Skip to content

A World Worth Protecting 301

บทที่ 301 ข้าไม่มีอะไรให้ต้องกลัว

ดวงตาของเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาใช้พลังกายที่มีทั้งหมดไปกับการปัดป้องการโจมตี แต่ก็ต้านแรงทำลายล้างของหวังเป่าเล่อไม่ไหว   คมกระบี่ที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้าส่งเสียงระเบิดกึกก้องสะท้อนสะเทือนในอากาศ

ผลลัพธ์จากแรงปะทะกระจายเป็นคลื่นไปทั่วทุกสารทิศ เหล่าสานุศิษย์ที่สังเกตการณ์อยู่นอกโรงแรมถอยร่นด้วยความตกใจ หลายคนกระอักเลือดสดๆ ออกมา ทุกคนรีบถอยหลังออกจากบริเวณต่อสู้โดยเร็ว แม้แต่บรรดาอาจารย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณยังตัวสั่นเทาขณะพ่นเลือดออกมาเต็มปาก และพากัน    ซวนเซล่าถอยไปเหมือนว่าวที่ถูกตัดสายขณะลอยลม

เจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณก็กระอักเลือดเช่นกัน ผมบนศีรษะของเขาสลายกลายเป็นผุยผง ร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง สันกระบี่ฟาดเข้าที่หน้าอกของเจ้าสำนัก  อย่างจังจนตัวงอเป็นกุ้งและปลิวข้ามฝั่งถนนไปนอนแผ่อยู่ในบริเวณสำนักศึกษา

หวังเป่าเล่อยังเมตตาพอที่จะหันสันกระบี่เข้าใส่เจ้าสำนักในนาทีสุดท้าย มิฉะนั้นเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเปลววิญญาณคงถูกกุดหัวไปเรียบร้อยภายในกระบี่เดียว!

หวังเป่าเล่อแสดงฤทธิ์เดชได้ไม่มากถึงเพียงนี้ในเขตจันทราเวท เหตุก็เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบรรลุปราณขั้นรากฐานตั้งมั่น และยังไม่ได้เรียนกระบวนเวทของ    ปราณขั้นนี้เลย แต่หลังจากที่กลับโลก หวังเป่าเล่อก็เริ่มฝึกกระบวนท่าเต๋าสายฟ้าขั้นต้น แม้เขาเพิ่งจะสำเร็จวิชาเพียงขั้นแรกและได้สัญลักษณ์อัสนีบนขาข้างขวามาไว้ในครอบครอง แต่การเรียนเวทนี้ทำให้ชายหนุ่มได้ฝึกฝนพลังปราณในร่างกายไปด้วยในตัว พลังปราณในร่างถูกกลั่นจนบริสุทธิ์ขึ้นจึงยิ่งทวีความล้ำเลิศ

การฝึกฝนนั้นทำให้ร่างกายของเขาได้รับพลังหล่อเลี้ยงและรักษาจุดสูงสุดของกำลังกายไว้ได้

ดอกบัวเขียวที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับร่างทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อแกร่งชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยเหตุนี้พลังการต่อสู้ของเขาจึงแซงหน้าขีดจำกัดในเขตจันทราเวทไปมาก!

หลังจากที่ส่งเจ้าสำนักปลิวไปเรียบร้อยด้วยการวาดกระบี่เพียงครั้งเดียวจนทำให้เหล่าอาจารย์ต่างอึ้งไม่เป็นท่า หวังเป่าเล่อก็หันกลับมามองคู่อริในฉับพลัน ลมหายใจของชายหนุ่มสะดุดเล็กน้อยขณะมองหลี่อู๋เฉิน

ใบหน้าของชายหนุ่มไร้ผมซีดเผือด ดวงตาฉายชัดว่าไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า เขารู้มาตลอดว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่ง แต่ไม่คิดว่าจะไร้เทียมทานถึงเพียงนี้ หลี่อู๋เฉินไม่เคยคาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะดุเดือดราวปีศาจกลายพันธุ์

“หวังเป่าเล่อ ข้าขอท้าให้เจ้าไม่ใช้อาวุธเวท! เจ้ากล้าพอหรือไม่” หลี่อู๋เฉินตะโกนขณะล่าถอยอย่างรวดเร็ว ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้

“หากเจ้ารังแกลูกศิษย์ข้าอีก ข้าจะนำกระบี่อาวุธเวทเล่มนี้ออกไล่ล่าเจ้า!”      หวังเป่าเล่อเขม็งมองและตอบโต้ในทันที เขาทะยานออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วแสง เข้าประชิดหลี่อู๋เฉินในเสี้ยววินาที ชายหนุ่มวาดกระบี่ขึ้นส่งแรงตัดไปข้างหน้า!

“ข้าไม่ได้…” หลี่อู๋เฉินตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำประกาศกร้าวของหวังเป่าเล่อ     ชายหนุ่มกำลังจะพูดอธิบายแต่รูม่านตากลับหดลงกะทันหัน เขารีบป้องกันตนเองจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่คมกระบี่เหนือศีรษะซึ่งกำลังลดระดับลงมาที่ตัวเขา จนไม่ทันได้เห็นทั้งประกายที่วาบเข้ามาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ        และขาขวาไวราวสายฟ้าที่กำลังวาดวงเตะ

แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของหลี่อู๋เฉินก็ทันท่วงที ชายหนุ่มตกใจก่อนลดแขนซ้ายลงไปปัดป้อง แรงปะทะส่งเสียงดังลั่น กระดูกซ้ายของเขาแตกทันที ความปวดแปลบ   ส่งให้เหงื่อเย็นไหลออกจากหน้าผาก แต่อย่างน้อยชายหนุ่มก็กันลูกเตะฉับพลันของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้

“ร่างกายของเจ้าก็แข็งแกร่งใช้ได้!” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ เขาไม่ได้ใช้แรงเต็มที่เนื่องจากยังตระหนักได้ว่าทั้งสองเป็นศิษย์สำนักเดียวกันและไม่ได้เป็น         ศัตรูคู่อาฆาตแต่อย่างใด นี่เป็นเพียงเรื่องวิวาทเล็กน้อยเท่านั้น และหวังเป่าเล่อต้องการเพียงสั่งสอนหลี่อู๋เฉินให้รู้เสียบ้างว่าใครเป็นใคร เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มไร้ผมป้องกันกระบวนเตะของตัวเองได้ทัน หวังเป่าเล่อก็พ่นลมเยาะเย้ย จากนั้นสัญลักษณ์สายฟ้าบนขาขวาของเขาก็ระเบิดขึ้น

สายฟ้าเลื้อยออกจากขาขวาของหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงคำรามก้อง และไหลอ้อมแขนของหลี่อู๋เฉินที่มีสีหน้าตกใจไปปะทะเข้ากับเป้าของเขาอย่างพอดิบพอดี!

เสียงกรีดร้องเจ็บปวดทรมานดังลั่นไปทั่วบริเวณขณะที่หลี่อู๋เฉินถูกดีดไปข้างหลังเหมือนตุ๊กตาอ่อนเปลี้ยเสียขา เมื่อเทียบกับหวังเป่าเล่อที่ผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมานับครั้งไม่ถ้วนและเติบโตแข็งแกร่งจนกร้านโลก หลี่อู๋เฉินเหมือนนกน้อยในกรงทองที่ยังด้อยทั้งพลังปราณ ความสามารถในการต่อสู้ และประสบการณ์ชีวิต

ชายหนุ่มอาจต่อกรกับหวังเป่าเล่อได้ตอนที่ทั้งคู่อยู่ในขั้นลมหายใจเที่ยงแท้      แต่ ณ บัดนี้ ทั้งสองไม่ได้สมน้ำสมเนื้อกันอีกต่อไปแล้ว

บรรดาศิษย์ที่เห็นภาพตรงหน้าต่างตกใจจนพูดไม่ออก ศิษย์จากสำนักศึกษา  เปลววิญญาณเริ่มตัวสั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อมองหวังเป่าเล่อ

โดยเฉพาะพวกที่พูดจาหยามหมิ่นเขาก่อนหน้านี้ที่ดูกลัวมากเป็นพิเศษ            ทุกคนรู้สึกได้ถึงความปวดแปลบที่พุ่งขึ้นมาจากเป้ากางเกงเมื่อเห็นหลี่อู๋เฉิน…        การโจมตีเจ้าสำนักด้วยกระบี่ก่อนหน้าไม่ได้ทำให้พวกเขารู้สึกเจ็บแทนขนาดนี้ เพียงแต่สร้างความรู้สึกหวาดกลัวและทำให้ตระหนักถึงพลังอันไร้เทียมทานของ     หวังเป่าเล่อเท่านั้น ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บด้วยแต่อย่างใด

ทว่า… การโจมตีไปที่เป้าตามด้วยกระบวนท่าสายฟ้าฟาดนั้นทำให้ศิษย์ทุกคนจากสำนักศึกษาเปลววิญญาณตื่นตระหนก ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“เตะผ่าหมาก! กระบวนท่านั้นคงทำลายทุกสิ่งตรงหว่างขาเสียป่นปี้!”

“เล่นสกปรกเป็นบ้า! แค่เตะอย่างเดียวยังไม่พอยังใช้สายฟ้าโจมตีอีก ไอ้ที่เตะไม่โดนคงได้ไหม้เกรียมกันคราวนี้!”

“รองเจ้าสำนักหวังจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาคงรังเกียจเป้าชายชาตรีเป็นแน่ เป็นโรคหายากหรืออย่างไรกันนะ”

ขณะที่ศิษย์สำนักศึกษาเปลววิญญาณซึ่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มกำลังล่าถอย          ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขารวมถึงจินตั้วจื่อกำลังอารมณ์พลุ่งพล่านปนเปกันมั่วไปหมด ทุกคนมองหวังเป่าเล่อด้วยใบหน้าเขียวช้ำและดวงตาปูดโปน แต่ใน  แววตานั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนไป

ก่อนหน้านี้ทุกคนมองว่าเขาเป็นเพียงผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของสำนักศึกษา แต่บัดนี้ดวงตาที่พวกเขามองหวังเป่าเล่อเอ่อท้นไปด้วยความรักและเคารพ

เหล่าศิษย์ท่วมท้นด้วยความตื่นเต้น พวกเขาตื้นตันใจที่หวังเป่าเล่อลุกขึ้นมาปกป้อง แม้หลี่อู๋เฉินจะไม่ใช่ฝ่ายทำร้ายพวกเขา หากแต่เป็นศิษย์จากสำนักศึกษา             เปลววิญญาณด้วยกันเอง แต่เด็กๆ รู้ดีว่าหวังเป่าเล่อไม่มีทางทราบเรื่องนี้ได้ ไม่ว่าสถานการณ์ที่แท้จริงจะเป็นเช่นไร หวังเป่าเล่อก็ยังยืนกรานปกป้องพวกเขา และยังจัดการอัดทั้งอาจารย์และเจ้าสำนักฝ่ายตรงข้ามเสียน่วม ด้วยเหตุนี้เหล่าเด็กๆ จึง    ตื้นตันและซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

โดยเฉพาะเมื่อบัดนี้พวกเขาเห็นแล้วว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด เขาส่งเจ้าสำนักปลิวไปไกลหลายโยชน์ในกระบี่เดียว เตะรองเจ้าสำนักเสียหมดท่า แถมยังอัดอาจารย์ที่เหลืออีกเจ็ดแปดคนร่วงกันหมด

ทั้งหมดนี้ทำให้หัวใจของเด็กน้อยเต้นรัว จนเริ่มรู้สึกเคารพหวังเป่าเล่อขึ้นมา

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสีหน้าของจินตั้วจื่อและเด็กคนอื่นๆ ชายหนุ่มก็กะพริบตาปริบ ก่อนจะยืดอกยกกระบี่ขึ้นชี้ไปที่หลี่อู๋เฉิน และพูดอย่างเยือกเย็น

“บังอาจมาทำร้ายศิษย์ข้าก็ต้องเจอเช่นนี้ละ!”

“จำเอาไว้ มีแต่ข้าทำนั้นที่รังแกศิษย์ของตัวเองได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างภาคภูมิ หลี่อู๋เฉินสบถในใจอยู่ไกลๆ ถึงจะโดนโจมตีอย่างไม่คาดฝันแต่เขาก็ปกป้องตนเองได้ดีพอสมควร หลังจากที่ถูกลูกเตะสายฟ้าของหวังเป่าเล่อเข้าไปและกระอักเลือดออกมาเรียบร้อย ร่างของชายหนุ่มก็อาบไปด้วยแสงสีม่วงเจิดจ้า ความเร็วในการฟื้นตัวของเขาเร็วเหนือมนุษย์ หลี่อู๋เฉินกลับมาลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด

คำพูดของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าอริของตนไม่ได้เปลี่ยนวิสัยความไร้ยางอายไปแม้แต่น้อย แถมตัวเขาเองไม่ได้แตะต้องศิษย์จากทางฝั่งนั้นเลย หลี่อู๋เฉินกำลังจะเปิดปากประท้วงด้วยความโกรธเกรี้ยว

แต่ทันทีที่เขาอ้าปาก หวังเป่าเล่อก็เยาะเย้ยขัดขึ้นมาก่อน

“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว คนอย่างข้า หวังเป่าเล่อ ถือหางศิษย์ของตัวเองเสมอ!”

“ข้าไม่ได้…” หลี่อู๋เฉินหมดคำพูดไปชั่วครู่ เขาไม่ได้คิดจะพูดถึงความลำเอียงของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าพูดไม่ทันเสียด้วยซ้ำ…

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีพี่สาว ต้องบอกก่อนว่าพี่สาวของเจ้าไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเราวันนี้เลย หลี่ซิ่วสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะทาบทามพี่สาวให้ข้า   ข้าจึงไม่สนใจน้องของเจ้าหรอก วันนี้ข้าจะประกาศให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน ตราบใดที่ศิษย์ของข้าไม่ว่าจะหญิงหรือชายยังเรียกข้าว่ารองเจ้าสำนัก เคารพบูชาข้า         และเชื่อฟังข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ใครข่มเหงรังแกศิษย์ของข้าทั้งนั้น!”

“ไม่ว่าจะเป็นเจ้า หลี่อู๋เฉิน หรืออาจารย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณ หรือ    เจ้าสำนักของเจ้า ต่อให้เป็นประธานสหพันธรัฐข้าก็ไม่เว้น!” หวังเป่าเล่อประกาศก้องอย่างทะนงตน พลางพอใจในตนเองอยู่เงียบๆ เขาเคยแพ้คนอื่นเรื่องคุยโม้ที่ไหนกัน

ทันทีที่หวังเป่าเล่อประกาศจบ ดวงใจศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาก็   เอ่อท้นด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ พวกเขาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นปั่นป่วนในอก ซาบซึ้งในคำพูดรองเจ้าสำนักของตนเป็นอย่างมาก สานุศิษย์เหล่านี้ยังเด็กอยู่มาก เมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อลุกขึ้นปกป้องพวกเขาและได้ยลความแข็งแกร่งของรองเจ้าสำนักหนุ่ม    ในการรบ ประกอบกับได้ฟังสุนทรพจน์ปลุกใจนั้นเข้าไป ทุกคนก็น้ำตาคลอเบ้า

“ท่านรองเจ้าสำนัก!”

“ต่อแต่นี้ไปพวกเราจะเชื่อฟังทุกคำพูดของท่านรองเจ้าสำนักขอรับ ไม่ว่าท่านจะต้องการอะไรพวกเราจะกระทำทั้งหมดไม่บิดพลิ้ว!”

“ท่านรองเจ้าสำนักของเราจงเจริญ!”

“ท่านอยากได้บุตรบุญธรรมหรือไม่ขอรับ จากนี้เป็นต้นไป ข้าจินตั้วจื่อ            ขอปวารณาตนเป็นบุตรบุญธรรมของท่าน!”

หลี่อู๋เฉินผู้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าสำนักศึกษาเปลววิญญาณและคณาจารย์คนอื่นๆ มองเหตุการณ์ที่บรรดาศิษย์เชิดชูเยินยอหวังเป่าเล่ออย่างไม่อยากเชื่อสายตา เมื่อหันกลับมามองศิษย์ของตน ก็พบว่าหลายคนต่างมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาแสดงความชื่นชมและเคารพเช่นกัน สานุศิษย์จากสำนักศึกษาเปลววิญญาณต่างมองจินตั้วจื่อและคนอื่นๆ จากสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาด้วยความริษยา ภาพนี้ส่งเสียงเตือนก้องในหัวของคณาจารย์ ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว!

หลี่อู๋เฉินเองก็ตระหนกเช่นกันจึงตะโกนออกไปอย่างรีบร้อน

“หวังเป่าเล่อ เราทั้งสองเป็นททั้งผู้ฝึกตนและรองเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษา     อันทรงเกียรติ ดังนั้นห้ำหั่นกันไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมากันเล่า เจ้ากล้าจัดการประลองระหว่างศิษย์ของเราในวันชาติประจำดาวอังคารอีกสามเดือนให้หลังหรือไม่ เรามาแข่งขันกันอย่างสันติเถิด! มาวัดกันไปเลยว่าศิษย์ของใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากัน!   คนที่แพ้ต้องปวารณาตนเป็นโคตรบุตรของอีกฝ่าย เมื่อใดที่เจอหน้ากันต้องโค้งคำนับแสดงความเคารพและเรียกผู้ชนะว่าโคตรบิดา!”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้น สิ่งที่หลี่อู๋เฉินพูดฟังดูเหมือนจะเตรียมการมาดีเกินไป    ชายหนุ่มหรี่ตา วาดกระบี่ไปด้านข้างก่อนพูดอย่างไม่ยี่หระ

“ได้สิ ข้าไม่มีอะไรให้ต้องกลัว” สายลมอ่อนพัดผมบนศีรษะของหวังเป่าเล่อให้ปลิวไสว แสงอาทิตย์อัสดงทอดลงบนร่างทำให้เขาดูผอมลงกว่าปกติ ส่งให้ชายหนุ่ม   ดูน่าประทับใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ในตอนนั้นเอง บรรดาศิษย์หญิงในฝูงชนจากทั้งฝั่งสำนักศึกษาเปลววิญญาณและสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขา ต่างมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาชื่นชมอย่างทวีคูณ     บางคนถึงกับหลุดปากออกมา

“รองเจ้าสำนักหวัง… บาดใจเป็นบ้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!