บทที่ 376 เหตุไม่คาดฝัน
ไม่จำเป็นต้องคิดหาสาเหตุ หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าทำไมตนถึงเข้าใจสิ่งที่ใบหน้าพูด นั่นก็เพราะเขาฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดนั่นเอง!
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในศูนย์ควบคุมของเขตนครใหม่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่ รายล้อมอยู่รอบข้าง เปลวไฟสีดำในกายของชายหนุ่มลุกโชติช่วงขึ้นมาทันใดพร้อมกับปล่อยไอเย็นแผ่กระจายไปทั่วพื้นที่
หลี่อี้และคนอื่นๆ สะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ปรากฏขึ้นทันควัน พวกเขากำลังจะตรวจสอบหาต้นตอ ทันใดนั้นสุสานอาวุธเทพใต้ดินที่ถูกผนึกแล้วก็สั่นไหว ไอเย็นพลันพวยพุ่งออกมาจากภายในสุสาน ใบหน้าขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันเอา หน้าแนบผนึก ครั้งนี้ดูมีรูปลักษณ์ต่างออกไป ใบหน้านั้นเหมือนกำลังร้องคำรามเป็นถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา
“บุตรแห่งความมืด!”
“บุตรแห่งความมืด!”
ทุกคนต่างหันไปสนใจใบหน้าขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ไอเย็นไม่ได้แผ่กระจายอยู่ภายในสุสานอาวุธเทพใต้ดินเท่านั้น แต่ยังแผ่ออกมาจากใบหน้าขนาดยักษ์ด้วยเช่นกัน ทำให้หลี่อี้และคนอื่นๆ สรุปไปเองว่าไอเย็นที่พวกเขาสัมผัสน่าจะมีที่มาจากใบหน้านั้น!
พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ต่อ ความหวาดระแวงฉายชัดบนใบหน้า หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกัน เขารีบตั้งผนึกฝ่ามือขึ้นทันทีเพื่อปิดผนึกสุสาน ทั้งยังเพิ่มระดับการป้องกันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ชั้นวงแหวนปราณหมุนทับซ้อนกันไปมาอย่างรวดเร็ว ฝูงอสูรมากมายที่ปรากฏขึ้นพร้อมใบหน้าถูกเฉือนออกเป็นชิ้นอย่าง น่าเวทนา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ใบหน้าขนาดยักษ์จึงถอยกลับไป พื้นที่ภายในสุสานใต้ดินตกอยู่ในความเงียบสงัดอีกครั้ง เหล่าคนในศูนย์ควบคุมต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาเฝ้าดูสถานการณ์จากหน้าจอวิญญาณต่ออีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน
หวังเป่าเล่อไม่ปริปากพูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ เขารีบพุ่งกลับที่พัก เริ่มหอบหายใจถี่รัว นัยน์ตาปรากฏให้เห็นถึงความสะพรึงกลัวที่ซ่อนอยู่ภายใน ชายหนุ่มรู้ว่าทำไมตนถึงเข้าใจที่ใบหน้าพูด นึกเอาไว้อยู่แล้วว่าสุสานอาวุธเทพใต้ดินต้องมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกับวิชาแห่งศาสตร์มืด แต่ก็ไม่วายตื่นตะลึงไปเมื่อถูกเรียกว่าบุตรแห่ง ความมืด
นั่นต้องเป็นฉายาบางอย่าง บุตรแห่งความมืดเป็นชื่อที่ใช้เรียกผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อเริ่มไม่สบายใจ เขารีบหยิบหน้ากากนิลขึ้นมาก่อนจะเข้าไปหาแม่นางน้อยเพื่อถามคำถามที่ติดอยู่ในใจ แต่เหมือนแม่นางน้อยจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แม้จะตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง นางก็ไม่มาปรากฏตัวหรือตอบกลับ
หวังเป่าเล่อเริ่มเป็นกังวลหนัก เขาสัมผัสได้ว่าวิชาแห่งศาสตร์มืดของตนพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ปล่อยยุงเข้าไปในสุสาน เปลวไฟสีดำทั้งสามดวงลุกโชติช่วง หากเขาได้เข้าไปในสุสานด้วยตนเอง วิชานี้คงพัฒนาได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ
ดูจากพัฒนาการตามปกติแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเก่งกาจและมีพรสวรรค์เพียงใด ก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องหลักที่ข้าเป็นกังวล ที่ข้ากังวลคือการบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์ไป ขั้นกำเนิดแก่นในต่างหาก คงจะต้องใช้เวลามากโข… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้ประสบการณ์ที่เพิ่งฝึกวิชา ชายหนุ่มได้อ่านตำราและข้อมูลเกี่ยวกับการบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นต่างๆ มามากมาย
หวังเป่าเล่อรู้ว่าทุกกลุ่มอำนาจทางการเมืองในสหพันธรัฐนั้นมีผู้ฝึกตนขั้น กำเนิดแก่นในอยู่ในสังกัด ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในถือเป็นจุดสูงสุดในบรรดาผู้ฝึกตน หากนับรวมทั้งคนที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยก็น่าจะมีจำนวนทั้งหมดแค่ไม่กี่ร้อยคน
ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในชั้นกลางและชั้นปลายนั้นมีจำนวนน้อยลงไปตามจำนวนชั้นที่สูงขึ้น ส่วนผู้ฝึกตน ขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์นั้น…มีไม่ถึงสิบคนจากทั่วทั้งสหพันธรัฐ
หากเทียบจำนวนดูแล้ว กลุ่มอำนาจทางการเมืองแต่ละกลุ่มนั้นมีจำนวนผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นชั้นสมบูรณ์สูงกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในหลายเท่า แต่ส่วนใหญ่ก็ถึงขีดจำกัดของตนแล้ว ยากที่จะฝึกฝนตนให้บรรลุขั้นระดับการฝึกตนที่สูงขึ้นได้
นี่เป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อพบว่าสุสานอาวุธเทพใต้ดินส่งผลต่อ วิชาแห่งศาสตร์มืด แต่เขาก็ไม่คิดทำอะไรวู่วาม รู้ดีว่าด้วยฐานะนายกเทศมนตรีประจำเขตนครใหม่ของดาวอังคาร ตนมีสิทธิ์ในการควบคุมวงแหวนปราณและผนึกของสุสานอาวุธเทพใต้ดินในระดับหนึ่ง ทำให้สามารถเข้าไปฝึกวิชาในสุสานเมื่อไรก็ได้
เขามีสิทธิ์เต็มที่ในการทำเช่นนั้น แต่…ภัยอันตรายที่รออยู่ในสุสานอาวุธเทพใต้ดินก็เกินจะคาดเดา ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ ชายหนุ่มข่มความอยากแรงกล้าที่อยู่ภายใน ตัดสินใจรออีกสักพักจนกว่าสิ่งต่างๆ จะเริ่มเข้าที่เข้าทางและปลอดภัยกว่านี้ รออีกสักหน่อยก็คงไม่สายเกินไป
ระหว่างชั่งน้ำหนักดูข้อดีข้อเสีย เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ การก่อสร้างเขตนครใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หลี่อี้ใจกล้าหน้าด้านมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่คอยทำตามแผนลับ หญิงสาวคิดว่าหากตนสามารถปรับแต่งการป้องกันของสุสานอาวุธเทพใต้ดินได้คงจะทำให้เห็นผลชัดเจนกว่านี้ แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ หวังเป่าเล่อเป็นผู้กุมอำนาจทั้งหมดในการจัดการกับผนึกและการป้องกันของ สุสานอาวุธเทพใต้ดิน แม้แต่กงเต๋าเองก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่มย่ามอะไรได้มากนัก
เวลาหกเดือนตามที่ได้กำหนดไว้ใกล้จะหมดไป ฝูงอสูรที่แห่แหนออกมาจากสุสานอาวุธเทพใต้ดินเริ่มลดจำนวนลงหลังจากทำการทดสอบซ้ำไปซ้ำมา และ วงแหวนปราณก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากกระบวนการหมุนเวียนซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด
กงเต๋าและคนจากกองทัพยังคงประสบปัญหาบาดเจ็บล้มตายจากการสำรวจ แต่ก็ได้ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจสุสานอาวุธเทพใต้ดินมาเพิ่ม หวังเป่าเล่อส่งข้อมูลเหล่านี้ไปให้เจ้านครดาวอังคารวิเคราะห์และประเมินผล
การสำรวจซ้ำหลายๆ ครั้งทำให้กลุ่มของกงเต๋ารุดหน้าลึกเข้าไปในสุสานได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาสามารถคำนวณหาเวลาที่เหมาะสมในการเข้าไปสำรวจได้แม่นยำมากขึ้น ถึงจะเข้าไปไม่ได้ แต่พวกเขาก็สามารถตรวจดูการละลายของกำแพงน้ำแข็งอยู่ไกลๆ และจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงไว้เรื่อยๆ
ทว่าวัตถุเวทที่ติดตั้งไว้ในสุสานอาวุธเทพใต้ดินนั้นใช้งานได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ หากวัตถุเวทสามารถทำงานได้นานกว่านี้ การสำรวจคงจะง่ายขึ้นมากโข
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อน่าจะส่งรายงานการประเมินผลไปให้เจ้านครได้ภายในสองสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะจัดเตรียมเรื่องการย้ายประชากรมายังเขตนครใหม่ โครงสร้างพื้นฐานของเขตนครใหม่ ทั้งส่วนอาศัยและส่วนอุตสาหกรรมนั้นเสร็จสมบูรณ์หมดแล้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่างๆ ครบครัน ขาดเพียงผู้คนที่จะมาอาศัยอยู่เท่านั้น
แม้ตอนนี้จะมีแรงงานสองถึงสามแสนคนอยู่ในพื้นที่ เขตนครใหม่แห่งนี้ก็ยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมากมาย หวังเป่าเล่อตัดสินใจตรวจสอบคุณภาพเขตนครต่ออีก สองสัปดาห์ หลังจากนั้นจึงจะเตรียมจัดย้ายประชากรมา
เหลือเวลาอีกหนึ่งสัปดาห์จะครบกำหนดหกเดือน ทันใดนั้นก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นขัดการฝึกวิชาของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นพร้อมข้อความเสียงของหลินเทียนหาวที่ดังขึ้นในทันใด
“ท่านนายกเทศมนตรี กงเต๋าพบอันตรายระหว่างการสำรวจสุสานอาวุธเทพใต้ดิน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดได้หรือไม่!”
หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก เขารีบลุกขึ้นและพุ่งไปยังสุสานอาวุธเทพใต้ดิน หลินเทียนหาวและจินตั้วหมิงมารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองต่างมีสีหน้าเป็นกังวล ด้านหลังเกราะป้องกันปรากฏเป็นภาพฝูงอสูรที่กำลังร้องคำรามอยู่ภายในผนึก เหล่าอสูรโดนด้ายจากวงแหวนปราณเฉือนทิ้งเป็นชิ้นๆ
ทันทีที่หวังเป่าเล่อมาถึงทั้งคู่ก็รีบเข้ามารายงานสถานการณ์ทันที เหล่าผู้ฝึกตนจากกองทัพต่างมีสีหน้าเป็นกังวลและตื่นตระหนก พวกเขาหันมามองหวังเป่าเล่อ เป็นตาเดียว
“ท่านนายกเทศมนตรี ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งไม่นานหลังจาก กงเต๋าพากลุ่มของเขาเข้าไปในสุสานก็เกิดเหตุอสูรหลั่งไหลขึ้น พวกเราไม่คิดว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น จากบันทึกและการคาดคะเนของเรา เหล่าอสูรปรากฏตัวเร็วกว่า ที่คาดเอาไว้ ทันทีที่อสูรหลั่งไหลออกมา…กงเต๋าก็…” หลินเทียนหาวไม่ได้พูดจนจบ แต่ก็รู้ได้ว่าเขาอยากจะพูดว่าอะไร มีความเป็นไปได้สูงว่ากงเต๋าได้เสียชีวิตไปแล้วในสุสานอาวุธเทพใต้ดิน
“รายงานให้เจ้านครทราบแล้วหรือยัง” หวังเป่าเล่อปวดหัวขึ้นมา กงเต๋ามีสถานะพิเศษไม่เหมือนคนอื่นแต่ก็ยังนำกลุ่มสำรวจด้วยตัวเอง ชายหนุ่มไม่รู้ว่ากงเต๋าวุ่นวายกับสิ่งใดอยู่ หวังเป่าเล่อเคยไถ่ถามหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายเมินคำถามของเขา อย่างสิ้นเชิง
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรีย่อมต้องรับผิดชอบ ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ จินตั้วหมิงที่คอยสังเกตท่าทีอยู่ข้างๆ เข้ามากระซิบบอก
“พวกเราปิดข่าวไว้ แต่อีกไม่นานข่าวก็คงรั่วออกไป…”
“ปิดไว้ทำไม เราต้องแจ้งให้เจ้านครทราบเดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เหล่าผู้ฝึกตนจากกองทัพที่อยู่รอบๆ พูดขึ้นทันใด
“ท่านนายกเทศมนตรี ฝูงอสูรที่โผล่มาไม่ได้อันตรายมาก ข้าคิดว่า รองนายกเทศมนตรีกงยังมีชีวิตรอดและกำลังรอการช่วยเหลืออยู่!”
“ท่านนายกเทศมนตรี โปรดออกคำสั่ง พวกเราพร้อมจะเข้าไปปราบเหล่าอสูรในสุสานและช่วยเหลือพวกที่ติดอยู่ข้างใน!”
“ท่านนายกเทศมนตรี ท่านจะปล่อยให้พวกเขาตายไม่ได้!”
หวังเป่าเล่อที่หงุดหงิดอยู่แล้วเริ่มหัวเสียมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเซ็งแซ่จากคนรอบกาย เขาร้องคำรามเสียงดัง
“เงียบ!”
เสียงกัมปนาทดังสนั่นก้องหูคนที่อยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อปล่อยฝูงยุงบินผ่านกองทัพอสูรลึกเข้าไปในสุสาน พวกมันบินอย่างรวดเร็ว คอยสอดส่องตามหากงเต๋า
ไม่นานก็พบกงเต๋าและผู้ฝึกตนจากกองทัพอีกสามคนที่ช่วงกลางสุสาน พวกเขาอยู่ในหลุมภายในสุสานที่ได้ขุดขึ้นก่อนหน้านี้ กำลังรับมือกับเหล่าอสูรที่ดาหน้ากัน เข้ามาไม่หยุด
จากสถานการณ์ที่เห็น พวกเขาไม่น่าจะต่อกรกับฝูงอสูรได้นาน จำนวนอสูรในหลุมมีมากเกินไป พวกเขาทั้งสี่ไม่มีโอกาสรอดได้ด้วยกำลังของตัวเอง ทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บหนัก ชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย!