บทที่ 378 เพิ่มและตัดคะแนน
ขณะที่พวกหวังเป่าเล่อกำลังจะหลบหนีออกไป ก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากส่วนลึกสุดของสุสาน เสียงนั้นดังขึ้นโดยปราศจากสัญญาณเตือนใดๆ
เสียงนั้นดังสนั่นสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เลือดกระอักออกจากปากทุกคน ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรงจากเปลวไฟสีดำทั้งสามดวงที่กำลังหรี่แสง เกือบจะมอดหายไป
เมื่อก้มลงมองก็เห็นเหมือนมีมือขนาดยักษ์โปร่งใสบิดเบี้ยวกำลังยืดเหยียดมาจากส่วนลึกสุดของสุสาน ราวกับกำลังตรงมาทางหวังเป่าเล่อเพื่อจะจับเขา!
“บุตรแห่งความมืด…” เสียงร้องคำรามดังขึ้นสั่นสะท้านไปทั่วทั้งสุสาน หวังเป่าเล่อหน้าซีดเพราะความหวาดกลัว เขาตะโกนกลับอย่างเกรี้ยวกราด
“หุบปากซะ!” เสียงนั่นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนหัวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เขารีบพุ่งออกไปยังปากทางเข้าสุสานพร้อมคนอื่นๆ แต่ก็สายเกินไป มือขนาดยักษ์เคลื่อนตัวรวดเร็วเกินไป เมื่อครู่ยังอยู่ห่างออกไปไกล แต่แค่พริบตาเดียวก็พุ่งตามมาจนห่างจากชายหนุ่มไม่ถึงร้อยเมตร!
น้ำแข็งขึ้นเกาะทั่วพื้นที่ที่มือขนาดยักษ์เคลื่อนผ่าน มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นพร้อมปรากฏน้ำแข็งแผ่กระจายไปทั่วขณะที่มือเริ่มเข้ามาใกล้
มันเกือบจะตามชายหนุ่มได้ทันแล้ว…
หวังเป่าเล่อหอบหายใจถี่ คิดจะร่ายคาถาเพื่อสู้กลับ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง แค่นจมูกดังขึ้นจากด้านบน ร่างเงาสามร่างพุ่งผ่านกลุ่มคนมากมายไปอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าอย่างปุบปับปราศจากเสียงเตือน ก่อนจะปรากฏตัวที่ด้านหลังทุกคน ประจันหน้ากับมือขนาดยักษ์ที่กำลังจะเอื้อมมาจับพวกเขา!
เงาทั้งสามคือ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์ และชายสูงวัยผมสีแดงแต่งกายในชุดกองทัพ ทั้งสามมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ พลังปราณของพวกเขาพวยพุ่งออกมาจากร่าง ก่อนจะร่วมมือกันพุ่งเข้าไปต้าน มือขนาดยักษ์ไว้
เสียงสนั่นดังขึ้นจากแรงปะทะ ต้นไม้ยักษ์และชายสูงวัยส่งเสียงฮึดฮัด ขณะรีบถอยหนี เจ้านครยังยืนอยู่ที่เดิม นางยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นค้อนขนาดมหึมา ก็ปรากฏขึ้นในมือแผ่พลังมหาศาลสั่นสะท้านฟ้าดิน พลังที่แผ่พุ่งออกมานั้นเป็นรองแค่เพียงอาวุธเทพ ค้อนมหึมาชิ้นนั้นคือ…อาวุธเวทระดับเก้า!
แค่เหวี่ยงลงเพียงครั้งเดียวก็สามารถสั่นสะท้านผืนดินและสรวงสวรรค์ได้ มือขนาดยักษ์สั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันใด เหลือไว้เพียงเสียงคำรามที่ดังก้องไปทั่วสุสาน น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
“หนีไป!” เจ้านครมีสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากที่เหวี่ยงค้อนไป นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก รีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว นางสะบัดชายชุดคลุม ร่วมมือกับต้นไม้ยักษ์และชายสูงวัยจากกองทัพคอยคุ้มกันหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตนหลายหมื่นคน พวกเขารีบวิ่งหนีออกไปยังปากทางเข้าอย่างรวดเร็ว
ทุกคนหลบหนีออกไปได้อย่างราบรื่น พอถึงปากทางก็พุ่งตัวออกจากสุสานทันที เมื่อทุกคนออกมาจนครบ เจ้านครก็รีบตั้งผนึกฝ่ามือ ผนึกสุสานใต้ดินมีปฏิกิริยาทันใดก่อนที่สุสานจะปิดตัวลงสนิท
หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัวเมื่อหลบหนีออกมาข้างนอกได้ เขาอดใจหันไปมองเจ้านครและอีกสองคนที่อยู่เคียงข้างนางไม่ได้ ชายหนุ่มรู้ว่าเจ้านครรีบเคลื่อนย้ายชั่วพริบตามาที่นี่ทันทีหลังจากได้ทราบข่าว หากนางไม่ทำเช่นนั้น ปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนี้ คงต้องพบกับหายนะ
กงเต๋าได้เพื่อนผู้ฝึกตนเอาโอสถมีฤทธิ์ช่วยไม่ให้หมดสติแม้จะได้รับบาดเจ็บหนักให้ดื่ม เขาตระหนักดีว่าตนได้พลาดพลั้งไปจนเกือบจะเอาชีวิตรอดกลับมาไม่ได้ หากไม่ได้หวังเป่าเล่อช่วยไว้ ตนคง…จะสิ้นลมไปในสุสานแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกสับสนปนเปไปหมด เขามองไปทางหวังเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อไป
“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำเกินควรไปแล้ว!” เมื่อปิดผนึกสุสานเสร็จ เจ้านครก็หันมาหาหวังเป่าเล่อ ความโกรธเกรี้ยวลุกโชนในดวงตา ใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
หวังเป่าเล่อหน้าเสีย เขากำลังจะอ้าปากอธิบาย กงเต๋าก็กัดฟันและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
“ท่านเจ้านคร เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากความเลินเล่อของข้า ไม่ใช่ความผิดของ หวังเป่าเล่อ…”
“เงียบซะ! เจ้ารู้ตัวสินะว่าตัวเองทำอะไรไปโดยไม่คิด ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไรก่อนมาที่นี่” เจ้านครยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ชายสูงวัยผมแดงแต่งกายด้วยเครื่องแบบของกองทัพก็ระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมา ด้วยฐานะนักพรตชั้นสูงประจำกองทัพทำให้เขาสนิทสนมกับต้วนมู่ฉีเป็นอย่างดี เหตุผลที่กงเต๋าได้มาอยู่บนดาวอังคารนี้ ก็เพราะเขาและต้วนมู่ฉีไปพบเด็กหนุ่มในท้องทะเลแห่งอสูรตั้งแต่ยังเป็นทารก
เห็นได้ชัดว่ากงเต๋าสำคัญมากสำหรับชายสูงวัย พอได้ยินว่ากงเต๋าตกอยู่ในอันตราย เขาก็รีบออกจากการถือสันโดษ เข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือทันใด ขณะที่ดุด่า กงเต๋าอย่างเกรี้ยวกราด ชายผมแดงก็หันมามองหวังเป่าเล่อเป็นพักๆ ด้วยสีหน้าที่แตกต่างไปจากตอนที่มองกงเต๋า ใบหน้าของชายสูงวัยบ่งบอกถึงความรู้สึกขอบคุณและให้การยอมรับในตัวชายหนุ่ม
ชายสูงวัยรู้ว่าถ้าหวังเป่าเล่อมัวแต่รอให้พวกเขามาช่วย กงเต๋า…คงจะตายไปแล้ว
หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อเห็นชายสูงวัยจ้องมา เจ้านครหันมาจ้องหวังเป่าเล่อ อีกครั้ง ก่อนจะหันไปติเตียนจินตั้วหมิงและหลินเทียนหาว ท้ายที่สุดนางก็พูดขึ้นว่า…
“อย่าให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก!”
หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาตระหนักแล้วว่า ในจักรวาลแห่งนี้ไม่มีสิ่งใดน่ากลัวเท่าเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารอีกแล้ว ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น…
เขารีบก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพลางคิดว่าต้องเอาใจเจ้านครอย่างไรดี พลันนางก็แค่นเสียงทางจมูกใส่
“พอแค่นั้นแหละ เลิกทำหน้าน่าเวทนาเสียที ไหนๆ ก็มาแล้ว ข้าจะไปตรวจการก่อสร้างเขตนครใหม่ว่าไปถึงไหนแล้ว ถ้ามีอะไรผิดแปลกไปจากแผน เจ้าจะต้องโดนลงโทษ!”
“ไม่ต้องเป็นกังวล ท่านเจ้านคร แม้ไม่กล้าเอ่ยปากรับประกันเรื่องอื่นๆ แต่ข้ามั่นใจว่าทุกอย่างนั้นเป็นไปตามแบบแผนแน่นอน ข้ารับใช้ผู้นอบน้อมของท่านไม่กิน ไม่นอนมาตลอดหกเดือน…” หวังเป่าเล่อทุบอกพร้อมกับพูดอย่างรีบร้อน สายตาของเจ้านครที่จ้องมาทำให้เขาหยุดคุยโวทันใด นางไม่ได้พูดอะไรต่อ ทำเพียงหันหลัง มุ่งหน้าไปตรวจตราการก่อสร้าง
การตรวจสอบเป็นไปอย่างละเอียดแต่ก็ว่องไวยิ่งนัก ระดับการฝึกตนของเจ้านครทำให้นางสามารถบ่งบอกข้อผิดพลาดหรือจุดที่มีการละเลยไปด้วยการมองเพียง แวบเดียว ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เจ้านครก็พบข้อผิดพลาดประปรายและสั่งให้หวังเป่าเล่อรีบแก้ไขก่อนจะกลับออกไป
ตลอดการตรวจสอบการก่อสร้างนั้น เจ้านครไม่ปรายตามองหลี่อี้แม้แต่น้อย ไม่ปริปากพูดด้วยเลยสักคำ ดูเหมือนว่านางจะเพิกเฉยทำเหมือนหลี่อี้ไม่มีตัวตน หลี่อี้ที่รอฟังคำชมอยู่ได้แต่ตะลึงงันไป
ชายสูงวัยผมแดงเองก็มีท่าทีเหมือนกัน แม้เขาจะแข็งกร้าวกับกงเต๋า แต่ก็ดูให้การยอมรับในตัวหวังเป่าเล่อ หลินเทียนหาว และจินตั้วหมิง ชายสูงวัยยิ้มอย่าง เป็นมิตรให้ชายหนุ่มทั้งสาม เขาเมินหลี่อี้เหมือนเจ้านคร ก่อนกลับยังหันมามองลึก เข้าไปในตานางก่อนจะแค่นเสียงออกจมูก
หลี่อี้เริ่มเป็นกังวล แอบเหลือบไปมองต้นไม้ยักษ์เป็นพักๆ แต่อีกฝ่ายได้แต่ นิ่งเงียบ ก่อนจะเดินทางกลับ ต้นไม้ยักษ์ก็ถอนหายใจ มองไปทางหลี่อี้ด้วยแววตา ลุ่มลึกที่เต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย ในสายตาของเขายังแฝงไปด้วย ความผิดหวัง พูดอะไรไม่ออก
ตอนที่ต้นไม้ยักษ์มาถึงและพบว่าหวังเป่าเล่อกับคนอื่นๆ ได้เข้าไปในสุสานกันหมด มีเพียงหลี่อี้คนเดียวที่รออยู่ข้างนอก เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า…หลี่อี้ได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างร้ายแรง!
หากไม่มีคนอื่นให้เปรียบเทียบก็คงจะไม่เป็นไร ทุกคนทราบดีว่าหวังเป่าเล่อและกงเต๋าไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ ทว่าแม้จะมีความบาดหมางต่อกัน หวังเป่าเล่อกลับไม่ลังเลใจที่จะเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยในทันที
ถึงจะเป็นการกระทำที่หุนหันพลันแล่น แต่พวกเขาก็ยังเป็นหนุ่มสาวเลือดร้อน แม้การกระทำของหวังเป่าเล่อจะผิด แต่เขาได้คะแนนเพิ่มในใจของใครหลายคน!
ส่วนหลี่อี้นั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามนางจึงไม่ได้ตามเข้าไป แม้จะเป็นการตัดสินใจถูกต้องในภาวะคับขันเช่นนี้ และจริงๆ แล้วนางก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่นาง ก็เสียคะแนนในใจของใครหลายคนไปซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย…
ภาพลักษณ์นั้นเป็นกุญแจสำคัญในเกมการเมืองของสหพันธรัฐ ภาพลักษณ์ของตนเองในสายตาของคนอื่นก็สำคัญไม่แพ้กัน พวกเขาจึงจำเป็นต้องคอยสะสมคะแนนในใจผู้คนเพิ่ม
ยิ่งกงเต๋าที่มีสถานะพิเศษไม่เหมือนใครด้วยแล้ว…
หลี่อี้ตัวสั่นเทาเมื่อเห็นสายตาของต้นไม้ยักษ์ที่จ้องมา นางหน้าซีดลงเรื่อยๆ ไม่นานนางก็ได้สติจึงหันไปมองทางกงเต๋า สายตาของเขาที่มองไปทางหวังเป่าเล่อนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอันซับซ้อน
จินตั้วหมิงแอบส่ายหัวอยู่ภายใน นึกสงสัยว่าหลี่อี้เอาสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายหมดจนมีไม่พอไปบำรุงสมองหรือไร
ทุกอย่างเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติอีกครั้งเมื่อเจ้านครและผู้ฝึกตนสองคนกลับไป แต่หลี่อี้นั้นกลับทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้…กงเต๋าไม่ได้พูดอะไร ทว่า กลุ่มผู้ฝึกตนจากกองทัพภายใต้การดูแลของเขาปฏิบัติกับนางอย่างเย็นชา ไม่เหมือนท่าทีที่แสดงต่อหวังเป่าเล่อ
หลินเทียนหาวปฏิบัติกับนางเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ส่วนความรู้สึกของจินตั้วหมิงที่มีให้นางนั้นดูจะค่อยๆ ลดทอนลงไป…
หวังเป่าเล่อ เจ้าต้องตั้งใจวางแผนให้เป็นเช่นนี้แน่! หลี่อี้กลับที่พักไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง นางกัดฟันแน่น ดวงตาลุกโชนไปด้วยเพลิงแค้น นางสาบานว่าจะต้องกำจัด หวังเป่าเล่อออกไปจากตำแหน่งให้ได้!
ขณะที่หลี่อี้กำลังสาปส่งอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็กลับมาถึงที่พัก ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดวงตาฉายแสงผิดแปลกไป ผุดนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสาน แรงสูบจากเมล็ดดูดกลืนช่วยเพิ่มพูนระดับพลังปราณของเขาภายในช่วงเวลาสั้นๆ
เขาห้ามใจตนเองไม่อยู่ เริ่มครุ่นคิดตรึกตรอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าแม้ยุงส่วนใหญ่จะตายไปตอนที่เข้าไปช่วยกงเต๋า แต่ก็ไม่ได้ตายหมด…ยังเหลืออีกสองตัวอยู่ในสุสานตอนนี้!
หวังเป่าเล่อใช้สายตาของเจ้ายุงทั้งสองสอดส่องก็เห็นไอเย็นในสุสานกำลังกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง เขาก็บังคับ ยุงทั้งสองบินลึกเข้าไปภายในสุสานอย่างยากลำบาก สักพักใหญ่พวกมันก็บินมาถึงปลายสุดของสุสาน…ที่มีกำแพงอาวุธเทพตั้งอยู่!