บทที่ 31 แน่วแน่!
ข้างในห้องโถง หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิหันเข้าหากำแพงหินสีฟ้า สีหน้าคร่ำเคร่งไม่สนใจสิ่งอื่นใด จดจ่ออยู่แต่กับศิลาวิญญาณที่กำลังเปล่งแสงอยู่ในมือ
หนก่อนที่สั่งสอนพวกฝ่ายวินัยสำนักไป พวกนั้นต้องนึกแค้นข้าแน่ ครั้งนี้… ต้องจัดการให้รู้ซึ้งถึงความสิ้นหวัง จะได้มีมีใครหน้าไหนกล้ามาแตะต้องตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ของข้า! หวังเป่าเล่อขบฟันกรอด พอได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาจัดการอัดปราณวิญญาณเพิ่มเข้าไปในศิลาเปล่า
เมื่อปราณวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น ตัวหินค่อยๆ ส่งเสียงปริแตกราวกับจะแตกได้ทุกเมื่อ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าค่าความบริสุทธิ์กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้การหลอมด้วยศิลาเปล่าจะแตกต่างจากการใช้วิชากลืนปราณมหาสูญอย่างที่หวังเป่าเล่อใช้เป็นประจำ แต่ก็ถือเป็นเคล็ดวิชาที่เขาฝึกปรือมาแต่เยาว์วัย ชายหนุ่มจึงค่อนข้างทำได้คุ้นมือ ต่อให้เขาจะไม่ได้หลอมศิลาวิญญาณขึ้นมาจากความว่างเปล่า แต่ก็ถือว่าเป็นขั้นตอนที่เพิ่มมาเพียงเล็กน้อย
แม้จะเรียกได้ว่าเกินกว่าเหตุไปบ้าง แต่ลึกๆ แล้วเขาตระหนักว่าจะต้องเก็บรักษาความลับเรื่องที่ตนไม่จำเป็นต้องใช้ศิลาเปล่าให้ดี เขาตั้งสมาธิมั่น ปราณวิญญาณ พวยพุ่งข้างในกาย กระแสหมุนวนที่มองไม่เห็นรอบตัวเขาขยายใหญ่ขึ้นจนแผ่ไปถึงด้านนอกห้องโถง เมื่อมองจากระยะไกลไม่ต่างกับมีหลุมดำปรากฏขึ้นตรงห้องโถง
ทั้งหมดที่ว่ามาเหมือนจะใช้เวลานาน แต่ในความเป็นจริงแล้วล่วงเลยไปแค่ ไม่กี่วินาที เสียงปริแตกจากศิลาวิญญาณในมือหวังเป่าเล่อดังกว่าเดิม ในไม่ช้าก็ แตกสลายกลายเป็นฝุ่นโดยพลัน!
เมื่อศิลาวิญญาณสลายไป แสงสีรุ้งดั่งอัญมณีพุ่งออกมาจากแก่นที่เหลืออยู่ สว่างระยิบระยับจับตา!
กระทั่งกำแพงห้องโถงก็บังแสงนี้ไม่ได้ พริบตาต่อมา แสงสีรุ้งส่องผ่านทั้งโถง
วินาทีที่ลำแสงนั้นส่องทะลุกำแพง แสงนั้นพุ่งตรง ปกคลุมทุกจุดนอกห้องโถงเป็นสีรุ้ง มองจากระยะไกลจะเห็นเป็นสายรุ้งทะยานเหนือยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท!
ทุกคนข้างนอกโถง รวมถึงทุกคนในสาขาอาวุธเวทต่างได้เห็นภาพที่พวกตน ไม่มีวันลืม!
“นั่น…นั่นมัน…ลำแสงรุ้ง!”
“ศิลาวิญญาณรุ้ง! สวรรค์โปรด ศิลาวิญญาณรุ้ง!”
“ตำนานว่ากันว่าถ้ามีความบริสุทธิ์ถึงร้อยละ 93…ศิลาวิญญาณรุ้งที่เหนือยิ่งกว่าศิลาวิญญาณขั้นสูงจะเกิดขึ้น!”
ศิษย์แทบทุกคนในสาขาอาวุธเวทในแต่ละเขตของยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท ต่างเห็นลำแสงรุ้งพุ่งออกมาจากโถงศิลาวิญญาณ พวกเขาต่างตัวสั่นเทิ้ม เร่งกรูกันไปที่โถงให้วุ่น
ข่าวเรื่องนี้ยังแพร่สะบัดไปทั่วทั้งเครือข่ายวิญญาณราวกับพายุโหมกระหน่ำ มือหนึ่งด้านการถ่ายทอดสดอย่างเจ้าเต๋าน้อยมาถึงด้านนอกห้องโถง แล้วต้องชะงักค้างกับภาพตรงหน้าจนลืมพูดขอไอเท็มกระสวยอวกาศเป็นของขวัญด้วยซ้ำ
ทุกคนด้านนอกห้องโถงต่างตาเบิกกว้างเมื่อลำแสงส่องออกมา สีหน้าแต่ละคนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เจียงหลินเข่าอ่อนพับเหมือนเห็นผี จิตใจปั่นป่วนไม่อาจสงวนท่าทีตนได้ต่อไป เขาร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้!”
ตอนนั้นเองแว่วเสียงฆ้องดัง กังวานไปทั่วทั้งยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท ปลุกทุกคนจากภวังค์!
เสียงฆ้องทั้งเก้าใบนั้นบ่งบอกว่าหัวหน้าศิษย์คนใหม่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นแล้ว!
เมื่อเสียงฆ้องดัง ผู้คนโดยรอบที่จอกแจกจอแจอยู่นั้น ก็ยิ่งโวยวายดังขึ้นกว่าเก่า
“ฆ้องหัวหน้าศิษย์!”
“หวังเป่าเล่อ…ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าศิษย์แล้ว!”
“นั่นบ้าไปแล้ว เป็นไปได้อย่างไรกัน”
ทั้งเครือข่ายวิญญาณและสาขาอาวุธเวทต่างอึ้งโดยทั่วกัน เหล่าอาจารย์ของ ยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวทไม่สามารถนั่งนิ่งได้ ทุกคนต่างพุ่งปราดออกไปด้วยสีหน้า ไม่อยากเชื่อ
“มีศิลาวิญญาณรุ้งปรากฏขึ้นมา มีหัวหน้าศิษย์คนใหม่!”
ในโถงหัวหน้าสาขาวิชาบนยอดเขา อาจารย์เคราแพะหัวหน้าสาขาอาวุธเวทถือ โถยานัตถุ์ใบโปรด ผู้กำลังหลับตาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อยู่นั้น พลันลืมตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง เขาผงะด้วยความประหลาดใจและไม่สามารถหาคำอธิบายให้ตัวเองได้ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็หาข้อมูลในแหวนสื่อสาร แล้วเป็นต้อง เบิกตาโต
“หวังเป่าเล่อน่ะรึ ศิลาวิญญาณรุ้ง! หัวหน้าศิษย์คนใหม่!” เขาตัวสั่นเทิ้มพอนึกถึงหวังเป่าเล่อ อดรู้สึกประหลาดขึ้นมามิได้ ขยะไร้ค่าที่หยิบติดมือกลับมามั่วซั่วนั้น มีทองซ่อนอยู่
เสียงฆ้องทำสาขาอาวุธเวทโกลาหลกันไปหมด คนจำนวนนับไม่ถ้วนร้องถึงปาฏิหาริย์ครั้งนี้ ศิษย์ฝ่ายวินัยฝ่ายวินัยสำนักด้านนอกโถงหายใจเฮือก สีหน้าเหยเก ไปตามๆ กัน ดูน่าขบขันไปกันใหญ่ใต้ลำแสงสีรุ้ง สถานการณ์พลิกผันรวดเร็วนัก จิตใจพวกเขาปั่นป่วนปานคลื่นทะเลกลางพายุ ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้เลย
ทางด้านเจียงหลิน รายนี้หน้าซีดเผือด ตัวสั่นยืนแทบไม่อยู่ การเป็นหัวหน้าศิษย์คือเหตุผลเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตสุขสบายในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แต่ทั้งหมดนั้น ทั้งอำนาจที่เขาได้รับจากตำแหน่งนั้นพังย่อยยับลงไปกับเสียงฆ้อง วินาทีที่เหมือนจะเป็นลม ความเดือดดาลพลุกพล่าน ระเบิดอย่างบ้าคลั่งในใจเขา
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” เจียงหลินคำราม ดึงเอาตราออกมา ตราสีแดงทับทิมสลักคำว่า ‘หัวหน้าศิษย์’ ชัดเจน นี่คือ ตราของหัวหน้าศิษย์ที่ได้จากกำแพงฟ้าทันทีที่ได้เลื่อนขั้น!
ทว่า ตราหัวหน้าศิษย์ในมือเจียงหลินพลันเกิดเสียงแตกเหมือนว่าจะแหลกเป็นผุยผง!
“หวังเป่าเล่อ!” เจียงหลินมองตราหัวหน้าศิษย์ในมือ ดวงตาเป็นสีแดงก่ำ รอยแตกบนตราเปรียบดั่งรอยข้างในหัวใจเขา วินาทีนั้น ข้างในตัวเขาปั่นป่วน แต่ยังไม่ทันเปิดประตูสู่โถงศิลาวิญญาณ บานประตูก็เปิดออกเองก่อนเขาจะทันแตะ!
เมื่อบานประตูเปิดออก ทุกคนมองไปยังทางนั้น พวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากโถงศิลาวิญญาณ
เขายังคงสวมเสื้อคลุมสภาพรุ่งริ่ง หากชั่วขณะนั้น สายตาที่ทุกคนมองเขา แปลกออกไป เขาคือ…หัวหน้าศิษย์คนใหม่!
ทันทีที่เขาเดินออกมา ตราหัวหน้าศิษย์ในมือเจียงหลินสลายกลายเป็นฝุ่นราวกับว่าไม่อาจทนต่อบรรยากาศที่แผ่ออกมาจากหวังเป่าเล่อได้ไหว
ตราที่แตกสลายคือตัวแทนบ่งบอกว่าเจียงหลินกลายเป็นอดีตเสียแล้ว นับจากตรงนี้ไป หวังเป่าเล่อคือ ผู้คุมฝ่ายวินัยสำนัก เขาคือผู้มีตำแหน่งเท่าเทียมกับ หัวหน้าศิษย์อีกสองคนของสาขาอาวุธเวท และเป็นคนสำคัญที่ไม่มีใครมองข้ามได้!
ตราหัวหน้าศิษย์กลายเป็นผงไปแล้ว ทั้งร่างเจียงหลินสั่นสะท้าน ดวงตาขึ้น รอยเส้นเลือดฝอย เขาจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววดุร้ายแบบสัตว์ป่า มองปานจะฉีก หวังเป่าเล่อเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทั้งที่เห็นความประหลาดใจของฝูงชน บรรดาศิษย์ฝ่ายวินัยในเสื้อคลุมดำที่ยอมรับความจริงตรงหน้าไม่ได้จนชักอาวุธออกมา รวมถึงความชิงชังเต็มขั้นใน ดวงตาเจียงหลิน หวังเป่าเล่อยังหลุดขำออกมาแผ่วเบา ดวงตาเขาฉายแววเย็นชา
เขาทราบดีว่าถ้าหากไม่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์ ตนจะต้องถูกจับแน่แท้ พฤติกรรมพวกศิษย์ฝ่ายวินัยที่เย่อหยิ่งวิ่งกรูกันมาถึงนี่ล้วนฟ้องชัดว่ามีประสงค์ร้าย
สำหรับคนที่คิดร้ายต่อเขา หวังเป่าเล่อไม่มีความเมตตาให้ มือขวาเขาล้วงหยิบบางสิ่งในเสื้อคลุม แล้วดึงออกมาทันที…ตราสีแดงทับทิมชิ้นใหม่นั่นเอง เขาชูตราขึ้นสูง!
สิ่งนี้แสดงถึงอำนาจเหนือฝ่ายวินัยสำนัก…ตราหัวหน้าศิษย์!
ทุกคนข้างนอกโถงศิลาวิญญาณรู้สึกทั้งร่างกายและวิญญาณสั่นสะท้านเมื่อได้เห็นตรานั้น
“ในฐานะหัวหน้าศิษย์ของห้องโถงศิลาวิญญาณ ข้าขอยุติหน้าที่ของพวกเจ้าในฐานะศิษย์ฝ่ายวินัย และนับจากนี้ไป พวกเจ้าทุกคนไม่ถือว่าเป็นศิษย์ฝ่ายวินัยของ ห้องโถงศิลาวิญญาณแห่งฝ่ายวินัยสำนักอีกต่อไป!”
หวังเป่าเล่อมองยังพวกศิษย์ฝ่ายวินัย น้ำเสียงเย็นชาของเขาดังถึงทั่วทุกมุมดั่ง ลมเย็นพัด ทำให้พวกศิษย์ฝ่ายวินัยที่ถืออาวุธหน้าซีดไปถนัด ตัวพวกเขาสั่น มือคลาย ปล่อยอาวุธร่วงสู่พื้น
เพียงหนึ่งประโยคก็กำหนดอนาคตพวกเขาได้เลย!
แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ หลังจากยึดตำแหน่งคนพวกนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายวาบ เขาเอ่ยต่อ
“เหตุวินัยทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างที่พวกเจ้าปฏิบัติงานจะถูกนำมาไต่สวนอีกครั้ง จะไม่มีการยอมให้กับความอยุติธรรมเด็ดขาด!”
หนนี้ไม่ใช่เพียงหนึ่งประโยคกำหนดอนาคต แต่เป็นชะตาชีวิตเลยทีเดียว!
ทันทีที่ประโยคนั้นถูกลั่นออกมา บรรดาอดีตศิษย์ฝ่ายวินัยล้วนใจไม่เป็นสุข ลมหายใจเร่งขึ้น ใครคนหนึ่งตวาดเกรี้ยวกราดด้วยความสิ้นหวัง
“หวังเป่าเล่อ นี่เจ้าคิดจะทำลายพวกข้า!”
หวังเป่าเล่อไม่แยแสต่ออดีตศิษย์ฝ่ายวินัยที่เคยด่าเสียเทเสียตนมาก่อน แต่ตอนนี้กลับมาแสร้งวางมาด เขามองไปยังเจียงหลินอย่างเยือกเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เจียงหลิน ในฐานะหัวหน้าของฝ่ายวินัยสำนัก เจ้าปลุกปั่นผู้คนให้เกิดความวุ่นวาย ข้าขอยุติบทบาทหน้าที่ทั้งหมดของเจ้าในฝ่ายวินัยสำนัก เจ้าจะต้องถูกควบคุมตัวไว้ที่ฝ่ายวินัยสำนักเพื่อรอการพิจารณาคดีต่อไป!”
เสียงของหวังเป่าเล่อไม่ได้ดังแต่อย่างใด แต่กลับสะท้อนก้องดั่งฟ้าร้องในหู เจียงหลินและบรรดาอดีตศิษย์ฝ่ายวินัย ดูเหมือนว่าทุกถ้อยคำที่กล่าวออกมามีผลบังคับใช้ถูกตัวอักษร พริบตานั้น ทุกอย่างพลิกกลับตาลปัตร เหล่าผู้ที่เคยยืนตระหง่านสูงส่งเกินเอื้อมร่วงลงมาสู่สามัญ!
“หวังเป่าเล่อ ไอ้คนโอหัง!”
“ทุกคน โจมตี! หวังเป่าเล่อใช้อำนาจในทางมิชอบ เราจะไปยอมรับไม่ได้!”
เจียงหลินควบคุมตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปในวันนี้วันเดียว หนักหนากว่านั้น คือ เขาสูญเสียทุกอย่างไปในชั่วพริบตา ลึกลงไป เขายอมรับไม่ได้ที่ตนเคยเป็นหัวหน้าศิษย์อยู่ถึงเมื่อครู่ แล้วตอนนี้ เขากำลังจะโดนจับกุม ชายหนุ่มคำราม ตาแดงก่ำ ตัวพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ แววตาฉายแววสังหาร!
สำหรับพวกศิษย์ฝ่ายวินัยนั้น เดิมพวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงเหล่านั้น พวกเขาอาจจะลังเล แต่ในตอนนี้ พวกเขากำลังจะโดนสอบสวน และทุกคนตรงนี้ล้วนมีความลับซ่อนไว้ ดังนั้น เมื่อรวมกับโทสะ ทุกคนจึงกล้าพอจะทำทุกอย่าง แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่หลับหูหลับตาทำตามกันหมด ก็ยังมีถึง สิบกว่าคนที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อแสยะยิ้ม เหตุผลที่เขาเลือกสั่งการโต้งๆ เช่นนั้นก็เพื่อให้พวกนั้นโจมตีเขา ไม่อย่างนั้นแล้วตนจะไม่มีเหตุผลให้จัดการอีกฝ่าย คนพวกนี้ล้วนมีมุ่งร้ายกับเขาทั้งนั้น นิสัยอันเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ของเขาได้เผยตัวออกมา ณ ตรงนี้
“เพิ่มความผิดอีกกระทงฐานขัดขืนการจับกุม!” หวังเป่าเล่อกล่าว ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว