตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นแล้ว นางอาจจะมีเคล็ดวิชาที่เด็ดกว่ากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งก็เป็นได้!

คิดแล้วก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา หวังเป่าเล่อรีบหยิบหน้ากากนิลเพื่อเข้าไปพบแม่นางน้อยในทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!