Skip to content

A World Worth Protecting 35

บทที่ 35 เจิ้งเหลียง หัวหน้าศิษย์โถงพฤกษศาสตร์

หัวหน้าศิษย์ของโถงพฤกษศาสตร์ประจำสาขาหลอมโอสถ นามว่าเจิ้งเหลียง    เป็นศิษย์ปีสาม หน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมเข้มและดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว ท่วงท่าสง่างาม ชายหนุ่มมาถึงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า แต่พอเห็น         พวกผู้หญิงรายล้อมหวังเป่าเล่อ สีหน้าเขาก็แปลกไป

เวลานั้นดูราวกับตัวหวังเป่าเล่อส่องประกายไม่ต่างอะไรกับศิลาวิญญาณ        ท่าทีสนอกสนใจของพวกผู้หญิงทำรอยยิ้มเจิ้งเหลียงเหยเก เขารู้สึกบอกไม่ถูก       ส่วนหนึ่งมาจากความไม่ชอบใจที่มีคนจากสาขาวิชาอื่นมาหลีหญิงในสาขาวิชาของเขา

แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าศิษย์ จึงรีบไหวไหล่ หัวเราะไล่ความคิดเหล่านั้น  ทิ้งไปแล้วแย้มยิ้มเป็นมิตร

“เจ้าคือน้องเป่าเล่อใช่หรือเปล่า ข้าคือเจิ้งเหลียง สาขาหลอมโอสถ!” เจิ้งเหลียงมีสีหน้าอบอุ่น เดินยิ้มเข้าไปหา มีศิษย์เจ็ดถึงแปดคนตามหลัง ทั้งหมดต่างแอบรู้สึกประหลาดตอนทักทายหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันก็ประเมินเขาไปด้วย เพราะหลายวันมานี้เขามีชื่อเสียงโด่งดัง กระทั่งพวกเขาเหล่านี้ยังต้องสนใจพฤติกรรมนอกลู่นอกทางทั้งหลายนั่น

“ขอคารวะศิษย์พี่เจิ้ง” หวังเป่าเล่อเห็นเจิ้งเหลียงแล้วรีบผละออกจากแผงขายของ สองมือประสานคำนับ เขากล่าวไปพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ หยิบเอาศิลาวิญญาณความบริสุทธิ์ร้อยเก้าสิบออกมายื่นให้

“ศิษย์พี่เจิ้ง ข้าชื่นชมคนที่มุ่งในวิชาหลอมโอสถมาตลอด ข้าควรจะหาของกำนัลมาด้วยสำหรับการมาเยี่ยมที่นี่เป็นครั้งแรก แต่ข้ารีบร้อนเกินไปหน่อย หวังว่าท่านจะยอมรับศิลาวิญญาณที่ข้าหลอมเองนี้” หวังเป่าเล่อวางศิลาวิญญาณลงบนมือ         เจิ้งเหลียงพลางกลั้วหัวเราะ

ศิลาวิญญาณถือเป็นของตอบแทนสำหรับโอสถผลึกความจำ อีกอย่าง เขาจงใจบอกให้ทุกคนรู้ว่าตนหลอมศิลาวิญญาณก้อนนี้เอง เจิ้งเหลียงยิ้มกว้าง ไม่พิธีรีตอง    ให้มากความกับหวังเป่าเล่อ แล้วเก็บศิลาวิญญาณไป ก่อนจะหยิบเอาขวดใบหนึ่ง     ส่งให้หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ในนี้เป็นโอสถปัดเป่าวิญญาณที่ข้าหลอมเอง จะช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง และทำให้จดจำอะไรได้ง่ายขึ้น”

ฝ่ายหนึ่งอยากสานมิตรภาพ อีกฝ่ายก็ไหวพริบดี พวกเขาแลกเปลี่ยนกันอย่างสนุกสนาน

บรรดาศิษย์ผู้ติดตามเจิ้งเหลียงลอบมองกันเองแล้วพบแววคลุมเครือในดวงตากันและกันขณะชมภาพเบื้องหน้า พวกเขาเห็นแล้วว่าหวังเป่าเล่อสมตามคำร่ำลือ ต่อให้ด้านอื่นจะยังขาดแคลน วิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนอื่นก็ช่วยให้เขาน่าประทับใจขึ้นมา

เจิ้งเหลียงออกเดินนำทาง ทั้งสองเดินไปข้างหน้า ตลอดทางมีศิษย์คนอื่นจากสาขาหลอมโอสถเข้ามาประสานมือคำนับทักทาย

ไม่นานทั้งสองก็รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น หลังได้แนะนำจุดชมทิวทัศน์ในสาขา      หลอมโอสถหมดแล้ว เจิ้งเหลียงยิ้มแย้ม เชิญหวังเป่าเล่อไปที่ตำหนักหัวหน้าศิษย์

ตำหนักหัวหน้าศิษย์ที่นี่ต่างจากที่สาขาอาวุธเวท หลักๆ คือตรงที่มีพืชพรรณรายล้อม อบอวลด้วยปราณวิญญาณ หวังเป่าเล่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่ชื่นชม

เจิ้งเหลียงขบขัน กล่าวอย่างมีน้ำใจ “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะให้คนส่งเมล็ดพันธุ์พวกนี้ไปให้ เจ้าจะเอาไปปลูกตกแต่งรอบถ้ำที่พักของเจ้าก็ได้นะ”

หวังเป่าเล่อรีบกล่าวขอบคุณ เขามองเจิ้งเหลียงผู้มีหน้าตาหล่อเหลา รู้สึกว่า     ตนกับอีกฝ่ายเข้ากันได้ดี เขาจึงหยิบศิลาวิญญาณความบริสุทธิ์ร้อยละเก้าสิบอีกสี่ก้อนออกมาส่งให้

ทันทีที่เห็น เจิ้งเหลียงดีอกดีใจ รับไปอย่างระมัดระวัง แล้วประสานมือคำนับ      ก้มหัวให้หวังเป่าเล่อ

“ขอบคุณมาก ศิษย์น้องเป่าเล่อ!” เขากล่าวจากใจจริง ตัวเขากำลังต้องการ    ศิลาวิญญาณความบริสุทธิ์ร้อยละเก้าสิบ และเขาก็อยากเป็นเพื่อนกับหวังเป่าเล่อ   เมื่อทางหวังเป่าเล่อแสดงน้ำใจขนาดนี้ ความชมชอบที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเพิ่มพูน เขาเหยียดหลังตรง หยิบโอสถออกมาอีกสองขวดวางลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ในนี้มีโอสถผลึกความทรงจำอยู่ห้าเม็ด น่าเสียดายที่ข้ามีทั้งหมดแค่นี้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาซื้อมาเพิ่มให้เจ้าเอง”

ศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนต่อโอสถหนึ่งเม็ด ตามข้อตกลงที่พวกเขาแลกเปลี่ยนกันไว้ทางแหวนสื่อสาร เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเจิ้งเหลียงหยิบอีกสองเม็ดมาเพิ่ม เขาก็รู้ว่าตนจะได้สิ่งตอบแทนน้ำใจ เขาจึงยิ้มขอบคุณแล้วเก็บโอสถไป จากนั้นก็เริ่มคุยกับ         เจิ้งเหลียง พวกเขาเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่ก็คุยกันสนุกสนานจนเริ่มเสียดายที่   พวกตนไม่รู้จักกันให้เร็วกว่านี้ สุดท้ายเจิ้งเหลียงตัดสินใจหยิบยื่นคำเชิญให้           หวังเป่าเล่อพอได้ยินว่าเจ้าตัวสนใจการหลอมโอสถ

“ศิษย์น้องเป่าเล่อ ถ้าเจ้าไม่ต้องรีบกลับ สนใจให้ข้าพาเจ้าเดินชมห้องวิจัย      เล่นแร่แปรธาตุของสาขาวิชาข้าไหม ที่นั่นใหญ่มาก พอให้คนนับพันหลอมโอสถของตัวเองได้พร้อมกัน ข้างในนั้นยุ่งน่าดู ปกติแล้วไม่อนุญาตให้คนทั่วไปเข้า”

หวังเป่าเล่อสนใจการหลอมโอสถเป็นทุนเดิม เขาพร้อมตอบตกลง เจิ้งเหลียง    นำทางเข้าไปถึงห้องวิจัยอันโด่งดังของสาขาหลอมโอสถ ห้องวิจัยทั้งหมดตั้งอยู่ข้างในยอดเขาสาขาวิชาหลอมโอสถ มีขนาดโอ่อ่า เมื่อเข้าไปข้างใน หวังเป่าเล่อรู้สึกถึง     ลมร้อนโอบล้อมร่าง แค่มองแวบแรกก็เห็นทุกอย่างข้างในพื้นที่กว้างขวางข้างหน้า

เตาหลอมโอสถนับพันอยู่ข้างใน ศิษย์ของสาขากำลังหลอมโอสถอยู่ข้าง          เตาหลอมโอสถ ห้องหับอีกมากมายเรียงรายโดยรอบมีกลิ่นหอบสมุนไพรโชยออกมา

ภาพตรงหน้าเขาช่างน่าตื่นตาตื่นใจ หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั้งห้องวิจัยด้วยความอึ้งทึ่ง

“เป็นอย่างไรบ้าง ต่างจากถ้ำเตาหลอมวิญญาณของสาขาอาวุธเวทล่ะสิ”        เจิ้งเหลียงหัวเราะ เดินนำทางหวังเป่าเล่อเข้าข้างใน ผู้คนรอบด้านพอเห็นเขาก็ทักทายอย่างมีสัมมาคารวะ

หวังเป่าเล่อร้องอย่างห้ามตนไม่อยู่ “ข้าหลงคิดว่าการหลอมโอสถจะคล้ายกับ   การหลอมวัตถุเวทในสมัยก่อนเสียอีก แต่มองดูแล้ว ต่างกันหลายจุดมากทีเดียว”

เขายังไม่เคยไปถ้ำเตาหลอมวิญญาณของสาขาอาวุธเวท แต่เคยได้ยินถึงที่นั่นมาบ้าง ตามระเบียบแล้ว ศิษย์ปีสูงที่ศึกษาเข้าใจแก่นวิญญาณในระดับหนึ่งเท่านั้นถึงจะได้  เข้าไป ข้างในนั้นเป็นที่สั่งสมประสบการณ์การรวมวัตถุดิบและสร้างวัตถุเวทระดับพื้นๆ ยังไม่มีระดับ

หวังเป่าเล่อชมสิ่งรอบตัว สายตาเขาพลันไปหยุดยังหญิงสาวคนหนึ่งท่ามกลางผู้คน นางกำลังเช็ดเหงื่อพร้อมกระโดดโลดเต้นเปิดฝาเตาหลอมโอสถตรงหน้า ทั้งยังทำท่าร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

กระต่ายน้อย! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย ยกมือป้องปากตะโกนทักทาย

“โจวเสี่ยวหยา!”

กระต่ายน้อยกำลังเปิดฝาหม้อเตาหลอมโอสถ มองดูโอสถข้างในที่ตนหลอมเองอย่างเป็นสุขใจ นางค่อยๆ หยิบโอสถออกมา แต่ได้ยินใครสักคนเรียกตัวเองเข้า จึงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย ไม่ทันไรก็เห็นหวังเป่าเล่อโบกมือให้เข้า         นางประหลาดใจระคนยินดี

“เป่าเล่อ!” ดวงตากระต่ายน้อยสดใส อารมณ์ที่ดีอยู่แล้วยิ่งเริงร่าพอเห็นหวังเป่าเล่อ นางรีบวิ่งไปหาเขา

“โจวเสี่ยวหยา ศิษย์น้องเป่าเล่อ ข้าจำได้ว่าตอนเจ้าเพิ่งเข้าสำนักศึกษา          เต๋าศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเคยสารภาพความรู้สึกที่มีต่อนางลงบนเครือข่ายวิญญาณนี่นา”      เจิ้งเหลียงปราดมองโจวเสี่ยวหยาแล้วมองหยอกหวังเป่าเล่อ หัวหน้าศิษย์              โถงพฤกษศาสตร์รีบจำชื่อโจวเสี่ยวหยาไว้บอกลูกน้องของตนให้ดูแลนางให้ดี

ถึงจะถูกเจิ้งเหลียงเอาเรื่องในอดีตมาพูด หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียงดังเนื่องจากเขาไม่ใช่คนจะเขินอายง่ายๆ กลับกัน โจวเสี่ยวหยาค่อนข้างหน้าบาง      แก้มนางแดงขึ้นมาในบัดดล หัวนางก้มลงต่ำ รู้สึกเขินอาย แต่ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้าขึ้นใหม่ ยื่นฝ่ามือเล็กเพรียวออกไปแล้วกล่าวอย่างมีความสุข “เป่าเล่อ ข้าหลอมโอสถได้แล้ว ดูนี่สิ นี่คือโอสถเจ็ดสีที่ข้าเพิ่งหลอม สวยใช่ไหม”

โจวเสี่ยวหยาลิงโลดใจราวกับว่าอยากจะแบ่งปันความสุขนี้กับหวังเป่าเล่อ      ตรงกลางฝ่ามือนางคือ โอสถสีสันสวยสด งดงามไม่แพ้ตัวนางเอง

“เสี่ยวหยา ข้าว่ามือเจ้าสวยกว่านะ” หวังเป่าเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มสว่างสดใส

กระต่ายน้อยหน้าแดงขึ้นมาอีกหน ทำตาถลึงใส่หวังเป่าเล่อ หากแต่ลึกๆ ในใจ    ก็แอบยินดี

“จะว่าไป แล้วตู้หมินอยู่ไหนเล่า” หวังเป่าเล่อนึกถึงตู้หมินพอเห็นกระต่ายน้อย เขามองไปรอบๆ แต่คนเยอะเกินจะหาตัวนางเจอ

“พี่ตู้หมินไม่อยู่นี่ พี่เขาเก่งมาก โดนรับเป็นศิษย์ของหัวหน้าสาขาหลอมโอสถไปแล้ว” กระต่ายน้อยทำหน้าอิจฉา แต่ก็ยินดีไปด้วย ท่าทางยิ่งตู้หมินยอดเยี่ยมมากเท่าไร   นางก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น

“ขนาดนั้นเชียว” หวังเป่าเล่อไม่ทันคาดคิด

“ศิษย์น้องเป่าเล่อ เจ้ารู้จักตู้หมินด้วยรึ” เจิ้นเหลียงประหลาดใจพอได้ยินชื่อตู้หมิน เขาเริ่มอธิบายพอเห็นสายตาหวังเป่าเล่อมองมา

“ตู้หมินเป็นคนยอดเยี่ยมมาก ความสามารถด้านการหลอมโอสถน่าอัศจรรย์      ได้เป็นลูกศิษย์ของหัวหน้าสาขาวิชาพวกเรา ถึงจะไม่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์ แต่ตำแหน่งกับสถานะของนางก็โดดเด่นไม่แพ้กันเลย”

หวังเป่าเล่อแตะจมูกตัวเอง รู้สึกสะเทือนใจเพราะยังมิทันได้เอาตำแหน่งหัวหน้าศิษย์มาอวดนางเลย แต่ก็เข้าใจได้เมื่อนึกถึงความสามารถที่นางเคยแสดงให้เห็นมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย

“นางเป็นศิษย์ชั้นหนึ่ง เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ยังเด็กๆ แล้วละ!” ถึงลึกลงไป      เขาจะรู้สึกเจ็บใจ แต่เขาก็ตระหนักว่าตนต้องตั้งใจมากยิ่งขึ้น หาไม่แล้ว คงจะขายขี้หน้าน่าดูถ้าตองมาเห็นนังไม้กระดานอย่างตู้หมินได้ดีกว่าตนเอง

เขาพูดคุยสัพเพเหระกับกระต่ายน้อยต่อครู่เดียว แต่นางจำต้องขอตัวลาเพราะยังหลอมโอสถในอีกหม้อไม่เสร็จ นางจึงกลับไปทำงานต่อ

ส่วนทางหวังเป่าเล่อ เขามองห้องต่ออีกครู่หนึ่งก่อนเปรยว่าถึงเวลาตนต้อง         ขอตัวลาเช่นกัน เจิ้นเหลียงเดินไปส่งเขาถึงประตูยอดเขาสาขาวิชาหลอมโอสถ

เมื่อพาเขามาถึงประตู เจิ้นเหลียงมองแล้วจู่ๆ ก็กระซิบ “ศิษย์น้องเป่าเล่อ ข้าเห็นว่าพวกเราคุยกันถูกคอ นี่อาจจะดูเหมือนข้าพูดมากเกินไปทั้งที่พวกเราเพิ่งพบกัน    แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้า ว่าสาขาอาวุธเวทยังมีตื้นลึกหนาบางอยู่อีกมาก”

สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เขาตั้งอกตั้งใจฟัง พอเห็นหวังเป่าเล่อทำหน้าเช่นนั้น เจิ้งเหลียงก็กระซิบเสียงแผ่วต่อ “ก่อนหน้านี้ หัวหน้าศิษย์ทั้งสามคนของสาขาอาวุธเวทรวมตัวกันเหนียวแน่น ไม่เหมือนหัวหน้าศิษย์ของสาขาวิชาอื่น”

“ทั้งหมดก็เพราะพวกเขาเป็นคนสนิทของรองเจ้าสำนัก เพราะฉะนั้น           หัวหน้าสาขาอาวุธเวทจึงแทบไม่มีอำนาจอะไรในวินัยสำนักเลย!

“และเหตุผลหลักที่หัวหน้าศิษย์ของสาขาวิชาเจ้าสนิทสนมกลมเกลียวกันได้ ทั้งหมดก็เพราะหัวหน้าโถงแก่นวิญญาณ หลินเทียนหาว เขามีพื้นเพใหญ่โต            แต่น่าเสียดายเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน”

เจิ้งเหลียงแบ่งปันทุกอย่างที่ตนรู้ให้หวังเป่าเล่อฟัง ทั้งยังเตือนอีกก่อนจะตบบ่าศิษย์ผู้น้อง เขาบอกลาแล้วเดินจากไปหลังแจ้งว่าโอสถทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อซื้อจะถูกส่งไปที่สาขาอาวุธเวท

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ มองเจิ้งเหลียงเดินจากไปไกล เขาบอกได้ว่าเจิ้งเหลียงเตือนด้วยความหวังดี พอได้พิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็เลือกจำใส่ใจเอาไว้

ไม่ใช่ว่าเพราะเขามีพ่อเป็นผู้มีอิทธิพลรึ เขาเป็นหัวหน้าศิษย์ แต่ข้าก็เช่นกัน    แล้วมีอะไรให้ข้าต้องกลัว

จั่วอี้ฟานก็มีพื้นเพของเขาไม่ใช่หรือ แล้วข้าก็จัดการเขายับเยินอย่างที่เขาสมควรโดนมาแล้ว!

คิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ผ่อนคลายลง เขาฮัมเป็นทำนอง มือไพล่หลัง กลับไปยังยอดเขาสาขาวิชาอาวุธเวท เมื่อกลับเข้าข้างในถ้ำที่พัก ก็เห็นหลิวต้าวปินยืนถือถุงด้วยท่าทีสำรวมอยู่ก่อนแล้ว ท่าทางเหมือนรอมาสักพักใหญ่ ครั้งเห็นหวังเป่าเล่อ       ก็หายใจเข้าลึกๆ จัดแจงเสื้อผ้าตัวเอง แล้วรีบมาคำนับให้หวังเป่าเล่อ

“ขอคารวะ หัวหน้าศิษย์!”

“อ้าว ต้าวปิน เจ้ามาด้วย เจ้าคงรอข้าอยู่นานแล้วสิ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าละว่าจะมา” หวังเป่าเล่อคลี่ยิ้ม รู้สึกได้ว่าตั้งแต่ขึ้นเป็นศิษย์ฝ่ายวินัย หลิวต้าวปินก็เปลี่ยนไปเป็น  คนละคน เรียกได้ว่าเคร่งกับกฎระเบียบสุดขีด แต่ลักษณะการกระทำต่างๆ ก็ชวนให้สบายใจ

“ไม่เลย ข้าก็เพิ่งมาถึง” หลิวต้าวปินตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาเข้ามาข้างในถ้ำที่พักตามคำเชิญจากหวังเป่าเล่อ แต่ยังคอยเว้นระยะเดินเยื้องไปข้างหลังหนึ่งก้าว         หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้จักวางตัวมากขึ้น

หลังจากเข้ามาในถ้ำแล้ว หลิวต้าวปินก็รีบทำความสะอาดสถานที่อย่างคล่องแคล่ว ย้ายขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณกับถุงขนมกินหมดแล้วไปไว้ตรงมุม ตามด้วยการหยิบจัดแจงชาบำรุงวิญญาณรวดเร็วกับซ้อมมา วางให้หวังเป่าเล่อ

เห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบพลางถามด้วยความใคร่รู้ “ต้าวปิน ครอบครัวเจ้าทำอะไร”

“เรื่องนั้น…ท่านพ่อของข้าเป็นรองเจ้าเมืองที่บ้านเกิด ที่เมืองปักษาเพลิง          อันที่จริงแล้วระยะหลังมานี่ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อในเรื่องว่าควรทำอะไรอย่างไร” หลิวต้าวปินตอบ ท่าทางเขินผสมกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“รองเจ้าเมืองอย่างนั้นรึ” หวังเป่าเล่อตาโต ความรู้สึกสุดวิเศษถีบตัวขึ้นมาในอก ก่อนจะมาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ รองเจ้าเมืองของเมืองปักษาเพลิงเป็นบุคคลสำคัญอย่างมากในสายตาหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ ลูกชายของบุคคลสำคัญคนนั้นอยู่       ใต้คำสั่งเขา เขารู้สึกอัศจรรย์กับตัวเองยิ่งกว่าเก่า

“อะแฮ่ม ต้าวปิน นี่ก็ใกล้จะวันหยุดแล้ว พูดไป นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจากบ้านมานานขนาดนี้ ข้าชักคิดถึงเมืองปักษาเพลิงขึ้นมาแล้วสิ” หวังเป่าเล่อกระแอม รู้สึกเป็นสุขอย่างหาเปรียบไม่ได้ขณะวางถ้วยชาลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!