Skip to content

A World Worth Protecting 34

บทที่ 34 ถุงเงินจากสาขาอาวุธเวท

หวังเป่าเล่อยินดียิ่งที่ได้หลิวต้าวปินมาช่วยดูแลฝ่ายวินัยสำนัก ทำให้เขาสามารถทุ่มเทเวลาและความพยายามทั้งหมดไปกับตำราวิชาค้ำจุนปราณเล่มที่สองได้มากยิ่งขึ้น ตำราเล่มที่สองนี้มีให้เฉพาะสำหรับผู้ที่หลอมศิลาวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้         ร้อยละแปดสิบหรือสูงกว่านั้น ข้างในยังมีข้อมูลอธิบายถึงหัวข้อหลักสองหัวข้อในสาขาอาวุธเวทอีกด้วย

การศึกษาอักขราจารึกและแก่นวิญญาณ

ในตอนนั้น หวังเป่าเล่อกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ถ้ำที่พัก กินขนบขบเคี้ยวพลางศึกษาตำราวิชาค้ำจุนปราณเล่มที่สอง เขารู้เกี่ยวกับสาขาอาวุธเวทมากแล้ว ผิดจากสมัยเพิ่งมาถึงสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ใหม่ๆ ครึ่งปีของการเรียนรู้ทำความเข้าใจต่างๆ ตอนนี้เขาเข้าใจสาขาวิชาเป็นอย่างดี

เขารู้ว่าสาขาอาวุธเวทศึกษาเกี่ยวกับการหลอมวัตถุเวท กระบวนการหลอมมี    ห้าลำดับขั้น สามขั้นแรกศึกษาได้ที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง สองขั้นสุดท้ายจะเรียนได้ก็ต่อเมื่อได้เข้าศึกษาต่อในเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงเท่านั้น

“ศิลาวิญญาณ อักขราจารึก แก่นวิญญาณ การหลอมวัตถุดิบ และการตีเหล็ก!” หวังเป่าเล่อคิด ปากเคี้ยวขนม

ตำราเล่มสองแนะนำให้รู้จักระดับต่างๆ ของวัตถุเวท ระดับแรกกับระดับสองเรียกว่า วัตถุเวท ระดับสามถึงหกเรียกว่า สมบัติเวท และระดับเจ็ดเรียกว่า อาวุธเวท

ตำรายังแนะนำให้รู้จักกับเครื่องหมายยุทธภัณฑ์ เมื่อวัตถุเวทพัฒนากลายเป็นสมบัติเวทระดับสามจะปรากฏเครื่องหมายยุทธภัณฑ์ขึ้นสามรอย แสดงถึงระดับของวัตถุเวทที่ดังกล่าว

วิธีการหลอมวัตถุเวทในสหพันธรัฐปัจจุบันมาจากวิธีการที่บันทึกไว้บน           เศษชิ้นส่วนของกระบี่ยักษ์ ทุกอย่างมีรากฐานมาจากศิลาวิญญาณ ในการหลอม    วัตถุเวท ขั้นตอนแรกคือการหลอมศิลาวิญญาณ ตามด้วยการสลักอักขราจารึกลงไปบนศิลาวิญญาณก้อนนั้น

อักขราจารึกที่ต่างกันจะบ่งบอกถึงความแตกต่างด้านการใช้งานและทิศทางที่วัตถุเวทชิ้นหนึ่งจะพัฒนาไปได้ ศิลาวิญญาณคือรากฐาน อักขราจารึกคือโครงสร้าง เป็นที่รู้จักกันว่าสองสิ่งนี้คือใจความสำคัญของการหลอมวัตถุเวท!

อักขราจารึกทุกตัวให้ผลต่างกันออกไป เมื่อตัวอักขระจับคู่กัน จะทำให้เกิดความเป็นไปได้มากมายยิ่งขึ้น สำหรับการหลอมวัตถุเวท ผู้หลอมจะต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่ง และถ้ายิ่งเชี่ยวชาญด้านอักขราจารึก ก็จะยิ่งหลอมวัตถุเวทได้ง่ายมากขึ้น

ดังนั้น ตำราเล่มที่สองของวิชาค้ำจุนปราณนี้จึงมีบันทึกค่อนข้างยาวอยู่ข้างใน   ซึ่งเก็บอักขราจารึกทุกรูปแบบเอาไว้ หวังเป่าเล่อคำนวณดูคร่าวๆ เพียงแค่           อักขราจารึกที่บันทึกไว้ในนี้ก็ไม่น้อยไปกว่าแสนตัว

ยังไม่รวมในพจนานุกรมอักขราจารึกที่โถงอักขราจารึกแจกจ่ายแก่ศิษย์ประจำโถงอีก จำนวนตัวอักขระในตำรานั้นมีเป็นล้านตัว ถ้าหากตัวอักขระเปลี่ยนตามการจับคู่ตัวอักขระด้วยกัน ก็ต้องจำมากขึ้นไปอีก จะเรียกว่าข้อมูลท่วมเป็นมหาสมุทรก็ไม่เกิน   ไปนัก

ห้องโถงอักขราจารึก หนึ่งในสามห้องโถงประจำสาขาอาวุธเวททดสอบลูกศิษย์ด้วยการท่องจำอักขระ ไม่มีลูกไม้ช่วยด้านการจำ ความสำเร็จเป็นเช่นไรล้วนขึ้นกับ  ตัวบุคคล การต้องท่องจำและเข้าใจตัวอักขระเป็นล้านนั้นยากเกินไป

แม้แต่หัวหน้าศิษย์คนปัจจุบันของโถงอักขราจารึกเองยังจำได้เพียงสี่แสนตัว นอกจากจะต้องการความสามารถพิเศษแล้ว ยังต้องอาศัยความอุตสาหะและเวลา   อีกด้วย

เมื่อเชี่ยวชาญอักขราจารึก ก็จะสามารถสลับจับคู่ตัวอักขราจารึกนับล้านที่มีจนเกิดเป็นผลใหม่ขึ้นมาได้ แต่การจะทำเช่นนั้นจะต้องมีฐานความรู้ระดับลึก                มีแค่ปรมาจารย์นักหลอมวัตถุเวทเท่านั้นที่ทำได้

เนื่องจากการท่องจำตัวอักขระนั้นยากเกินไป โถงอักขราจารึกของสาขาอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงวัดที่จำนวนตัวอักขระ ดังนั้นขอเพียงจำได้มากกว่าหนึ่งแสนตัว ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ แล้วได้เข้าศึกษาด้านแก่นวิญญาณต่อไป

อย่างไรเสีย ตัวอักขราจารึกก็มีมากเกินไป จะให้จำทุกตัวนั้นเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนธรรมดา จึงได้มีพจนานุกรมอักขราจารึกเป็นตัวช่วย แต่พจนานุกรมอักขราจารึกนั้นแตกต่างจากพจนานุกรมทั่วไป การหลอมวัตถุเวทโดยปกติแล้วอาศัยเวลามาก     มีตัวแปรต่างๆ นานา นอกจากการเปิดดูตัวอักขราในพจนานุกรมจะกินเวลา ยังต้องเข้าใจและเชี่ยวชาญพื้นฐานทั้งหมด ตัวพจนานุกรมอักขราจารึกอาจมีประโยชน์ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

หลังได้ศึกษาเนื้อหาส่วนที่เหลือในตำราเล่มสองของวิชาค้ำจุนปราณผ่านๆ     หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ลึกๆ แล้วเขารู้ดีว่าถึงตอนนี้ตนจะเป็นหัวหน้าศิษย์ของโถงศิลาวิญญาณ แต่ยังเป็นแค่ก้าวแรกสู่อาวุธเวท

ข้ายังต้องพยายามอีกมาก หวังเป่าเล่อหยิบพจนานุกรมอักขราจารึกขึ้นมาไล่เปิดดู เพียงได้เห็นบันทึกหนาเตอะกับตัวอักขระยึกยือรวมอยู่ด้วยกัน เขาก็ปวดหัวหนึบขึ้นมาทันใด

ครู่ต่อมา เขากัดฟันทนแล้วเริ่มท่องจำ

แต่การท่องจำก็มีขีดจำกัด เจอเข้ากับอักขระล้านตัว หวังเป่าเล่อมั่นใจว่า         ตนมีความจำดียังรู้สึกสิ้นหวัง ในพจนานุกรมกล่าวถึงยาที่ช่วยด้านความจำ ทว่า     หวังเป่าเล่ออ่านเจอในเครือข่ายวิญญาณว่าราคายาพวกนั้นสูงลิ่ว หายากยิ่งกว่า     โอสถปัดเป่า เขาจึงจำทนท่องไปทีละตัวต่อ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกหนึ่งสัปดาห์ได้หมดลง

ในระหว่างอาทิตย์นั้น ก็มีลูกศิษย์คนอื่นมาเยี่ยมเขาแทบทุกวัน เอาของขวัญสารพัดมาให้ แต่หวังเป่าเล่อปฏิเสธ เขาวางตัวเด็ดขาดกับเรื่องนี้มาตั้งแต่ได้อ่านชีวประวัติพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูง การรับของกำนัลแบบโจ๋งครึ่มนั้นถูกไม่ต้อง

นอกจากศิษย์สาขาอาวุธเวทมาแวะเวียนหาและให้ของ หัวหน้าศิษย์จากสาขาอื่นเองก็ได้ส่งของแสดงความยินดีมาด้วย แม้ของกำนัลจะไม่ได้พิเศษอะไร แต่ทุกคนก็ทิ้งข้อความให้เขาไว้แหวนสื่อสาร แสดงเจตนาชัดเจนว่าคิดจะทำความรู้จักกับ          หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อระวังตัวกับหัวหน้าศิษย์สาขาอื่นเป็นพิเศษ เขายอมรับของขวัญเพราะรู้ว่าการเข้าวงสังคมสำคัญเพียงไร และได้ส่งของกำนัลตอบแทนกลับไป       พวกเขาอาจยังไม่เคยพบหน้ากัน แต่ก็ถือว่าได้วางตัวทำความรู้จักกันผ่านทางนี้แล้ว

หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อผู้เริ่มเมาตัวอักขราจารึกได้รับของขวัญจากเจิ้งเหลียง หัวหน้าศิษย์โถงพฤกษศาสตร์ ประจำสาขาหลอมโอสถ ของชิ้นนี้ล้ำค่าเกินหน้าหัวหน้าศิษย์คนอื่นนัก เพราะที่เขาได้มาคือ ยาผลึกความจำ!

ยาตัวนี้บันทึกไว้ในพจนานุกรมอักขราจารึก ว่าเป็นยาช่วยจำ หาซื้อได้ยากในตลาดและราคาไม่ถูกเลย หวังเป่าเล่อถึงขั้นตะลึงงัน

เขาถือขวดยาขึ้นมา มองยังผลึกเม็ดยาข้างใน ขณะที่รู้สึกประทับใจ เขาก็เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วใช้แหวนสื่อสารต่อหาหัวหน้าศิษย์โถงพฤกษศาสตร์นามเจิ้งเหลียง ตามตราสัญลักษณ์ที่แนบมากับของขวัญ

การสนทนากับเจิ้งเหลียงเป็นไปอย่างราบรื่น หวังเป่าเล่อขอบคุณสำหรับยา  อย่างนอบน้อมเป็นอันดับแรก พอพูดคุยไปได้สักพัก เจิ้งเหลียงเชิญหวังเป่าเล่อไปที่สาขาหลอมโอสถ เขาคงเดาออกว่าหวังเป่าเล่อตกใจเรื่องยา เจิ้งเหลียวพูดด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มส่งมาทางแหวนสื่อสาร

“น้องเป่าเล่อ ข้าบอกตามตรงนะ ข้าได้หลอมยาเอาไว้ แล้วจำเป็นต้องใช้       ศิลาวิญญาณที่มีค่าบริสุทธิ์สูงกว่าร้อยละเก้าสิบเป็นฐานสำหรับไฟหม้อหลอม แล้วเจ้าก็รู้ดีว่าศิลาวิญญาณแบบนั้นไม่ได้หากันง่ายๆ ดังนั้นข้าคิดว่าคงต้องรบกวนเจ้าหน่อย”

ได้ยินเจิ้งเหลียงกล่าวเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าใจเหตุผล เขาหัวเราะออกมาเสียงดังแต่ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ตกลงรับคำเชิญของเจิ้งเหลียงไป

เจิ้งเหลียงยินดีปรีดาตกลงนัดกับหวังเป่าเล่อก่อนจบบทสนทนา

ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หัวหน้าศิษย์ที่ไม่ได้อยู่ในสาขาเดียวกันจะค่อนข้างมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พวกเขาพร้อมจะผูกพันเป็นเพื่อนกันมากกว่าแค่ผิวเผิน เพราะจะอย่างไรทุกคนก็อยู่ในจุดเดียวกัน ถ้ามิตรภาพพวกเขาเหนียวแน่นพอถึง     จุดหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างจะเป็นประโยชน์ให้กันและกันได้

หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อออกจากถ้ำที่พักตามเวลานัด เขามุ่งหน้าไปยัง   สาขาหลอมโอสถ

หวังเป่าเล่อใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท แม้จะมาที่       สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้ครึ่งปีแล้ว แต่ชายหนุ่มแทบไม่เคยได้ไปที่สาขาวิชาอื่นเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาไปสาขาหลอมโอสถ

เมื่อเดินมาถึงยอดเขาของสาขาหลอมโอสถ เขามองไปยังสวนพฤกษศาสตร์ ตำหนัก และอาคารโอ่อ่าหรูหรารอบตัว พลันรู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่าง      สาขาอาวุธเวทกับสาขาหลอมโอสถ

ปราณวิญญาณแถวนี้มากกว่าที่สาขาอาวุธเวทเสียอีก แล้วก็ยังนุ่มนวลกว่ามากด้วย ตั้งแต่ฝึกวิชากลืนปราณมหาสูญ หวังเป่าเล่อก็ไวต่อปราณวิญญาณนัก

เขาชื่นชมพลางเดินไปข้างหน้าต่อ กลิ่นหอมสมุนไพรลอยละล่องในอากาศ       ยิ่งเขาเดินเข้าไปลึกเท่าไร กลิ่นยิ่งอวลหนา หวังเป่าเล่อพบว่าทั้งภูยอดเขาสาขา      วิชาหลอมโอสถมีกลิ่นสมุนไพรอยู่ทุกแห่ง

กลิ่นสมุนไพรที่แตะจมูกไม่ได้ช่วยอะไรด้านการฝึกตน แต่ช่วยให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า สร้างความประหลาดใจให้กับหวังเป่าเล่อ มีสวนสมุนไพรอยู่นอกตึกทุกหลัง และเขาเห็นศิษย์จำนวนมากกำลังวุ่นกับงานดูแลต้นไม้

นอกจากนั้น เขายังเห็นลูกศิษย์ทั้งหลายจัดตั้งแผงเรียงรายยาวตามทาง อวดยาที่พวกตัวเองปรุง บ้างก็ขายหม้อหลอมโอสถ คนไม่น้อยเข้าไปแวะดูตอนเดินผ่าน       บางรายก็รีบซื้อของที่ตนอยากได้กัน

ภาพเช่นนี้ไม่เคยมีให้เห็นที่สาขาอาวุธเวท หวังเป่าเล่อเดินผ่านดูไปก็รู้สึกว่าสาขาหลอมโอสถดูสบายและสง่างามกว่า ยิ่งดูจำนวนสาวงามประจำสาขานี้ ยิ่งถือเป็น   บุญตา

ที่นี่เยี่ยมไปเลย ข้าน่าจะเลือกหลอมโอสถ หวังเป่าเล่อชื่นชมสาขาหลอมโอสถไปเรื่อย เหล่าลูกศิษย์ในสาขาที่ตั้งแผงกันอยู่ก็สังเกตเห็น แล้วจำหวังเป่าเล่อได้ทันที พวกเขาเริ่มกระซิบกระซาบคุยกัน

ชื่อเสียงหวังเป่าเล่อแผ่ไปไกล ตั้งแต่เข้ามาเรียนสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์           มีเหตุการณ์มากมายที่เขาข้องเกี่ยวด้วยทำให้เขาโดดเด่น ยิ่งมีตำแหน่งเป็น        หัวหน้าศิษย์ด้วยแล้ว เขายิ่งเป็นที่รู้จักทั่วทั้งสำนัก ชื่อเสียงของเขายิ่งใหญ่จนศิษย์ในสาขาอื่นล้วนได้ยินชื่อเขากันมายาวนาน

“นั่นหวังเป่าเล่อนี่!”

“คนที่สาขาอาวุธเวทก็รวยกันอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหัวหน้าศิษย์ด้วย ข้าได้ยินว่าหวังเป่าเล่อหลอมศิลาวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้ตั้งร้อยละเก้าสิบ…เขามันถุงเงินเดินได้ชัดๆ!”

จะอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่สาขาอาวุธเวท ศิษย์ที่นี่จึงพูดถึงหวังเป่าเล่อกันได้แบบ      ไม่เกรงกลัวสิ่งใด มีแว่วน้ำเสียงพวกองุ่นเปรี้ยวปนอยู่บ้าง เพราะชื่อเสียงด้านความสามารถผลิตเงินตราได้เองของสาขาอาวุธเวทนั้นทำศิษย์สาขาอื่นอิจฉาริษยา

เมื่อบรรลุขั้นผนึกกายาโดยสมบูรณ์แล้ว โสตประสาทของหวังเป่าเล่อก็ไวขึ้น     เขาได้ยินเสียงพูดคุยทั้งหลาย คิ้วเด็กหนุ่มเลิกขึ้น มุมปากยกยิ้ม เขาเดินตรงดิ่งไปหาบรรดาศิษย์ที่เปิดแผงขายของ วินาทีที่เขาเข้าไปหา พวกศิษย์ทั้งหลายก็มองเขา

หวังเป่าเล่อเมินเฉยต่อสายตาฝูงชน แล้วก้มลงดูโอสถที่วางขายอยู่ เขายกมือขวาขึ้นชี้ยาบางตัว

“โอสถตัวนั้นกับตัวนี้ หยิบออกมาที” เขาชี้ยังแผงซึ่งมีเด็กสาวมัดหางม้าเป็นคนขาย นางคือ หนึ่งในคนที่พูดถึงเขาด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม ครั้นเห็นหวังเป่าเล่อ  ตรงเข้ามาหา ก็ผงะไปก่อนจะนึกดีใจ แต่พอได้ยินว่าหวังเป่าเล่อจะซื้อเพียง         โอสถธรรมดาแค่สองชนิด นางก็ไม่สบอารมณ์ทันที

เธอนึกน้อยใจ คิดกับตัวเองว่าคนของสาขาอาวุธเวทก็ไม่ได้มือเติบอะไรอย่าง   คนเขาว่ากัน จำนวนเงินที่เขาจะใช้น้อยกว่าของศิษย์สาขาอื่นเสียอีก เธอเลย       เอื่อยเฉื่อยหยิบยาที่หวังเป่าเล่อชี้ พอจะยื่นให้ เขาพูดขึ้น “ข้าไม่ได้ต้องการโอสถ   สองตัวนี้ ข้าต้องการที่เหลือทั้งหมด”

พริบตาที่เขาพูดออกไปเช่นนั้น เด็กสาวหางม้าทำตาโต เธอผงะไปเล็กน้อย เช่นเดียวกับศิษย์ที่เปิดแผงคนอื่น และคนที่กำลังเลือกซื้อโอสถอยู่ต่างสั่นสะท้าน     ทุกสายตามองไปที่หวังเป่าเล่อ

“อะไร เจ้าจะขายหรือไม่” หวังเป่าเล่อกระแอม รู้สึกพึงพอใจอยู่กับตัวเอง แต่ทำเป็นไม่ได้ใส่ใจอะไร ประหนึ่งกำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่ในตลาดมากกว่าจะเป็นโอสถ

“ขายแน่นอนเจ้าค่ะ!” เด็กสาวหางม้ากระตือรือร้นขึ้นมาทันที นางรีบห่อยาแบบไม่คิด แล้วส่งให้หวังเป่าเล่อ แต่พอนิ่งคิดครู่หนึ่ง นางก็ตัดสินใจแบกสินค้าไปยืนถืออยู่ข้างหลังหวังเป่าเล่อ

“หัวหน้าศิษย์ ไม่ต้องถือเองหรอกเจ้าค่ะ ข้าจะถือไปให้ ต่อไปนี้ ถ้าท่านอยากได้อะไร บอกข้าได้เสมอนะเจ้าคะ ท่านน่าจะ…ให้หนทางติดต่อท่านไว้กับข้านะเจ้าคะ        หากท่านประสงค์สิ่งใด ข้าจะเอาส่งให้ด้วยตัวเองถึงถ้ำที่อยู่ของท่านเลยเจ้าค่ะ”      เด็กสาวหางม้าหน้าตาธรรมดา แต่รูปร่างมีทรวดมีทรง แววตาของนางฉายแววประหลาดด้วยความตื่นเต้น

“ดีทีเดียว ช่วยถือให้ข้าทีแล้วกัน” หวังเป่าเล่อนึกพอใจ เขาเดินต่อไปยังแผงข้างกัน มือไว้ที่ด้านหลัง ศิษย์แทบทุกคนที่เปิดแผงขายของ จะหญิงหรือชาย ต่างระริกระรี้ตื่นเต้นกันทั้งนั้น พวกเขาปราดเข้ามาหา พยายามอวดสรรพคุณยาตัวเอง

“หัวหน้าศิษย์ ท่านช่างหล่อเหลายิ่งนัก ดูโอสถของข้าสิ ข้าหลอมเองกับมือเชียวนะเจ้าคะ”

“ท่านหัวหน้าศิษย์รูปหล่อ ข้าพอมีโอสถอยู่บ้าง มาดูหน่อยสิเจ้าคะ”

หวังเป่าเล่อรู้สึกสะใจอย่างอดไม่ได้ พอได้เห็นคนเหล่านี้เข้ามาประจบประแจงกันโดยไม่สนว่าก่อนหน้านี้เพิ่งคิดริษยาเขาอยู่หมาดๆ ชายหนุ่มคิดว่าในฐานะ        หัวหน้าศิษย์ของสาขาอาวุธเวท เขาต้องทำให้คนของสาขาหลอมโอสถได้เข้าใจว่า  ศิษย์สาขาอาวุธเวทใช้เงินกันอย่างไร จึงโบกมือไล่โดยไม่เสียเวลาคิด

“ข้าเหมาหมดเลยแล้วกัน!”

พอเขาลั่นวาจาออกไป ศิษย์สาขาหลอมโอสถก็ส่งเสียงฮือฮากันทั่ว ส่วนใหญ่   เป็นผู้หญิง ใบหน้าจิ้มลิ้มของพวกเธอแดงระเรื่อจากความตื่นเต้น กระทั่งคนที่     หน้าตาธรรมดาก็ยังหน้าตาเปลี่ยนไปพอหน้าขึ้นสีแดงจัด เมื่อหัวหน้าศิษย์ของ       โถงพฤกษศาสตร์มาถึง เขาจึงได้เห็นบรรดาหญิงสาวมากมายหอบถุงหลากทรง   หลายขนาด ยืนห้อมล้อมหวังเป่าเล่ออยู่ ทุกคนจับจ้องเขาด้วยดวงตาเป็น        ประกายประหลาด ต่างเป็นฝ่ายเริ่มขอช่องทางการติดต่อของเขาก่อนทั้งสิ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!