Skip to content

A World Worth Protecting 364

บทที่ 364 กำแพงอาวุธเทพ

หวังเป่าเล่อได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีต่อหน้าสาธารณชนทั่วอาณาจักร ประกาศนี้ทำให้ทั้งสหพันธรัฐสั่นสะเทือน สื่อมากมายหลายแขนงนำเสนอข่าวการถ่ายทอดสดและรายงานข่าวนี้ทุกหนแห่ง แม้แทบทั้งสหพันธรัฐจะดูการถ่ายทอดสดอยู่ก็ตาม ไม่นานนักคนที่ไม่ได้เปิดดูการถ่ายทอดสดก็ได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อเช่นกัน!

บิดามารดาของหวังเป่าเล่อไม่ได้ดูการถ่ายทอดสด ทันทีที่รายการจบลง        แหวนสื่อสารของทั้งสองก็สั่นไม่หยุดหย่อน

เจ้านครเมืองปักษาเพลิงมาเยี่ยมเยียนคนทั้งคู่ด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติต่อทั้งสองด้วยไมตรีจิตอยู่แล้ว แต่บัดนี้ความเป็นมิตรนั้นกลับมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม     เสียอีก แม้เจ้านครจะยังไม่ถึงขั้นประจบประแจง แต่ก็แสดงความสุภาพและ       ความเคารพมากกว่าเดิมขณะทักทายและพูดคุยสัพเพเหระกัน

ดูเหมือนว่า…ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น หวังเป่าเล่อคนเดิมที่มีพื้นเพจากเมืองปักษาเพลิง และจากเมืองเพื่อไปตามฝัน บัดนี้มีพลังปราณที่ก้าวไกลกว่า   เจ้านครที่เป็นผู้ฝึกตนระดับรากฐานตั้งมั่นไปมากโข ลำดับชั้นของหวังเป่าเล่อยัง      สูงกว่าเขาอีกด้วย ความจริงแล้วหากเขาไม่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้านครปักษาเพลิง       ตัวเขาเองอาจมีเกียรติไม่สูงพอที่จะมาเยี่ยมเยียนครอบครัวนี้ด้วยซ้ำ

เจ้านครรู้ดีว่าตำแหน่งนายกเทศมนตรีเขตนครใหม่แห่งดาวอังคารมีอำนาจมากเพียงใด หวังเป่าเล่ออาจกลายเป็นขุนนางระดับสี่ชั้นสูงที่ทรงอำนาจที่สุดให้สหพันธรัฐ!

บิดามารดาของหวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมากเมื่อแขกผู้นี้มาเยือน หลังจากที่   พวกเขาได้รับทราบเรียบร้อยว่าเหตุใดเจ้านครจึงมาหาตน ทั้งสองก็รู้สึกกังวลใจมากกว่าจะมีความสุข

คนทั้งคู่รู้ตั้งแต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้รับการตอบรับเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษา      เต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วว่าบุตรชายของตนได้เลือกเส้นทางชีวิตของตนเองเป็นที่เรียบร้อย

นี่คือเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองกลบความไม่สบายใจลงไป เพื่อที่หวังเป่าเล่อจะได้    ไม่ต้องเป็นห่วงพวกตน คณะโบราณคดีที่บิดาของหวังเป่าเล่อทำงานอยู่ ก็ตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งให้บิดาของหวังเป่าเล่อเป็นหัวหน้าเช่นกัน เมื่อหวังเป่าเล่อได้รับ      การอวยยศ

ส่วนมารดาของหวังเป่าเล่อนั้นได้รับคำสั่งย้ายให้มาประจำการที่กองอำนวยการนคร ตามคำสั่งของเจ้านคร นางได้ทำงานสบายและมีอำนาจมากกว่าเดิม นอกจากนี้     หากนางทำอะไรผิดก็จะไม่มีใครเอาเรื่องนางได้อีกด้วย

ทันทีที่บิดามารดาของหวังเป่าเล่อตื่นจากภวังค์และความโชคดีของตน              ก็เริ่มพูดคุยกันอย่างลับๆ

“เราปล่อยให้เจ้าตัวแสบนั่นลอยหน้าลอยตาไปมาเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะจัดการให้ลูกนัดดูตัวเสียเมื่อกลับมาบ้านคราวหน้า!”

“ข้าเห็นด้วย ลูกสาวของตาแก่หวงก็ดูไม่เลวทีเดียว เขาเคยมาขายลูกสาวให้ข้าฟังหลายรอบแล้ว”

ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ส่วนที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อได้ยินการประกาศนี้ ก็เต็มไปด้วยเสียงกู่ร้องแสดงความดีใจดังกึกก้องไปทั่วทั้งสำนักศึกษา หวังเป่าเล่อเป็นตำนานแห่งเกาะมหาปราชญ์ชั้นรอง และเป็นศิษย์แบบอย่างที่สานุศิษย์ยกย่องศรัทธา บรรดาอาจารย์ที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นรองมักเล่าวีรกรรมของหวังเป่าเล่อให้เด็กๆ ฟังเสมอ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ศิษย์ของตน

ปฏิกิริยาตอบรับที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่า แต่เสียงร้องดีใจก็ยังดังไม่หยุดหย่อน ทุกคนเดือดดาลมานานที่สี่สำนักศึกษาเต๋ามีมติส่งหลี่อี้เข้าชิงตำแหน่งแทนหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเหนือกว่าหลี่อี้ในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณ ความสามารถในการยุทธ์ ไปจนกระทั่งเกียรติยศและความสำเร็จ แต่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็มี    สิทธิ์ออกเสียงเพียงเสียงเดียว จึงไม่สามารถเปลี่ยนมติที่จะสนับสนุนหลี่อี้ของ     สำนักศึกษาอื่นได้

กระนั้น…หวังเป่าเล่อและลาของเขาก็ยังก้าวขึ้นมาผงาดได้ราวเสือซุ่ม โดยกวาดล้างตัวแทนทุกคนเสียเรียบ จนได้ตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเขตนครใหม่แห่ง         ดาวอังคารไปครองในที่สุด ศิษย์ทุกคนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ภูมิใจกับความสำเร็จอันแสนยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ประมุขสำนักเองก็เช่นกัน แม้กระทั่ง       ผู้อาวุโสสูงสุดที่ดำรงตนห่างจากการบ้านการเมือง ยังยิ้มบางเมื่อได้เห็นความสำเร็จของเขา

จั่วอี้ฟานและเจ้าเยี่ยเหมิงที่ประจำตำแหน่งของตนเองอยู่ ก็ส่งข้อความมาแสดงความยินดีแก่หวังเป่าเล่อเช่นกัน โดยเฉพาะเจ้าเยี่ยเหมิงที่บอกหวังเป่าเล่อว่า        นางยินดีช่วยเหลือเขาเสมอหากเขาพบเจออุปสรรคอะไรเข้า ยกตัวอย่าง เช่น         การทดสอบที่เพิ่งผ่านพ้นไปเป็นต้น หากหวังเป่าเล่อต้องการความช่วยเหลือ         นางและจั่วอี้ฟานจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเขา

หวังเป่าเล่อตื้นตันใจกับสิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงสัญญาเป็นอันมาก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำพูดนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังเดินทางกลับนครดาวอังคาร อ่านข้อความที่หลั่งไหลเข้ามาในแหวนสื่อสารของเขาและเริ่มตอบกลับทีละข้อความ เขาเห็นสิ่งที่หลิวต้าวปินส่งมาเช่นกัน

หลิวต้าวปินตื่นเต้นจนตัวสั่นเมื่อเห็นผลการแข่งขัน แต่เขาก็นึกได้ว่าตนเอง     วางพนันไปที่ฝ่ายใดและตัวแข็งทื่อ เขาคำนวณดูคร่าวๆ ในหัวแล้วก็สรุปได้ว่าตนเองได้รางวัลมาเล็กน้อย แต่ก็ยังกัดฟันกรอดอยู่ดี หากเขาลงเงินทั้งหมดไปที่หวังเป่าเล่อแต่แรก ป่านนี้ก็คงรวยไปแล้ว…

หวังเป่าเล่อยังคงรับและตอบกลับข้อความอย่างต่อเนื่องตลอดเส้นทางกลับ    นครดาวอังคาร เขาไม่แน่ใจว่าเจ้านครจงใจหรือไม่ที่ไม่ยอมให้เขาเคลื่อนย้ายกลับด้วย แต่ให้นั่งเรือบินกลับแทน

ถึงหวังเป่าเล่อจะเป็นคนกล้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ชายหนุ่มจึงยอมให้อภัยความ “คิดน้อย” ของนาง

เขากระแอมกระไอก่อนลงจากเรือบิน เมื่อชายหนุ่มกลับไปที่สำนักศึกษา        เต๋าหมอกขุนเขา ก็เห็นว่าสานุศิษย์ตื่นเต้นกับความสำเร็จของเขาเป็นอันมาก        ชายหนุ่มแอบดีใจอยู่เงียบๆ คนเดียว เขากล่าวปลุกใจศิษย์ของตนเล็กน้อย พูดคุยกับหลินเทียนหาวและบรรดาอาจารย์คนอื่นสั้นๆ ก่อนจะกลับไปยังที่พักของตนเองพร้อมเจ้าลา

คำสั่งออกมาเรียบร้อย เหลือเพียงรอให้เจ้านครเรียกเขาเข้าพบเท่านั้น หวังเป่าเล่อเริ่มเตรียมการสร้างเขตนครใหม่ในทันที

ระหว่างทางกลับเมื่อครู่ เขาได้รับข้อความโดยตรงจากเจ้าเมือง นางสั่งการให้เขารีบส่งต่อหน้าที่เจ้าสำนักให้ผู้อื่นภายในสองสามวัน และแนะนำรายชื่อบุคคลที่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งแทนเขาด้วย

แต่หวังเป่าเล่อตัดสินใจไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ใครมารับตำแหน่งต่อจากเขา แน่นอนว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าหลินเทียนหาวอีกแล้ว

หลินเทียนหาวคือ คนที่เพียบพร้อมที่สุดสำหรับตำแหน่งเจ้าสำนัก หวังเป่าเล่ออาจเลือกศิษย์รุ่นน้องคนอื่นจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้มาดำรงตำแหน่งนี้แทนเขาก็ได้ เพื่อให้สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขยายอำนาจบนดาวอังคารได้อย่างสะดวก โดยการควบคุมสำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาที่กำลังมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ           บนดาวอังคาร

แต่หากทำเช่นนั้นจะไม่ยุติธรรมต่อหลินเทียนหาวเป็นอย่างมาก หวังเป่าเล่อยังรู้สึกได้ว่าชาวดาวอังคารจะไม่พอใจด้วยหากเขาตัดสินใจเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแน่วแน่และเลิกคิดเรื่องนี้เสีย เขาตั้งมั่นแล้วว่าจะให้หลินเทียนหาวรับตำแหน่ง       เจ้าสำนักต่อจากตนเอง

หวังเป่าเล่อต้องการแสดงความขอบคุณต่อบิดาของหลินเทียนหาว ที่ช่วยสนับสนุนเขาระหว่างการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรี อีกอย่างหนึ่ง          การตัดสินใจให้หลินเทียนหาวขึ้นมาแทนตนเองนั้นก็เป็นเรื่องปกติวิสัย เนื่องจาก   หลินเทียนหาวเริ่มสนับสนุนเขาอย่างมากในช่วงหลัง และทั้งสองก็เริ่มมีสัมพันธ์อันดีต่อกันเรื่อยมา

หลังจากที่พักผ่อนสักครู่ หวังเป่าเล่อก็เรียกหลินเทียนหาวเข้าพบและพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างยืดยาว เมื่อหลินเทียนหาวกลับออกไป ดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าของเขาเฉิดฉายด้วยความสุขและความกระตือรือร้น หลินเทียนหาวรู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อเป็นอันมาก เขาถอนหายใจด้วยความปีติ พลางนึกว่าบิดาของตนเองคิดถูกจริงเสียด้วย!

หลินเทียนหาวก็มีคุณสมบัติครบที่จะเข้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเช่นกัน      แต่เมื่อหลินโยวไตร่ตรองถึงข้อดีข้อเสียอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว เขาก็ตัดสินใจไม่ส่งบุตรชายเข้าร่วมการแข่งขันนี้ เขาบอกหลินเทียนหาวว่าหวังเป่าเล่อคือชายที่รู้คุณคน และจะตอบแทนคุณกลับอย่างแน่นอน หากหลินเทียนหาวยอมถอยจากการแข่งขันนี้แต่โดยดี และหวังเป่าเล่อชนะจนได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีคนใหม่ไปครอง      ชายหนุ่มจะระลึกได้อย่างแน่นอนว่าตระกูลหลินมีส่วนช่วยให้เขาสำเร็จ

ต่อให้เรื่องจบที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้แพ้ แต่เขาก็จะยังระลึกอยู่เสมอว่าตระกูลหลินได้ช่วยเหลือเขาในศึกครั้งนี้…

หากหลินเทียนหาวเข้าร่วมขับเคี่ยวด้วย เรื่องอาจจะจบดีหากเขาชนะ แต่ถ้า         หลินเทียนหาวแพ้เมื่อไร ก็จะไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากต้องย้ายออกจากตำแหน่งที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกขุนเขาในที่สุด

หลินโยวเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์กลยุทธ์ภาพใหญ่ และการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมเข้าทางที่สุดเพื่อความเจริญก้าวหน้าระยะยาว หลังจากที่หลินเทียนหาว     ซึ่งกำลังดีใจเป็นล้นพ้นออกไปเรียบร้อยแล้ว หวังเป่าเล่อก็รีบจัดการธุระของตนเอง  ต่อทันที เขานั่งอยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้าจริงจัง และเปิดแหวนสื่อสารขึ้นมาเพื่อดูเอกสารลับสุดยอดที่เจ้านครดาวอังคารส่งมาให้เขา!

ผู้ที่เข้าถึงเอกสารลับนี้ได้ต้องมียศเป็นขุนนางระดับสามชั้นรองขึ้นไปเท่านั้น     ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อตำแหน่งไม่สูงพอที่จะดูเอกสารนี้ แต่เมื่อเขาได้ตำแหน่งนายกเทศมนตรีมาครองแล้ว ตำแหน่งหน้าที่ของเขาก็เปลี่ยนไปจึงได้รับอนุญาตให้เข้าถึงเอกสารนี้ในที่สุด

เอกสารลับสุดยอดนี้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสุสานอาวุธเทพใต้ดินเอาไว้ และเหตุผลโดยละเอียดที่สหพันธรัฐตัดสินใจตั้งเขตนครใหม่ที่นั่น

กงเต๋าเป็นผู้ค้นพบสุสานอาวุธเทพใต้ดินเมื่อหลายปีก่อน และรายงานเรื่องนี้ให้ฝ่ายรัฐบาลดาวอังคารทราบ ก่อนที่กงเต๋าจะค้นพบที่แห่งนี้ แม้แต่วงแหวนปราณของดาวอังคารก็ไม่สามารถจับความผิดปกติในอาณาบริเวณนี้ได้

สหพันธรัฐให้ความสำคัญกับการค้นพบของกงเต๋าเป็นอันมาก เจ้านครเองยังมาดูแลเรื่องนี้ด้วยตนเองหลายครั้ง ในที่สุด ด้วยการผนึกกำลังกันระหว่างผู้ฝึกตนระดับสูงหลายคนจากหลายกลุ่มอำนาจ จึงทำให้สหพันธรัฐดำเนินการสำรวจ    บริเวณนั้นอย่างลับๆ ได้สำเร็จ

การสำรวจทำให้พวกเขารู้ว่าสุสานทอดยาวลึกลงไปใต้ดิน ความลึกของมันนั้น   ไม่สามารถประมาณการได้…ไม่ว่าจะด้วยการสำรวจโดยมนุษย์ การใช้เคล็ดเวท     หรือการใช้วิทยาการ

แม้หลายภาคส่วนของสหพันธรัฐจะรวมพลังกันสำรวจ ก็ไม่มีใครเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานนี้ได้ พวกเขาต้องเผชิญกับเหตุอสูรหลั่งไหลนับไม่ถ้วน และสุดท้าย  ก็ถูกกำแพงขวางกั้นเอาไว้!

กำแพงนี้ได้รับการขนานนามว่ากำแพงอาวุธเทพในเวลาต่อมา!

กำแพงอาวุธเทพนี้เป็นน้ำแข็ง และไม่ว่าจะรวมพลังกันโจมตีอย่างไรก็ไม่สามารถทลายมันลงได้ ทางเดียวที่จะทลายกำแพงนี้ได้คือการใช้อาวุธเทพของ             ประธานสหพันธรัฐ แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงอาวธเทพอีกชิ้นที่ทรงพลังไม่แพ้กันอยู่   หลังกำแพง หากพยายามทำลายกำแพงโดยการใช้กำลัง จะเกิดการต่อสู้ระหว่าง  อาวุธเทพทั้งสองชิ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ผลกระทบอันใหญ่หลวงอาจตามมา…มันอาจทำให้ดาวอังคารทั้งดวงเปลี่ยนไป ดาวเคราะห์สีแดงนี้อาจดับสูญก็เป็นได้

ผู้ที่เคราะห์ร้ายติดอยู่ในการต่อสู้นี้จะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงจนอาจถึงแก่ชีวิต ประธานสหพันธรัฐเองอาจโดนพลังสะท้อนกลับจนสลายกลายเป็นเถ้าธุลี ในขณะที่อาวุธเทพเองไม่ได้รับอันตรายใดๆ

นี่คือราคาที่สหพันธรัฐไม่ปรารถนาจะจ่าย และเป็นสิ่งที่เจ้านครดาวอังคารไม่มีวันยอมให้เกิดขึ้น นั่นคือ เหตุผลที่ทำให้การสำรวจต้องปิดฉากลง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!