บทที่ 290 จุดหมายต่อไป นครอาณานิคมดาวอังคาร
หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนัก นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย การตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลถึงอนาคตของเขา ชายหนุ่มจึงต้องใช้เวลาอย่างมากในการตัดสินใจ
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์รู้ดีว่าไม่ควรรีบเร่งชายหนุ่ม เขาตั้งตารอคอยคำตอบจากหวังเป่าเล่อ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หวังเป่าเล่อที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก็เงยหน้ามองประมุขสำนัก ก่อนจะยกมือขึ้นประสานโค้งคำนับผู้อาวุโสกว่า
“ท่านประมุขสำนัก ข้าไม่รู้ว่าทางใดเหมาะกับข้าที่สุด ท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
“เจ้าเด็กนี่!” ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยิ้ม พลางมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาชื่นชม
หวังเป่าเล่อเกาศีรษะ พยายามแสดงท่าทีให้เห็นว่าเขาจริงจังเพียงใด ประมุขสำนักเห็นท่าทีของชายหนุ่มก็ได้แต่ชี้ไปทางหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าและหัวเราะขึ้น คงไม่เหมาะหากเขาให้คำแนะนำไปโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องขอก่อน ประมุขสำนักตรึกตรองอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้น
“เจ้าจะได้เป็นขุนนางขั้นที่ห้าชั้นสูงถ้าอยู่ที่สำนักต่อ เมื่อเจ้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว ด้วยประวัติอันยอดเยี่ยมของเจ้า คงจะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงประจำตำหนักอาวุธเวทและอย่างน้อยคงจะได้เลื่อนเป็นขุนนางขั้นที่สี่ชั้นรอง ตำแหน่ง ขุนนางขั้นที่สี่ชั้นสูงก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!
“จากนั้นก็คอยสร้างความดีความชอบให้ทางสำนักและทางสหพันธรัฐ พอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากขึ้น เจ้าก็อาจจะมีโอกาสได้ขึ้นเป็นรองประมุขสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ และได้ตำแหน่งขุนนางขั้นที่สามชั้นรองตามมา!
“ข้อดีก็คือไม่ค่อยมีความเสี่ยง แต่ก็มีข้อเสียคือ…เส้นทางนี้จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ต้องใช้เวลาสั่งสมประสมการณ์มากทีเดียว
“ส่วนทางที่สอง การขึ้นไปประจำการที่ดาวอังคารนั้น…ข้อดีก็คือเจ้าจะมีโอกาสมากมายให้ได้แสดงฝีมือ ทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้เร็วกว่า อีกทั้งยังได้เจอผู้คนมากมายหลายหลาก แต่ข้อเสียก็ชัดเจน คือทางสหพันธรัฐยึดครองอาณานิคมได้เพียงแค่บางส่วน ยังคงมีอันตรายมากมายรอเจ้าอยู่ ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเจอเหตุการณ์ไม่ คาดฝันต่างๆ
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปประจำการที่อาณานิคมดาวอังคาร หากเจ้าพิสูจน์ฝีมือจนได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นที่สี่เมื่อใด แม้จะเป็นแค่ชั้นรองก็ตาม ในเมื่อเจ้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในแล้ว เจ้าก็จะได้ย้ายกลับมาประจำการที่โลกมนุษย์ในที่สุด จากประสบการณ์การทำงานบนดาวอังคารของข้า เจ้าน่าจะได้ครองตำแหน่งรองหัวหน้าฝ่ายหลักในสหพันธรัฐ รวมไปถึงตำแหน่งขุนนางขั้นที่สามชั้นรองเลยทีเดียว!
“นี่เป็นทางที่เร็วที่สุด ที่ช่วยให้เจ้าประหยัดเวลาไปได้กว่าครึ่ง!” ประมุขสำนักแนะนำหวังเป่าเล่อด้วยความสัตย์จริง ไม่เก็บงำรายละเอียดใดๆ แม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อตั้งใจฟังและใคร่ครวญสิ่งที่ประมุขสำนักกล่าว เขาพยักหน้า ก่อนจะโค้งคำนับให้ประมุขสำนัก
“ตามที่ท่านประมุขสำนักประสงค์ขอรับ!”
คำตอบของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความหมายมากมาย หวังเป่าเล่อศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างดี แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำก็สื่อความรู้สึกทั้งหมดที่มีต่อประมุขสำนักได้หมด
ประมุขสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยกยิ้ม แนะให้หวังเป่าเล่อไปเตรียมตัวเพราะเขาจะต้องเดินทางในอีกสามวันข้างหน้า ก่อนจะยกถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ข้างกายขึ้น
เห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็กลับออกไปทันที เขาเดินทางออกจากเกาะเส้นทางสวรรค์ มุ่งหน้ากลับไปยังเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ในใจรู้สึกฮึกเหิม ห้ามตนเองไม่ให้ตื่นเต้นกับการเดินทางไปดาวอังคารแทบไม่ไหว
ข้าจะได้เป็นเจ้าพนักงานของสหพันธรัฐแล้ว! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุข รีบเก็บข้าวของทันทีที่กลับถึงถ้ำที่พัก เขาคัดวัสดุสำหรับหลอมวัตถุเวท และแผ่นหยกต่างๆ ใส่ลงในกำไลคลังเวท
ทันใดก็นึกถึงไข่อสูรที่ได้รับมาจากอาจารย์อาวุโสเมื่อตอนที่อยู่ในค่ายฝึกพันธุ์กล้า เขาส่งไข่ให้หลิวต้าวปินเอาไปให้เหล่าผู้ติดตามทำให้ไข่ฟักเร็วขึ้น ชายหนุ่มส่งข้อความบอกให้หลิวต้าวปินนำไข่ใบนั้นกลับมาคืน
ไม่นานหลิวต้าวปินก็มาถึงพร้อมกับไข่อสูร หวังเป่าเล่อมองดูไข่ใบนั้น พบว่ามันดูมีลักษณะต่างออกไปเล็กน้อยจากที่เคยเห็นครั้งล่าสุด เขาเก็บไข่ใบนั้นเข้ากำไลคลังเวท ก่อนจะพูดคุยกับหลิวต้าวต่ออีกปินเล็กน้อย
หลิวต้าวปินเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะโยกย้ายออกไป หลังจากถามไถ่รายละเอียดเพิ่มเติม เขาก็กล่าวยกย่องพร้อมกับแสดงความยินดีให้กับอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อสุขใจยิ่งนัก ยิ้มกว้างตลอดการสนทนาเคล้าไปกับเสียงหัวเราะ
หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกถ้วยชาขึ้น หลิวต้าวปินทราบถึงสัญญาณทันทีจึงกลับออกไป
ชายหนุ่มวางถ้วยชาลง มองถ้ำที่พักและสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่ตนอาศัยอยู่มาหลายปีด้วยความรักใคร่ ในใจท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกมากมาย เวลาหลายปีช่าง ผ่านไปรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขายังเป็นเพียงเด็กอ้วนผู้หล่อเหลาที่กำลังกัดน่องไก่ ขณะมุ่งหน้ามายังสำนักอยู่เลย ผ่านไปพริบตาเดียว กลับกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในสหพันธรัฐที่กำลังจะเดินทางไปประจำการยังอาณานิคมดาวอังคารเสียแล้ว ทว่ายังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุด…
หวังเป่าเล่อยืนมองกระจก จมจ่อมอยู่กับเงาสะท้อนของตนเอง
ข้าลดน้ำหนักไปได้และหล่อเหลาขึ้นมาก! ไม่แปลกที่ท่านแม่จะอยากจัดพิธีดูตัวให้ ถ้าหากข้ามีลูกชายหล่อเหลาเช่นนี้ ข้าก็อยากจะจัดพิธีดูตัวให้เช่นกัน เอาให้ลูกสาว ทุกบ้านตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว… หวังเป่าเล่อตบพุงที่กลับมามีขนาด เท่าเดิมอย่างสุขใจ เห็นหน้าท้องที่กระเพื่อมอยู่ก็สุขใจยิ่งไปอีก
ข้าช่างดูดีแม้จะตบพุงอยู่! หวังเป่าเล่อที่กำลังลิงโลด เข้าใจความรู้สึกของท่านแม่ตนเองแล้ว จึงตัดสินใจภายในใจ
ถ้าหากข้ามีลูกชาย ข้าจะตั้งชื่อเขาว่าหวังสุดหล่อ พอใครมาเจอข้าจะได้ทักข้าว่า อ้าว บิดาหวังสุดหล่อนี่เอง! ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น คิดว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว เขาตั้งตาคอยให้วันออกเดินทางมาถึงแทบไม่ไหว
หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดว่าเวลาสามวันนั้นมันแสนรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในที่สุด วันออกเดินทางก็มาถึง ชายหนุ่มเตรียมตัวเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่ จึงรีบมุ่งหน้าไปที่ท่าเรือบินก่อนใคร
เรือบินหนึ่งลำที่จัดแจงมาสำหรับพาตัวหวังเป่าเล่อเดินทางไปดาวอังคารจอดรอที่ท่าเรือบินอยู่ก่อนแล้ว ประมุขสำนักมารอส่งเขาด้วยตนเอง หลิวต้าวปินและ พวกพ้องที่คุ้นหน้า รวมถึงเหล่าศิษย์บนเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงที่ไม่คุ้นหน้าค่าตา ต่างมารอส่งเขากันล้มหลาม พวกเขาไม่ได้รู้จักหวังเป่าเล่อเป็นการส่วนตัว แต่ก็เคย ได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของเขา หวังเป่าเล่อเดินขึ้นเรือบินไป ก่อนจะหันกลับมา โบกมือลาทุกคนอีกครั้ง
“ลาก่อนทุกคน ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่บนดาวอังคารนะ!” หวังเป่าเล่อตะโกน เสียงดังด้วยความตื่นเต้นขณะที่เรือบินเริ่มติดเครื่องยนต์เตรียมออกตัว เมื่อเรือบินค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นสู่น่านฟ้า ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นหญิงสาวนางหนึ่งในชุดคลุมเต๋ากำลังวิ่งขึ้นมาตามทางเดินสู่ยอดเขาประจำตำหนักหลอมโอสถ นางหยุดยืนอยู่บน จุดที่สูงที่สุดบนยอดเขา ก่อนจะโบกมือให้ชายหนุ่มไม่หยุด ริมฝีปากของนางเหมือนกำลังจะเอ่ยตะโกนบางอย่าง
“ท่านพี่เป่าเล่อ…”
มองแค่แวบเดียว หวังเป่าเล่อก็รู้ทันทีว่าหญิงสาวผู้นั้นคือกระต่ายน้อยที่เขาไปหา แต่กลับพบว่านางจำศีลอยู่
“กระต่ายน้อย!” หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ ทว่เรือบินก็ออกตัวขึ้นสู่ฟ้าไปแล้ว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงตะโกนสุดเสียงไปยังยอดเขาเบื้องล่างที่กระต่ายน้อยยืนอยู่
“กระต่ายน้อย รอข้ากลับมาหาด้วยล่ะ อย่ามัวแต่จำศีลอยู่ ข้ากลัวว่าครั้งหน้าที่กลับมาเจอหน้ากัน เจ้าจะกลายเป็นกระต่ายแก่ไปเสียก่อน…”
ขณะที่เสียงของชายหนุ่มก้องออกไป เครื่องยนต์ของเรือบินก็ส่งเสียงดังคำราม ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แหวกฝ่าห้วงอวกาศพุ่งขึ้นไปสู่ทะเลดาวมากมาย ข้างนอกนั้น!
ผู้คนบนเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองจ้องมองเรือบินพุ่งออกไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ฉายผ่านดวงตา กระต่ายน้อยยืนอยู่บนยอดเขาตำหนักหลอมโอสถ นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจ
พี่เป่าเล่อ ข้าสัญญาว่าเมื่อเราเจอกันครั้งหน้า ข้าจะบรรลุไปขั้นรากฐานตั้งมั่นให้ได้ และจากนั้นข้าจะไม่จำศีลอีกต่อไป!
ในใจหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความเสียใจไม่ต่างกัน เขาเองก็คิดถึงกระต่ายน้อยเหลือเกิน น่าเสียดายที่พวกเขาต้องพรากกันอีกครั้ง แต่ทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็มีอนาคตอันยาวไกลรออยู่เบื้องหน้า ทั้งยังมีโอกาสให้กลับมาเจอกันอีกมากมาย หวังเป่าเล่อที่อยู่บนเรือบินมองลงมายังพื้นดินเบื้องล่าง ที่ค่อยโค้งมนจนเห็นเป็นดาวเคราะห์ ทรงกลม เขาจ้องมองโลกที่จากมาไม่วางตา จนกระทั่งเรือบินทะยานออกมายัง ห้วงอวกาศ ชายหนุ่มจึงละสายตาจากโลก หันกลับมานั่งขัดสมาธิ การเดินทางไปยังดาวอังคารได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
การเดินทางครั้งนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก แม้จะมีแสงสว่างพุ่งผ่านทอแสงระยิบระยับให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่ บรรยากาศภายนอกหน้าต่างเรือบินก็เป็นเพียงที่โล่งกว้างอันมืดมิด หากเป็นครั้งแรกคงจะตื่นตาตื่นใจ แต่ชายหนุ่มเห็นภาพเหล่านี้ จนเบื่อแล้ว เมื่อตอนเดินทางกลับมาจากเขตจันทราเวท
หวังเป่าเล่อเริ่มฝึกเคล็ดวิชาทั้งสองที่ได้รับมา ชายหนุ่มฝึกเคล็ดวิชากระบวนท่าเต๋าสายฟ้าระดับหนึ่งจนรุดหน้าไปบ้างแล้ว จึงเลือกฝึกวิชามารต่อ
บนห้วงอวกาศนั้นมีเศษชิ้นส่วนของกระบี่สำริดเขียวโบราณลอยเคว้งคว้างอยู่ เบี้ยบ้ายรายทาง ทำให้มีปราณวิญญาณไหลเวียนอยู่ในอวกาศ แม้จะไม่มาก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกถึงมันได้ เรือบินมุ่งหน้าไปยังดาวอังคารขณะที่ชายหนุ่มพร่ำ ฝึกวิชามารและล้มเหลวอยู่อย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง
บอกได้ยากว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วเมื่ออยู่ในห้วงอวกาศ หวังเป่าเล่อล้มเหลวในการฝึกวิชามารซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาท้อแท้ โชคดีที่เรือบินแล่นมาใกล้จะถึงดาวอังคารเต็มที จิตใจที่ห่อเหี่ยวของชายหนุ่มจึงพลันสดใสขึ้นมาบ้าง
ดวงดาวสีแดงเริ่มปรากฏให้เห็นสู่สายตา หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น เลิกจมจ่อมคิดแต่เรื่องฝึกวิชามารในทันใด สนใจเพียงแต่ภาพดวงดาวสีแดงที่คละคลุ้งไปด้วยเศษฝุ่นเบื้องหน้าเท่านั้น
ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดเล็กกว่าโลก จากดวงดาวทั้งแปดในระบบสุริยะนั้น ดาวอังคารดวงนี้ใกล้ชิดกับโลกเป็นลำดับสองรองจากดาวศุกร์เท่านั้น!
มีดาวเทียมจำนวนนับไม่ถ้วนโคจรอยู่รอบดาวอังคาร ดาวเทียมหลายอันเข้าควบคุมเรือบินลำที่เขาโดยสารมาทันทีที่มันทะยานเข้าไปใกล้ ดาวเทียมพวกนั้นไม่ได้ชะลอความเร็วของเรือบินลง แต่ควบคุมให้หันเปลี่ยนทิศทางไปตามชั้นบรรยากาศของดาวอังคาร
หวังเป่าเล่อขนลุกชันด้วยความตื่นเต้น มองภาพสิ่งต่างๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เรือบินพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศสีแดงเข้าไปถึงภายในของดาวอังคาร!
หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วครู่ เขายืนอยู่บนขอบเรือบิน ก้มลงมองภาพเบื้องล่าง บนผืนดินสีแดงเปื้อนฝุ่นนั้น ปรากฏให้เห็น…อาณาจักรที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปใกล้ มันคือดินแดนอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา!
ดินแดนแห่งนี้คือ…นครอาณานิคมแห่งดาวอังคาร!