Skip to content

A World Worth Protecting 296

บทที่ 296 ตำนานโรงแรมขวานศึก

เจ้าหยามข้าแล้วยังมีหน้ามาเหยียบโรงแรมของข้าอีกหรือ! ชักจะมากเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อฮึดฮัด ก่อนเดินไปยังบริเวณรับรองลูกค้าของโรงแรมขวานศึก

บริเวณรับรองนั้นกว้างเหลือเชื่อ แม้โรงแรมขวานศึกจะไม่ใช่โรงแรมที่ดีที่สุดในอาณานิคมดาวอังคาร แต่ก็ยังถือว่ามีชื่อเสียงมาเป็นเวลานาน การตกแต่งภายในอลังการตระการตา จนรู้สึกเหมือนอยู่ในลานยกพื้นหรูหรามากกว่าโรงแรมทั่วไป พนักงานทั้งหญิงชายใส่ชุดเครื่องแบบเข้ารูป มองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่       คนธรรมดา หากแต่เป็นผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณทั้งสิ้น

ตรงปลายสุดของบริเวณรับรองเป็นโต๊ะลงชื่อผู้เข้าพัก หน้าโต๊ะมีเก้าอี้ยาวน่านั่งโอบล้อมทั้งสี่มุมของห้อง เพื่อให้แขกโรงแรมได้พักผ่อนระหว่างรอ

นอกจากนี้ภายในโรงแรมยังมีรูปปั้นอสูรและหุ่นสัตว์อสูรจัดแสดงอยู่หลายสายพันธุ์ ทำให้โรงแรมขวานศึกดูมัวหมองลงไปบ้าง

แม้บรรยากาศจะดูเป็นลางร้าย แต่ก็ยังมีแขกเหรื่อมาเข้าพักมากมาย ผู้คนที่เทียวเข้าเทียวออกทำให้โรงแรมมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น

โรงแรมแห่งนี้เป็นของข้า หวังเป่าเล่อยืนอยู่ ณ บริเวณรับรองและกำลังมองไปรอบตัว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา หลี่อู๋เฉินเห็นว่าหวังเป่าเล่อ   เดินตามเขาเข้ามา ครั้นสังเกตเห็นชายหนุ่มมองตาลุกวาวไปรอบๆ เขาก็หลุด    หัวเราะเยาะกับความบ้านนอกเข้าเมืองของหวังเป่าเล่อออกมา จากนั้นชายหนุ่มหัวล้านก็ไม่ได้สนใจคู่อริอีก

ในเวลาเดียวกันนั้น ชายวัยกลางคนในชุดเข้ารูปสีขาวคนหนึ่ง ก็รีบเดินออกมาจากหลังโต๊ะลงทะเบียนเพื่อรับรองหลี่อู๋เฉิน ดูเหมือนว่าเขาจะรอชายหนุ่มมาสักพักแล้ว ชายในชุดขาวต้อนรับขับสู้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า

“รองเจ้าสำนักหลี่อู๋เฉินใช่หรือไม่ขอรับ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มขณะเดินเข้ามาหา ก่อนประสานมือคารวะทักทายอย่างสุภาพนอบน้อม

ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวในชุดเครื่องแบบที่ต่างจากพนักงานคนอื่น และแผ่พลังปราณระดับลมหายใจเที่ยงแท้ออกมา เหล่าพนักงานต่างโค้งคำนับให้ตลอดทางที่เขาเดินผ่าน บอกได้ทันทีว่าเขามีตำแหน่งบริหารระดับสูงเลยทีเดียว

“ท่านคงเป็นสหายเต๋าสวีใช่หรือไม่ ข้ามีนามว่าหลี่อู๋เฉินถูกต้องแล้ว” หลี่อู๋เฉินยิ้มเมื่อเห็นท่าทีสุภาพที่ชายวัยกลางคนต้อนรับเขา ก่อนพยักหน้าตอบรับว่าตนเองคือคนที่เขากำลังตามหา

“ข้ารีบมารอพบท่านทันทีที่ได้รับข้อความ ท่านรองเจ้าสำนักหลี่ เชิญมาคุยกันทางนี้ดีกว่านะขอรับ” แม้ชายวัยกลางคนจะใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม แต่ภายในเขากลับเต็มไปด้วยความมั่นใจจนเข้าขั้นอวดดี เขารู้ดีว่าหลี่อู๋เฉินบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นและมีประวัติที่ไม่ธรรมดา แต่อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นของเขา แม้ระดับการฝึกตนของเขาจะต่ำกว่า แต่หลี่อู๋เฉินก็ยังต้องปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี ตราบใดที่ยังอยู่ในโรงแรมแห่งนี้

หลี่อู๋เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และตามชายวัยกลางคนไปยังบริเวณที่นั่งรับรองใกล้ๆ ชายวัยกลางคนในชุดเข้ารูปสีขาวนั้นไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย และ         ดูเหมือนจะไม่ทราบว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร หากเป็นคราวอื่นเขาคงเข้ามาต้อนรับขับสู้หวังเป่าเล่อแล้ว เนื่องจากขั้นปราณของหวังเป่าเล่อสูงกว่า แต่ในตอนนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่หลี่อู๋เฉินเพียงคนเดียวเท่านั้น

ผู้ฝึกตนมากหน้าหลายตาจากหลากระดับการฝึกตนเข้าออกโรงแรมแห่งนี้กันขวักไขว่ แน่นอนว่าชายในชุดขาวผู้นี้พบเจอผู้ฝึกตนระดับสูงมามากมายจนไม่ได้สนใจอีก    ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มพุดคุยกับหลี่อู๋เฉินด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบที่บริเวณรับรอง

เมื่อเห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็อดเลิกคิ้วขึ้นไม่ได้ ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่บริเวณรับรองเช่นกัน เขาหย่อนก้นลงตรงที่นั่งใกล้ๆ หลี่อู๋เฉินและชายวัยกลางคนอย่าง  สบายอารมณ์ ก่อนสั่งเครื่องดื่มมาจิบ หวังเป่าเล่อดื่มเครื่องดื่มไปพลางมองบรรยากาศโดยรอบไปด้วย แต่ก็มิวายเงี่ยหูฟังการสนทนาของทั้งสองอยู่

เมื่อหลี่อู๋เฉินเห็นว่าหวังเป่าเล่อเดินมานั่งใกล้ๆ ชายหนุ่มก็อดรำคาญอยู่ลึกๆ     ในใจไม่ได้ แต่เขามีเรื่องสำคัญกว่าในตอนนี้ จึงทำเป็นไม่เห็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง     และหันไปปรึกษาหารือกับคู่สนทนาแทน ไม่นานนักชายหนุ่มหัวล้านก็เริ่มมีสีหน้า    ไม่พอใจและพูดเสียงทุ้มต่ำ “สหายเต๋าสวี ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ข้าภายในวันนี้     ข้ามาเจรจากับท่านในนามของสำนักศึกษาเปลววิญญาณ หาใช่เพื่อตนเองไม่!”

“ท่านรองเจ้าสำนักหลี่ ข้าเกรงว่าเรื่องนี้จะใหญ่เกินกว่าข้าจะตัดสินใจเองได้     ข้าจะพยายามดำเนินการให้ดีที่สุด แต่คงสัญญากับท่านไม่ได้ว่าจะจัดการให้เรียบร้อยได้ภายในวันนี้หรอกนะขอรับ” ชายวัยกลางคนฝืนยิ้มพลางส่ายศีรษะ

หวังเป่าเล่อที่ลอบฟังการสนทนาอยู่อดงุนงงไม่ได้ ดูจากท่าทีอ่อนน้อมที่ชายหนุ่มหัวล้านปฏิบัติก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มรู้อยู่แล้วว่าหลี่อู๋เฉินคงมาเพื่อขอร้องอะไรบางอย่างจากชายวัยกลางคน เขาตัดสินใจเขยิบเข้ามานั่งใกล้ขึ้นอีกด้วยความอยากรู้อยากเห็น

แม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ได้ยินยศตำแหน่งของหลี่อู๋เฉินจากบทสนทนาเมื่อครู่

รองเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณอย่างนั้นหรือ นั่นมันตำแหน่งเท่ากับข้าเลยมิใช่หรืออย่างไร! หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขารู้สึกว่าตนเองสร้างผลงานมากมายให้เป็นที่ประจักษ์จนได้ตำแหน่งขุนนางระดับห้าชั้นสูงมาครอบครอง แต่หลี่อู๋เฉินกลับได้ตำแหน่งเดียวกันโดยที่ไม่ต้องกระดิกนิ้วทำสิ่งใดเลยด้วยซ้ำ

เมื่อรู้ว่าหลี่อู๋เฉินมีตำแหน่งเท่ากันกับเขา เพียงแต่เปลี่ยนจากสำนักศึกษา        เต๋าหมอกขุนเขาเป็นอีกสำนักศึกษาหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็อดงุ่นง่านใจไม่ได้

ก่อนหน้านี้ขณะที่เขาหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักศึกษาบนดาวอังคาร ชื่อของสำนักศึกษาเปลววิญญาณก็ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน สำนักศึกษาเปลววิญญาณเองก็เป็น    สำนักศึกษาลูกคนรวย เช่นเดียวกันกับสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา และอาจเรียกได้ว่าทั้งสองสำนักศึกษานี้เป็นคู่แข่งกันกลายๆ

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นั้น เสียงสนทนาระหว่างหลี่อู๋เฉินและชายวัยกลางคนก็ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ชายหนุ่มหัวล้านคิ้วมุ่น ดวงตาเป็นประกาย

“สหายเต๋าสวี ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเล็กแค่ทิศที่        คมขวานศึกชี้ไปเพียงเท่านั้น เพียงแค่หันทิศของคมขวานไปทางอื่นคงไม่เหลือบ่า   กว่าแรงท่าน ใช่ว่าขวานตั้งอยู่ในท่านี้มาตั้งแต่สร้างโลกเสียเมื่อไหร่!”

“ท่านรองเจ้าสำนักหลี่ ท่านอาจพูดได้ง่าย แต่ท่านต้องเข้าใจว่าอำนาจในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ข้า ข้าขอเวลาสักสองสามวันได้หรือไม่ ข้ารายงานเรื่องนี้ให้เบื้องบนรับทราบเรียบร้อยแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของโรงแรมจะมีการเปลี่ยนมือ กระนั้น      ข้าก็ยังเชื่อว่าจะจัดการให้เสร็จสิ้นได้ภายในสองสามวัน”

เมื่อได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ ความสนใจใคร่รู้ของหวังเป่าเล่อก็พุ่งขึ้นอีก          เขาไม่เข้าใจว่าทำไมรองเจ้าสำนักของสำนักศึกษาเปลววิญญาณต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง เพื่อพูดคุยกับผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้เกี่ยวกับทิศที่คมขวานศึก    ชี้ไป หากที่นี่ไม่ใช่โรงแรมของเขา ตัวเขาเองก็คงไม่สนใจ แต่มันดันเป็นโรงแรม      ของเขาเสียนี่ หวังเป่าเล่อยิ่งทวีความสงสัยเข้าไปอีก ชายหนุ่มเปิดเครือข่ายวิญญาณเพื่อค้นหาคำว่า ‘ขวานศึก’ และ ’สำนักศึกษาเปลววิญญาณ’ ผลการค้นหาทำให้   หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้าง

โรงแรมขวานศึกแห่งนี้มีตำนาน!

โรงแรมขวานศึกแห่งนี้สร้างขึ้นตรงข้ามสำนักศึกษาเปลววิญญาณพอดิบพอดี     ทำเลของโรงแรมนี้ถือว่าเป็นชัยภูมิที่ดี เนื่องจากอยู่ใกล้สำนักศึกษาและไม่ไกลจาก   ใจกลางเมือง ด้วยเหตุนี้กิจการจึงไม่มีปัญหาอันใด แต่โรงแรมนี้กลับมีเรื่อง         แปลกประหลาดบางอย่าง…

เรื่องแปลกประหลาดที่ว่านี้มาจากการที่โรงแรมแห่งนี้ขัดฮวงจุ้ยของสำนักศึกษาเปลววิญญาณอยู่… และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย เนื่องจากโรงแรมมีขวานศึกขนาดยักษ์ที่ตั้งเด่นหราอยู่หน้าปากทางเข้า

สถานการณ์ดูเหมือนจะปกติดีตอนสำนักศึกษาเริ่มสร้าง แต่ทันทีที่โรงแรมขวานศึก  มาเปิดทำการตรงข้ามสำนักศึกษา ขวานศึกด้ามใหญ่ที่ดูเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างกลับหันคมของมันไปทางสำนักศึกษาเปลววิญญาณพอดิบพอดี หลังจากโรงแรม    เปิดได้ปีเดียว รองเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณก็เสียชีวิตลงอย่างผิดธรรมชาติ…

หลังจากนั้นก็มีรองเจ้าสำนักคนที่สองเข้ามาแทน รองเจ้าสำนักคนนี้มีพลังปราณสูงส่ง ทั้งยังแม่นยำเรื่องการพยากรณ์ เขาทำนายไว้ว่าขวานศึกเล่มนี้ปล่อยพลังชั่วร้ายออกมามากเกินไป จนทำให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ขึ้น แต่อย่างไรเสีย       โรงแรมแห่งนั้นก็เป็นของผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งกลุ่มไตรจันทรา เขาจึงใช้กำลังบังคับขับไล่อีกฝ่ายไม่ได้ รองเจ้าสำนักคนที่สองเจรจากับโรงแรม จนตกลงกันได้ว่าจะหัน         คมขวานไม่ให้ส่องเข้าไปที่สำนักศึกษาเปลววิญญาณโดยตรง

วิธีแก้ปัญหานี้อาจได้ผลจริงเสียด้วย เพราะยังไม่ทันถึงหนึ่งปีดี รองเจ้าสำนักผู้นี้  ก็ได้เลื่อนยศและส่งตัวกลับไปประจำการที่ดาวโลกอีกครั้ง ตอนนี้เขาตำรงตำแหน่งเป็นถึงรองเสนาธิการประจำกรมใหญ่ของสหพันธรัฐ

เมื่อรองเจ้าสำนักที่สองได้รับการอวยยศ รองเจ้าสำนักคนที่สามก็เข้ามาแทนที่ แต่เขาไม่เชื่อเรื่องงมงายจึงไม่ได้เจรจาอันใดกับทางโรงแรม ด้วยเหตุนี้โรงแรมจึงหันคมขวานของขวานศึกกลับไปหาสำนักศึกษาเปลววิญญาณเช่นเดิม

ผลก็คือเรื่องราวการฉ้อโกงของรองเจ้าสำนักถูกเปิดโปงโดยกองวินัยอาณานิคม เขาถูกจับกุมตัวทันที และขณะนี้กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำบนดาวอังคาร…

ทั้งสามเหตุการณ์นี้ทำให้โรงแรมขวานศึกโด่งดังขึ้นทันที หลังจากนั้นเป็นต้นมา สิ่งแรกที่รองเจ้าสำนักคนใหม่ประจำสำนักศึกษาเปลววิญญาณทุกคนจะทำ ก็คือ     การมาเจรจากับโรงแรมให้หันคมขวานไปยังทิศอื่น

เรื่องที่เคยเกิดขึ้นแปลกประหลาดเหลือเกิน จนทุกคนคิดว่าเชื่อไว้ก่อน              ก็ไม่เสียหาย มีหลายคนที่ไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ แต่ทุกคนที่ไม่เชื่อก็ไม่เคยลงเอยด้วยดีแม้แต่คนเดียว ส่วนใหญ่จะได้ไปอยู่ในเรือนจำเหมือนรองเจ้าสำนักคนก่อน…        ด้วยเหตุนี้ หลี่อู๋เฉินจึงพยายามเจรจากับโรงแรมทันทีที่เขาเข้ามาประจำตำแหน่ง

เป็นอย่างนี้นี่เอง… หวังเป่าเล่อยิ้มกริ่มเมื่ออ่านเรื่องราวจบ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นทันที รอยยิ้มพลันผุดขึ้นที่มุมปาก ขณะมองไปยังหลี่อู๋เฉินผู้มีสีหน้ายุ่งยากใจ

ดูเหมือนชายหนุ่มหัวล้านจะใกล้หมดความอดทนเต็มที เขาผุดลุกขึ้นยืนมอง   ชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนพูดเสียงต่ำ

“สหายเต๋าสวี ข้าไม่สนใจหรอกว่าโรงแรมจะมีการเปลี่ยนมือหรือไม่ ข้าต้องการคำตอบภายในวันนี้!”

“รองเจ้าสำนักหลี่ บอกตามตรงนะขอรับ ก่อนหน้านี้เรื่องนี้ไม่ได้มีปัญหาอันใดเลย   แต่เมื่อหลายวันก่อนข้าได้รับข้อความว่าโรงแรมของเราจะมีเจ้าของคนใหม่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ได้จัดการเรื่องนี้ให้ทันเวลา” ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเช่นกัน เขายังคงยิ้มเจื่อนๆ ต่อไป

“อย่าทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากสำหรับข้าเลยขอรับ ท่านรองเจ้าสำนักหลี่ เอาเช่นนี้แล้วกัน… ข้าจะติดต่อเจ้าของโรงแรมคนใหม่เสียตอนนี้เลย แม้ข้าจะยังไม่เคยพบเขา แต่เจ้าของคนก่อนหน้าให้ข้อมูลติดต่อเอาไว้ ข้าจะถามเขาให้เดี๋ยวนี้ ฉะนั้นไม่ต้องกังวลใจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่น่าจะมีปัญหาอันใด”

เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ หลี่อู๋เฉินก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยและพยักหน้าตอบรับ ชายหนุ่มคิดว่าไม่น่ามีอะไรผิดพลาดได้ เนื่องจากเขามีสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์     หนุนหลังอยู่ ท่านผู้อาวุโสสูงสุดและผู้บริหารท่านอื่นๆ ของสำนักคงไม่ปล่อยให้    เรื่องเล็กแค่นี้มาทำให้เขาวุ่นวายใจ

ด้วยเหตุนี้ หลี่อู๋เฉินจึงไม่ได้สนใจเมื่อชายวัยกลางคนหยิบแหวนสื่อสารออกมาติดต่อเจ้าของคนใหม่ เขาเหล่ตามองหวังเป่าเล่อที่กำลังวุ่นวายกับแหวนสื่อสาร     ของตน เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าอวดดีของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหัวล้านก็อดแค่นจมูกด้วยความรังเกียจไม่ได้

เจ้าคนบ้านนอกคอกนาเอ๋ย! วันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าสำรอกเอาโลหิตวิญญาณของข้าที่เจ้ากินเข้าไปออกมาให้หมด พร้อมคิดดอกเบี้ยด้วย!

ความคิดนั้นจมลึกเข้าไปในใจเขา…พอดีกับที่แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อ…ดังขึ้น…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!